Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
องค์ประกอบของดนตรี - Coggle Diagram
องค์ประกอบของดนตรี
1. เสียง (Tone)เสียง คือ พลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของของวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียง เมื่อวัตถุสั่นสะเทือนก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหูและเราสามารถสร้างเสียงที่หลากหลายโดยอาศัยวิธีการผลิตเสียงเป็นปัจจัยกำหนด เช่น การดีด การสี การตี การเป่า ลักษณะของเสียงมีความแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ4 ประการคือ ระดับเสียง ความยาว
1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ระดับความสูง-ต่ำของเสียง ซึ่งเกิดจากความถี่ของการสั่นสะเทือนของวัตถุกล่าวคือ ถ้าเสียงที่มีความถี่สูง ลักษณะการสั่นสะเทือนเร็วจะส่งผลให้มีระดับเสียงสูง แต่ถ้าหากเสียงมีความถี่ต่ำ ลักษณะการสั่นสะเทือนช้าจะส่งผลให้มีระดับเสียงต่ำ
1.2 ความสั้น-ยาวของเสียง (Duration) หมายถึง เสียงที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลา เสียงแต่ละเสียงที่เกิดขึ้นต้องมีระยะเวลาซึ่งทำให้เกิดเสียงยาวเสียงสั้น ซึ่งสามารถกำหนดได้ด้วยสัญลักษณ์ทางดนตรีเช่น โน้ตตัวกลม ตัวขาว และตัวดำ ตัวโน้ตคือสัญลักษณ์แทนค่าของความสั้น-ยาวของเสียง นอกจากนี้ยังมีตัวหยุดซึ่งแทนความเงียบของเสียงเพื่อให้เกิดจังหวะ และรูปแบบในการบรรเลงที่หลากหลาย คุณสมบัติที่เกี่ยวกับความสั้น-ยาวของเสียง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของการกำหนดลีลาจังหวะของดนตรี
1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) หมายถึง น้ำหนักความดังเบาของเสียงที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของวัตถุ ถ้าวัตถุสั่นสะเทือนมากเสียงจะดัง และถ้าวัตถุสั่นสะเทือนน้อยเสียงก็จะเบา ความเข้มของเสียงขึ้นอยู่กับความแรงที่ส่งจากแหล่งกำเนิดเสียงไปยังหูเช่น เวลาที่เราตะโกนเส้นเสียงจะสั่นสะเทือนมากทำให้เกิดเสียงดังและความเข้มของเสียงจะเป็นคุณสมบัติที่ก่อประโยชน์ในการเกื้อหนุนเสียงให้มีลีลาจังหวะที่สมบูรณ์
1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่เราได้ยินว่าเสียงดีมากหรือดีน้อยหรือมีความไพเราะของเสียงมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น วิธีการผลิตเสียง รูปทรงของแหล่งกำเนิดเสียง และวัสดุที่ใช้ทำแหล่งกำเนิดเสียง เช่น เสียงโน้ตตัวเดียวกันที่เกิดจากกีตาร์2 ตัว จะมีคุณภาพเสียงที่ไม่เหมือนกัน แม้จะมีระดับเสียง และความเข้มของเสียงที่เหมือนกัน ก็ไม่ได้แปลว่า จะมีคุณภาพของเสียงที่ดีเหมือนกัน ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยที่กล่าวมา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดลักษณะและคุณภาพของเสียง
2. จังหวะ (Rhythm)
จังหวะ (Rhythm) หมายถึง การเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ อาจกำหนดไว้เป็นความช้าเร็วต่างกัน เช่น เพลงจังหวะช้า เพลงจังหวะเร็ว การกำหนดความสั้นยาวของเสียงที่มีส่วนสัมพันธ์กับระยะเวลาในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีจะต้องมีจังหวะเป็นเกณฑ์ เช่น การร้องเพลงหรือเล่นดนตรีหลายคนในเพลงเดียวกัน จะต้องใช้จังหวะเป็นตัวกำกับเพื่อให้การร้องเพลงหรือการเล่นดนตรีออกมาในลักษณะที่พร้อมเพรียงกัน และผสมกลมกลืนได้อย่างเหมาะสม และจังหวะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทย่อย
-
-
2.3 จังหวะของทำนอง (Melodic Rhythm) หมายถึง จังหวะที่เกิดขึ้นตามทำนองโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับเสียง
2.4 รูปแบบของจังหวะ (Rhythmic Pattern) หมายถึง รูปแบบของจังหวะที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน เช่น จังหวะสามช่า จังหวะรำวง
3. ทำนอง (Melody)
ทำนอง หมายถึง การจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต่ำ ความสั้น-ยาว และความดัง-เบา คุณสมบัติเหล่านี้เมื่อนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของความช้า-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ผู้ฟังสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด เช่น เวลาเราอาบน้ำ แล้วฮัมเพลง ฮื้มฮืมๆ โดยไม่มีเนื้อร้องและดนตรีประกอบ นั่นคือทำนองของเพลง ทำนองเพลงเรียกได้ว่าเป็นแกนหลักที่กำหนดอารมณ์ของเพลง โดยมีเนื้อร้องที่เข้ากับอารมณ์มาทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าเพลงนั้นเป็นอารมณ์ไหน เศร้า สนุก และทำนองจะติดตัวเพลงแต่ละเพลงไปตลอดไม่ว่ามันจะถูกเอาไป Cover เปลี่ยนดนตรีประกอบ หรือเอาไปทำเป็นเพลงบรรเลง หรือจะถูกนำไปแปลเป็นภาษาอื่น ทำนองของเพลงนั้นก็จะยังคงเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเช่น ทำนองเพลง Happy Birthday ไม่ว่าจะได้ยินในรูปแบบไหน ภาษาอะไร เราก็รู้ว่านั่นคือเพลง Happy Birthdayในเชิงจิตวิทยา ทำนองจะกระตุ้นผู้ฟังในส่วนของสติปัญญา ทำนองจะมีส่วนสำคัญในการสร้างความประทับใจ จดจำ และแยกแยะความแตกต่างระหว่างเพลงหนึ่งกับอีกเพลงหนึ่ง
4. เสียงประสาน (Harmony)
เสียงประสาน (Harmony) คือ เสียงดนตรีต่างๆ อย่างน้อย 2 เสียงที่ถูกกำหนดให้บรรเลงขึ้นพร้อมกันเป็นองค์ประกอบของเสียงที่ทำให้เกิดความสมบูรณ์ของเสียง ปกติทำนองเพลงเป็นการดำเนินทำนองเป็นเส้นขนานหรือแนวนอน สำหรับเสียงประสานเป็นการผสมผสานของเสียง มากกว่า 1 เสียงในแนวตั้ง การประสานเสียงที่มีลักษณะของการเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน 2 เสียงเราเรียกว่า “ขั้นคู่” (intervals) แต่ถ้ามากกว่า 2 เสียง ขึ้นไปเราเรียกว่า “คอร์ด” (Chords)
4.1 ขั้นคู่เสียง (Intervals) หมายถึง เสียง 2 เสียงที่เขียนเรียงกันในแนวตั้งและเปล่งออกมาพร้อม ๆ กัน การนับระยะห่างของเสียงเรียงตามลำดับขั้นของโน้ตในบันไดเสียง ขั้นคู่เสียงถือว่าเป็นเสียงประสานที่มีความสำคัญในการเขียนเพลง
4.2 คอร์ด (Chords) หมายถึง กลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไปเรียงกันในแนวตั้ง และเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
5. พื้นผิวของเสียง
พื้นผิวของเสียง หมายถึง ลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทั้งที่ประสานสัมพันธ์และไม่ประสานสัมพันธ์ โดยอาจจะเป็นการนำเสียงมาบรรเลงซ้อนกันหรือพร้อมกันจนเกิดเป็นพื้นผิวทางดนตรีซึ่งอาจพบทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนตามกระบวนการประพันธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทั้งหมดเหล่านั้น จัดเป็นพื้นผิวตามนัยของดนตรีทั้งสิ้น ลักษณะรูปแบบพื้นผิวของเสียงมีอยู่หลายรูปแบบ
5.1 Monophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทำนองเดียว ไม่มีเสียงประสาน พื้นผิวเสียงในลักษณะนี้ถือเป็นรูปแบบการใช้แนวเสียงของดนตรีในยุคแรกๆ ของดนตรีในทุกวัฒนธรรม มีพัฒนาการมาจากเพลงสวดในศาสนพิธีของชาวคริสเตียน ซึ่งเรียกว่าเพลงชานท์ ( Chant หรือ Plainsong)
5.2 Polyphonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบด้วยแนวทำนองตั้งแต่สองแนวทำนองขึ้นไป โดยแต่ละแนวมีความเด่นและเป็นอิสระจากกัน ในขณะที่ทุกแนวสามารถประสานกลมกลืนไปด้วยกัน ลักษณะของแนวเสียงจะประสานกันในรูปแบบของ Polyphonic Texture ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากเพลงชานท์ (Chant) ซึ่งมีพื้นผิวเสียงในลักษณะของเพลงทำนองเดียว (Monophonic Texture) และเพลงชานท์ภายหลังได้มีการเพิ่มแนวขับร้องเข้าไปอีกหนึ่งแนว แนวที่เพิ่มเข้าไปใหม่นี้จะใช้ระยะขั้นคู่ 4 และคู่ 5 และดำเนินไปในทางเดียวกับเพลงชานท์เดิม การดำเนินทำนองในลักษณะนี้เรียกว่า “ออร์กานุ่ม” (Orgonum) นับได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้น ของการประสานเสียงแบบ Polyphonic Texture หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา แนวทำนองประเภทนี้ ได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่การสอดทำนอง (Counterpoint) ได้เข้าไปมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการตกแต่งพื้นผิวของแนวทำนองแบบ Polyphonic Textureสรุป คือ การที่เรานำเอาทำนองที่แตกต่างกัน 2 ทำนองหรือมากกว่า 2 ทำนองมาเล่นด้วยกันหรือบรรเลงพร้อมกันแล้วเกิดการประสานอย่างกลมกลืน
5.3 Homophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประสานด้วยแนวทำนองแนวเดียว โดยมีกลุ่มเสียง (Chords) ทำหน้าที่สนับสนุนในคีตนิพนธ์ประเภทนี้ แนวทำนองมักจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงสูงที่สุดในบรรดากลุ่มเสียงด้วยกัน ในบางโอกาสแนวทำนองอาจจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงต่ำได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าคีตนิพนธ์ประเภทนี้จะมีแนวทำนองที่เด่นเพียงทำนองเดียวก็ตาม แต่กลุ่มเสียง (Chords) ที่ทำหน้าที่สนับสนุนนั้นก็มีความสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่าแนวทำนอง การเคลื่อนที่ของแนวทำนองจะเคลื่อนไปในแนวนอน ในขณะที่กลุ่มเสียงสนับสนุนจะเคลื่อนไปในแนวตั้ง
4.4 Heterophonic Texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทำนองหลายทำนอง ซึ่งแต่ละแนวมีความสำคัญเท่ากันทุกแนว คำว่า Heteros เป็นภาษากรีก หมายถึงแตกต่างหลากหลาย ลักษณะการผสมผสานของแนวทำนองในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบการประสานเสียง
6. สีสันของเสียง (Tone Color)
สีสันของเสียง หมายถึง คุณลักษณะเฉพาะของเสียงนั้นๆ ที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติของเสียงนั้น ๆ แหล่งกำเนิดเสียง ดังกล่าว เป็นได้ทั้งที่เป็นเสียงร้องของมนุษย์และเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานของความแตกต่างกันในด้านสรีระ เช่น หลอดเสียงและกล่องเสียง เป็นต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีนั้น ความหลากหลายด้านสีสันของเสียง ประกอบด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น วิธีการบรรเลง วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรี รวมทั้งรูปทรง และขนาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อสีสันของเสียงเครื่องดนตรี ทำให้เกิดคุณลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันออกไป
6.1 วิธีการบรรเลง หรือการผลิตเสียง โดยวิธีดีด สี ตี และเป่า ซึ่งวิธีการผลิตเสียงดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยให้เครื่องดนตรีมีคุณลักษณะของเสียงที่ต่างกัน
6.2 วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรีวัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรีของแต่ละวัฒนธรรมจะใช้วัสดุที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของสังคมและยุคสมัย ซึ่งวัสดุที่นำมาใช้ในการทำเครื่องดนตรีที่เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในด้านสีสันของเสียง
6.3 ขนาดและรูปทรง เครื่องดนตรีที่มีรูปทรงและขนาดที่ไม่เหมือนกัน จะทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกันเช่น เครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กจะทำให้เกิดเสียงสูง และเครื่องดนตรีที่มีขนาดให