Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Hepatitis c ไวรัสตับอักเสบ ซี - Coggle Diagram
Hepatitis c
ไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อเช่นเดียวกับไวรัสตับ อักเสบบี กล่าวคือ ติดต่อทางเลือดและสารคัดหลั่งเป็นหลัก แต่ช่องทางการแพร่เชื้อท่ีมีพบบ่อยและมีความสําคัญในไวรัสตับอักเสบซี คือการได้รับเลือดและการฉีดยาเสพติด/ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
ในประเทศไทยพบว่าประวัติการฉีดยาเสพติดเข้า เส้นเลือดและประวัติการได้รับเลือดหรือส่วนประกอบ ของเลือดก่อนปี พ.ศ. 2538 เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญ ของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย รองลงมาคือ การใช้เข็มฉีดยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคมร่วมกันและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์น้ันพบได้ค่อนข้างน้อย ประมาณร้อยละ 8 เท่านั้น และจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เมื่อเป็นเพศสัมพันธ์ในกลุ่มชายรักชายและกลุ่มที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
จากกรณีศึกษา
พบว่าผู้ป่วยเคยได้รับเลือดจากการเคยประสบอุบัติเหตุจากการไปดูหนังกลางแปลงแล้ว โดนลูกกระสุนลงศีรษะและต้องรับเลือดในการรักษา ในปี2522
ร่วมกับการมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นที่ไม่ได้แต่งงานกัน
สาเหตุในกรณีศึกษาคือ
การได้รับเลือดในปี2522 เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีนวัตกรรมในการตรวจสอบเลือด
มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันกับชายอื่นที่ไม่ได้แต่งงาน
ตับแข็ง(Cirrhosis)
จากกรณีศึกษา เมื่อเกิดโรค Hepatitis c จึงเกิดการสะสมของไวรัสตับอักเสบเรื้อรังคือ Hepatitis c ไปเรื่อยๆจนส่งผลให้เป็นโรคตับแข็ง รวมถึงการดื่มเหล้าวันละขวด สูบบุหรี่1ซอง/วัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคตับแข็ง
ตับแข็งเป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังภายในตับ มีมีผลให้เกิดพังผืดเข้าไปแทนที่เนื้อตับจนเกิดเป็น Regenerating nodule ส่งผลให้ตับมีการทำงานลดลงทำให้ความดันในระบบหลอดเลือดดำportal สูงขึ้นและเกิด และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ลดลง
สาเหตุ
ดื่มแอลกอฮอลล์
ไวรัสตับอักเสบ ซี
อื่นๆ
โรคตับอักเสบจากการแพ้ภูมิตนเอง
โรคตับอักเสบวินสัน
โรคตับอักเสบจากธาตุเหล็กเกิน
อาการ
1) อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากมีการแตกของ หลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร (Esophageal varices)
2) ม้ามโต
3)ซีด เกล็ดเลือดต่ำเม็ดเลือดขาวต่ำ
4)มะเร็งตับ
อาการของเคสกรณีศึกษาเป็นระยะที่ 3 ตับแข็ง
1.ไข้สูงลอยไม่ลด หายใจเหนื่อยหอบ ปวดท้อง อ่อนเพลีย
2.ปวดท้อง ท้องมาน ขาบวม
3.ผิวหนังช้ำเขียวง่าย เป็นจ้ำเลือด
4.ซีด เกล็ดเลือดต่ำเม็ดเลือดขาวต่ำ
5.ท้องผูก ปัสสาวะเองไม่ได้
6.ท้องบวมโต U/S moderate aeites
Anti HCV Reactive
8.ไวต่อยาหรือสารพิษต่าง ๆ มากกว่าปกติเนื่องจากคนไข้มีประวัติแพ้สารเคมีรุนแรง
การรักษา
ตรวจยืนยันด้วยการตรวจ HCV-RNAโดยเฉพาะก่อนการรักษาและในการติดตามผู้ป่วยขณะรักษาหรือหลังการรักษา
ผู้ป่วยที่ทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการแนะนำให้ลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดไวรัสซีไปยังผู้อื่น
ติดตามนานถึง 5 ปีและพบว่าจะมีการดีขึ้นของพยาธิสภาพตับร่วมกับการลดโรคแทรกซ้อนอย่างไรก็ตามการรักษาก็อาจเกิดผลเสียได้โดย อาจทำให้เกิด hepatic decompensation ในผู้ป่วยมีการทำงานของตับไม่ค่อยดีนัก นอกจากการรักษาก็มีฤทธิ์ข้างเคียงสูง ได้ผลทุกคน การที่พบว่าการดำเนินโรคยังแต่กราคาแพงและไม่ต่างกันอย่างมากผู้ป่วยบางรายอาจไม่เกิดโรคแทรกช้อนจากไวรัสตับอักเสบซีเลยตลอดชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องรักษา
การรักษาจากกรณีศึกษา
1.Lactulose 15 ml po stat then OD PC
2.Tazocin 2.25 g q 8 hr (2.00 , 10.00 , 18.00)
3.Paracetamol (500 mg) 1 tab po prn q 6 hr.
4.Folic 5 mg 1 tab OD PC
5.Thoracentesis (การเจาะปอด)
6.On foley catheter
7.On O2 canula 3 LPM
8.มีแผนการรักษาให้ PRC 3 unit V drip in 4 hr
CPM 1 amp V ก่อนให้เลือด
ปอดอักเสบ (Pneumonia)
คือการที่ปอดระดับอันตรายจากการติดเชื้อหรือสาเหตุอื่นส่งผลให้เนื้อปอดซึ่งประกอบด้วยหลอดลมฝอยส่ว ส่วนปลายสุดและถุงลมเกิดการอักเสบอย่างเฉียบพลันและบวม ทำให้ของเหลวซึ่งประกอบด้วยพลาสม่าและเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าหนอง เข้าไปอยู่ในถุงลมเนื้อปอดจึงเกิดการแข็ง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส
สาเหตุ
มีเชื้อโรคหรือสารเคมีเข้าไปทำให้ปอดอักเสบของปอด
สาเหตุส่งเสริมเป็นภาวะหรือโรคทำให้เกิดการอักเสบของปอดเกิดเร็วขึ้น
ผู้ป่วยเคยเป็นโรคปอดมาก่อน เช่นปอดแฟบ หลอดเลือดอักเสบเรื้อรัง
โรคภูมิต้านทานต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไตล้มเหลว หัวใจวาย
มีการเคลื่อนไหวร่างกายลดลง เช่น ผู้ป่วยที่นอนเฉยๆ อยู่บนเตียง หายใจเบาตื้น เป็นอัมพาต เป็นต้น
ผู้ที่มีการติดเชื้อ เช่นไข้หวัด โรคปอด เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรงพยาบาล
มีภาวะการเจ็บป่วยรุนแรง เช่น ขาดสารอาหาร
ได้รับการผ่าตัด
ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจหรือผู้คนเจาะคอ
นอนอยู่บนเตียงนานๆ
ได้รับอาหารทางสายยาง
ได้รับการให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด
มีประวัติหรือได้รับยาปฏิชีวนะ
ดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดี
จากกรณีศึกษา พบว่าผู้ป่วยได้ประกอบอาชีพเป็นคุณครู และใช้และใช้ช็อคในการเขียนกระดานดำ เปลี่ยนเป็นใช้ปากกาเคมีในการเขียน และมีอาการแพ้
อาการ
1.มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส และอาจมีอาการจับไข้ตลอดเวลา หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มเป็น)
2.หายในเร็วแต่ถี่ๆ (หอบ)
3.หน้าแดง ริมฝีปากแดง ลิ้นเป็นฝ้า
4.ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ แต่ต่อมาเสมหะจะมีสีขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือมีเลือดปน
5.มีอาการเจ็บแปล๊บในหน้าอกเวลาหายใจเข้า หรือเวลาไอแรงๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้องด้วย
6.มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเดิน อาเจียน กระสับกระส่าย หรือชัก ถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการตัวเขียว ริมฝีปากเขียว ลิ้นเขียว และเล็บจะเริ่มกลายเป็นสีเขียว
อาการของเคสกรณีศึกษา
1.มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส
2.หายใจเร็ว 38 ครั้งต่อนาที หายใจเหนื่อยหอบ
3.เคาะได้ยินเสียงทึบ (Dullness on percussion)
4.ปอดได้ยินเสียง Bronchial breath sound ทั้ง 2 ข้าง
5.ท้องผูก ปวดท้อง
การรักษา
การให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีของการติดเชื้อแบคทีเรีย
การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ สำหรับผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส และเชื้ออื่น ๆ
การรักษาภาวะแทรกซ้อน โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายจากปอดเข้าสู่กระแสเลือดทำให้อวัยวะอื่น
การรักษาจากกรณีศึกษา
1.การให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีของการติดเชื้อแบคทีเรีย ปัจจุบันพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ
Lactulose 15 ml po stat then OD PC
Tazocin 2.25 g q 8 hr (2.00 , 10.00 , 18.00)
Paracetamol (500 mg) 1 tab po prn q 6 hr.
Folic 5 mg 1 tab OD PC
2.Thoracentesis (การเจาะปอด)