Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

How to work safely in a health care team?, สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงก…

- - - - วิธียื่นคาร้อง
        
        ยื่นคาร้องด้วยตนเองที่หน่วยรับคำร้อง
        
        ส่งคำร้องทางไปรษณีย์ลงทะเบียน โดยคณะกรรมการจะถือวันที่ประทับตราเป็นวันที่ยื่นคาร้อง
        
        สถานที่ยื่นคาร้อง
        ต่างจังหวัด —-> สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสาขาจังหวัด (สสจ.) ที่เกิดเหตุ
        กทม. —-> สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสาขาเขต13 กรุงเทพมหานคร
- - - - มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายเเละการวางเเผนการดูเเลรักษา
      - รับทราบเเนวทางหรือเเผนการดูเเลรักษาอย่างชัดเจน
      - ได้รับการสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในด้านต่างๆ
      - พักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลาน้อยลง เเละเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยลง
      - ได้รับการตอบสนองตามความต้องการทำให้มีความพึงพอใจต่อการบริการสุขภาพมากขึ้น
    - - ให้บริการสุขภาพที่มีมาตรฐานมีคุณภาพเเละมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ลดการใช้ยา อุปกรณ์หรือการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นลดลง เพิ่มประสิทธิภาพของการผ่าตัด
      - ช่วยให้การติดต่อการสื่อสารระหว่างสมาชิกในทีมสุขภาพเป็นไปอย่างราบรื่นเเละชัดเจน
      - สะท้อนการปฏิบัติกิจกรรมการดูเเลรักษาผู้ป่วยให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น
      - เป็นข้อมูลที่เสริมสร้างให้เกดิการวิจัยเเละสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเกี่ยวกับกระบวนการดูเเลรักษา
    - - เเสดงให้เห็นคุณภาพการให้บริการดูเเลรักษา เเละใช้เป็นข้อมูลประกอบการตรวจสอบคุณภาพโรงพยาบาล
      - เสริมสร้างสถานภาพเเละภาพลักษณ์ที่ดีให้เเก่สถานบริการ เเละสามารถดำเนินกิจการต่อไปท่ามกลางการเเข่งขันการให้บริการที่มีมากขึ้นได้ดี
- - - - เพื่อออกใบอนุญาต ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับยาหรือใบรับรอง ตลอดจนการพิจารณาใด ๆ
        เก่ียวกับยา
    - - โดยให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ” หมายความว่า ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ด้านเวช กรรมไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยด้านเภสัชกรรมไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ประยุกต์ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนตาม กฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ ”
    - - โดยคํานึงถึง ประเภท ชนิดและลักษณะของยาหรือหมวดยาท่ีกําหนดไว้ในใบอนุญาตหรือขนาดและกิจการของ ผู้ประกอบการก็ได้ กฎกระทรวงและประกาศน้ัน เม่ือได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
    - - ให้คณะกรรมการมีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาศึกษาหรือวิจัย เกี่ยวกับ เรื่องที่อยู่ในหน้าท่ีและอํานาจของคณะกรรมการ และเรื่องกระบวนการพิจารณาอนุญาตยา
  - - - ปัจจุบัน : พระราชบัญญัติยา ฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2562
        
        เนื่องจากพระราชบัญญัติยาพ.ศ. 2510 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันจึงสมควรปรับปรุง บทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม เพิ่มหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการศึกษาวิจัยยา การอ้างอิงมาตรฐานที่เป็นสากล การกําหนดอายุ และการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับยา กระบวนการพิจารณาอนุญาตยา บทกําหนดโทษ และปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องตรา พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562
    - - ยาอันตราย
      - ยาสามัญประจําบ้าน
      - ชนิดท่ีมีอันตรายร้ายแรงมากเป็นยา ควบคุมพิเศษ
- - - - 1.นำผู้มีเหตุสงสัยว่าเป็นโควิด19 มารับการตรวจชันสูตร แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต
        
        ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท (มาตรา 51)
      - ให้ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดโรคมารับภูมิคุ้มกันโรค
        
        ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท (มาตรา 51)
      - นำศพ ซากสัตว์ไปรับการตรวจ /จัดการทางการแพทย์
        
        ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน1ปี/ปรับไม่เกิน100,000 บาท/ทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา52)
      - 4.ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง/ผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่หรือพาหะ กำจัดความติดโรค หรือทำลายสิ่งใดๆ
        
        ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน1ปี/ปรับไม่เกิน100,000 บาท/ทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา52)
      - 5.ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่หรือพาหนะ กำจัดสัตว์ แมลง ตัวอ่อนของแมลง
        
        ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท (มาตรา 51)
      - ห้ามผู้ใดทำการ/ดำเนินการซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะไม่ถูกสุขลักษณะ
        
        ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท (มาตรา 51)
      - ห้ามผู้ใดเข้าไปหรือออกจากที่เอกเทศ
        
        ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน1ปี/ปรับไม่เกิน100,000 บาท/ทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา52)
      - เข้าไปในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือพาหนะที่มี สงสัยว่ามีโควิด19 เกิดขึ้น เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม มิให้มีการแพร่ของโรค
        
        ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน1ปี/ปรับไม่เกิน100,000 บาท/ทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา52)
    - - สั่งปิดตลาดสถานที่ประกอบหรือจำหน่ายอาหารสถานที่ผลิตหรือจำหน่ายเครื่องดื่ม โรงงาน สถานที่ชุมชนชน โรงมหรสพ สถานศึกษา หรือสถานที่อื่นใดไว้เป็นการชั่วคราว
      - 2.สั่งให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดหยุดการประกอบอาชีพเป็นการชั่วคราว
      - 3.สั่งห้ามผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดเข้าไปในสถานที่ชุมชน โรงมหรสพ สถานศึกษา หรือสถานที่อื่นใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
      - ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 35 มีโทษจำคุกไม่เกิน1ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามบทกำหนดโทษ มาตรา 52)
- - - - มาตรา 40 การจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นหรือสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คสช. กำหนดในกรณีที่สมัชชาสุขภาพตามวรรคหนึ่งมีข้อเสนอให้หน่วยงานของรัฐนำไปปฏิบัติหรือนำไปพิจารณาประกอบในการกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพให้เสนอต่อคสช. เพื่อพิจารณาดำเนินการให้บรรลุผลตามควรแก่กรณีต่อไป
      - มาตรา 41 ให้คสช. จัดให้มีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
      - มาตรา 42 ในการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติให้คสช. แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติคณะหนึ่งมีจำนวนตามที่คสช. กำหด
      - มาตรา 43 ให้คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติมีหน้าที่ในการจัดการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำหนดวันเวลาและสถานที่ในการประชุมซึ่งต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันประชุม
      - มาตรา 44 ผู้ใดประสงค์จะเข้าร่วมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในการประชุมครั้งใดให้สมัครลงทะเบียนสำหรับการประชุมครั้งนั้นต่อเจ้าหน้าที่ที่คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำหนดตามแบบและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำหนด
      - มาตรา 45 ในกรณีที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติมีข้อเสนอให้หน่วยงานของรัฐนำไปปฏิบัติหรือนำไปพิจารณาประกอบในการกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพให้เสนอต่อคสช. เพื่อพิจารณาดำเนินการให้บรรลุผลตามควรแก่กรณีต่อไป
    - - มาตรา 13 ให้มีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คสช.” ประกอบด้วย
        
        (5 ) ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นกรรมการ
        
        (6 ) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเลือกกันเองจํานวนสี่คน เป็นกรรมการ
        
        (4 ) ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการ
        
        (7 ) ผู้แทนองค์กรวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่มีกฎหมายจัดต้ังองค์กรละหนึ่งคน เป็นกรรมการ
        
        (3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่นายกรัฐมนตรีกําหนดจํานวนไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ
        
        (8 ) ผู้แทนคณะกรรมการวิชาชีพท่ีจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ จํานวนหน่ึงคน เป็นกรรมการ
        
        (2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ
        
        (9) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ต้องไม่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขโดยเลือกกันเองจํานวนหกคน เป็นกรรมการ
        
        (1) นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีท่ีนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ
        
        (10 ) ผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่ไม่แสวงหากําไร ไม่ว่าจะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ซึ่งเลือกกันเองจํานวนสิบสามคน เป็นกรรมการ
      - มาตรา 14 กรรมการตามมาตรา 13 (6) (7) (8) (9) และ (10) ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
      - มาตรา 15 การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 (6)
      - มาตรา 16 การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 (8)
      - มาตรา 17 การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 (9)
      - มาตรา 20 ให้คณะกรรมการสรรหามีหน้าที่และ อํานาจ
      - มาตรา 21 กรรมการตามมาตรา 13 (6) (7) (8) (9) และ (10) มีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละส่ีปี
      - มาตรา 19 ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะหน่ึง ซึ่ง คสช. แต่งต้ัง
      - มาตรา 18 การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 (10)
      - มาตรา 22 นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ
      - มาตรา 25 ให้ คสช. มีหน้าท่ีและอํานาจ
      - มาตรา 23 นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ กรรมการตามมาตรา 13 (6) (7) (8) (9) และ (10) พ้นจากตําแหน่ง เมื่อ
      - มาตรา 24 หลักเกณฑ์และวิธีการการประชุม คสช. และการปฏิบัติงานของ คสช
    - - มาตรา 47 ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
      - มาตรา 48 ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ และนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพตามมาตรา 25 (2) ที่คณะรัฐมนตรีให้ ความเห็นชอบแล้ว ให้ผูกพันหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นท่ี เกี่ยวข้องท่ีจะต้องดําเนินการต่อไปตามอํานาจหน้าที่ของตน
      - มาตรา 46 ให้คสช. จัดทําธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพ แห่งชาติเพื่อใช้เป็นกรอบเเละแนวทางในการ กําหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และการดําเนินงานด้านสุขภาพ
    - - มาตรา 49 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน หกเดือนหรือปรับไม่เกินหน่ึงหม่ืนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้
        บทเฉพาะกาล มาตรา ๕๐ ถึง มาตรา ๕๕
    - - มาตรา 26 ให้จัดตั้งสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
      - มาตรา 27 ให้สํานักงานมีหน้าที่และอํานาจ
      - มาตรา 28 รายได้ของสํานักงาน
      - มาตรา 29 บรรดารายได้ของสํานักงานตามมาตรา 28 ไม่เป็นรายได้ท่ีต้องนําส่งกระทรวงการคลัง
      - มาตรา 30 การเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินของสํานักงานให้เป็นไปตามระเบียบ
      - มาตรา 31 ให้มีเลขาธิการคนหน่ึงเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงานของสํานักงาน
      - มาตรา 32 ให้เลขาธิการมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละส่ีปี สองวาระ
      - มาตรา 33 นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ
      - มาตรา 34 เลขาธิการมีหน้าท่ีและอํานาจ
      - มาตรา 35 เงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของเลขาธิการ
      - มาตรา 36 ให้เลขาธิการเป็นผู้แทนของสํานักงานในกิจการของสํานักงาน
      - มาตรา 37 ให้ คสช. แต่งต้ังคณะกรรมการบริหาร
      - มาตรา 38 การดํารงตําแหน่ง การพ้นจากตําแหน่ง การประชุมและการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหาร ให้ เป็นไปตามระเบียบท่ี คสช. กําหนด
      - มาตรา 39 คณะกรรมการบริหารมีหน้าที่และอํานาจ
    - - มาตรา 5 บุคคลมีสิทธิในการดํารงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและ สภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อสุขภาพ
      - มาตรา 6 สุขภาพของหญิงในด้านสุขภาพทางเพศ สุขภาพของระบบเจริญพันธุ์ สุขภาพของเด็ก คนพิการ คนสูงอายุ คนด้อยโอกาสในสังคมและ กลุ่มคนต่าง ๆ ต้องได้รับการสร้างเสริม และคุ้มครองอย่าง สอดคล้องและเหมาะสม
      - มาตรา 7 ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนําไปไม่ได้ เว้นเเต่ได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นโดยตรง
      - มาตรา 8 บุคลากรด้านสาธารณสุข ต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการให้ผู้รับบริการ ทราบอย่างเพียงพอ ในกรณีที่เกิดความเสียหายหรืออันตรายแก่ผู้รับบริการเพราะเหตุ ที่ผู้รับบริการปกปิด ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดชอบ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ให้บริการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนี้
        
        1) ผู้รับบริการอยู่ในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและมีความ จําเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเป็นการรีบด่วน
        
        2) ผู้รับบริการไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ และไม่อาจ แจ้งให้บุคคลซึ่งเก็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
      - มาตรา 9 เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เกิดข้ึน หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผย ข้อมูลนั้นและวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและ จัดหาข้อมูลให้โดยเร็ว
      - มาตรา 10 เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดข้ึน หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูล เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้นและวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและจัดหา ข้อมูลให้โดยเร็ว
      - มาตรา11 บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิร่วมในกระบวนการ ประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะบุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูล คําชี้แจง และ เหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการอนุญาตหรือ การดําเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อ สุขภาพของตนหรือของชุมชนและแสดงความเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว
      - มาตรา 12 บุคคลมีสิทธิทําหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อ ยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทํา น้ันเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง
  - - - มาตรา ๑ พระราชบัญญัติน้ีเรียกว่า “พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐”
      - มาตรา ๒ พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
      - มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
- - - - ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยบุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยในสถานพยาบาล ในความควบคุมของ ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล การผดุงครรภ์ หรือการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
        
        โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
        
        ข้อ ๑ ระเบียบน้ีเรียกว่า “ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยบุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแล ผู้ป่วยในสถานพยาบาล ในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล การผดุงครรภ์ หรือการ พยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. ๒๕๕๓”
        
        ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
        
        ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยบุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยใน สถานพยาบาล ในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล การผดุงครรภ์ หรือการพยาบาล และการผดุงครรภ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
        
        ข้อ ๔ ในระเบียบน
        
        “บุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย” หมายความว่า บุคคลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตร ผู้ช่วยพยาบาลตามข้อบังคับสภาการพยาบาล ว่าด้วยการรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล
        
        “การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย” หมายความว่า การกระทําหรือการปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือการช่วย การพยาบาลตามระเบียบนี้
        
        “สถานพยาบาล” หมายความว่า สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล “ควบคุม” หมายความว่า การดูแลหรือการกํากับดูแล
        
        “ควบคุม” หมายความว่า การดูแลหรือการกํากับดูแล
        
        ข้อ ๕ บุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย ต้องทําการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยภายใต้หลักเกณฑ์
        วิธีการและเงื่อนไข ตามที่กําหนดในระเบียบน
        
        ข้อ ๖ การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย จะกระทําได้เฉพาะ
        
        ๖.๑ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในระเบียบนี้
        
        ๖.๒ การกระทําในสถานพยาบาล
        
        ๖.๓ การกระทําที่ได้รับมอบหมาย และอยู่ในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพ การพยาบาล ชั้นหนึ่ง การผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง หรือการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง
        
        ข้อ ๗ ให้บุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย กระทําการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยที่มีอาการในระยะ ไม่รุนแรง หรือในระยะที่ไม่เป็นอันตรายได้
        
        ๗.๑ การช่วยรับผู้ป่วยที่ผ่านการกลั่นกรองและวินิจฉัยแยกประเภทแล้ว
        
        ๗.๓ การทํากิจกรรมเพื่อการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยและการบันทึกรายงาน
        
        ๗.๒ การช่วยย้ายและจําหน่ายผู้ป่วยจากหอผู้ป่วย
        
        ๗.๔ การรักษาความสะอาดร่างกายผู้ป่วยและการเช็ดตัวเพื่อลดไข
        
        ๗.๗ การช่วยเหลือผู้ป่วยในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ และการชําระล้าง
        
        ๗.๑๒ การทําความสะอาดและจัดสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย เช่น ตู้ เตียง และอุปกรณ์
        ทางการแพทย์และการพยาบาล
        
        ๗.๕ การช่วยเหลืออุ้ม ยก พยุง เคลื่อนย้ายผู้ป่วยขณะอยู่ในที่นอน เปล รถเข็น เก้าอี้ห้องน้ํา
        
        ๗.๑๑ การให้ความรู้ด้านสุขวทิ ยาส่วนบุคคล
        
        ๗.๖ การจัดเตรียมและให้อาหารผู้ป่วย
        
        ๗.๘ การทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของผู้คลอดและผู้ป่วยนรีเวช
        
        ๗.๑๐ การป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค
        
        ๗.๙ การใช้ยาทาภายนอก
        
        ข้อ ๘ ให้บุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย แต่งกายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้
        
        ๘.๑ แต่งกายชุดสุภาพสีขาว ไม่สวมหมวก
        
        ๘.๒ ปักชื่อ - ช่ือสกุล และตําแหน่งท่ีอกเส้ือด้านซ้ายสีชมพูให้เห็นได้อย่างชดั เจน
        
        ข้อ ๙ ให้บุคคลที่ผ่านการอบรมในหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑ ปี ตามหลักสูตรที่คณะกรรมการสภาการพยาบาลรับรองอยู่แล้วก่อน หรือในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ เป็นบุคคลซึ่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยตามระเบียบน
        
        ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีปัญหาตามระเบียบนี้ ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
        
        ข้อ ๑๑ ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการตามระเบียบน
- - - - มาตรา 44 ให้สำนักงานจัดให้มีการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการแล้วประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเพื่อดำเนินการลงทะเบียนเลือกเป็นหน่วยบริการประจำของตนตามมาตรา 6
      - มาตรา 45ให้หน่วยบริการมีหน้าที่
        
        1.ให้บริการสาธารณสุขรวมทั้งการใช้วัคซีนยาเวชภัณฑ์อุปกรณ์ในการรักษาได้มาตรฐานและมีคุณภาพโดยให้ความเสมอภาคและอำนวยความสะดวกในการให้บริการสาธารณสุขที่จําเป็นตลอดจนเคารพในสิทธิส่วนบุคคลในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเชื่อ
        
        2.ให้ข้อมูลการบริการสาธารณสุขของผู้รับบริการตามที่ผู้รับบริการร้องขอและตามประกาศที่มีการกำหนดเกี่ยวกับสิทธิของผู้ป่วยและผู้รับบริการโดยไม่บิดเบือนทั้งในเรื่องผลการวินิจฉัยแนวทางวิธีการทางเลือกและผลในการรักษารวมทั้งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้รับบริการตัดสินใจในการเลือกรับบริการหรือถูกส่งต่อ
        
        3.ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับชื่อแพทย์เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือผู้รับผิดชอบในการดูแลอย่างต่อเนื่องทางด้านสุขภาพกายและสังคมแก่ญาติหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้รับบริการอย่างเพียงพอก่อนจําหน่ายผู้รับบริการออกจากหน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการ
        
        4.รักษาความลับของผู้รับบริการจากการปฏิบัติหน้าที่ตาม (1) และ (2) อย่างเว้นแต่เป็นการเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเคร่งครัด
        
        5.จัดทำระบบข้อมูลการให้บริการสาธารณสุขเพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบคุณภาพและบริการรวมทั้งการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข
      - มาตรา 46 หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการตามมาตรา 44 และหน่วยบริการที่รับการส่งต่อผู้รับบริการมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขจากกองทุนตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกําหนด
      - มาตรา 47 เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับบุคคลในพื้นที่โดยส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมตามความพร้อมความเหมาะสมและความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นให้คณะกรรมการสนับสนุนและประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้องค์กรดังกล่าวเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่โดยให้ได้รับค่าใช้จ่ายจากกองทุนรวม
    - - มาตรา 7 บุคคลที่ได้ลงทะเบียนให้ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขได้จากหน่วยบริการประจำของตนหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายหน่วยบริการที่เกี่ยวข้อง หรือจากหน่วยบริการอื่นที่หน่วยบริการประจำของตนหรือเครือข่ายหน่วยบริการที่เกี่ยวข้องส่งต่อ เว้นแต่กรณีที่มีเหตุสมควร หรือกรณีอุบัติเหตุหรือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ให้บุคคลนั้นมีสิทธิเข้ารับบริการจากสถานบริการอื่นได้
      - มาตรา 6 บุคคลใดประสงค์จะใช้สิทธิตามมาตรา 5 ให้ยื่นคําขอลงทะเบียนต่อสํานักงานหรือหน่วยงานที่สํานักงานกําหนด เพื่อเลือกหน่วยบริการเป็นหน่วยบริการประจํา
      - มาตรา 5 บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพตามที่กําหนด
      - มาตรา 8 ผู้ซึ่งมีสิทธิตามมาตรา 5 ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนตามมาตรา 6 อาจเข้ารับบริการครั้งแรกที่หน่วยบริการใดก็ได้ และให้หน่วยบริการที่ให้บริการแก่บุคคลดังกล่าวจัดให้บุคคลน้ันลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจําตามมาตรา 6 และแจ้งให้สํานักงานทราบภายในสามสิบวันนับแต่ให้บริการ โดยหน่วยบริการดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายสำหรับการให้บริการครั้งนั้น
      - มาตรา 9 ขอบเขตของสิทธิรับบริการสาธารณสุขของบุคคล ดังต่อไปนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ มติคณะรัฐมนตรีที่คำสั่งใดๆ ที่กำหนดขึ้นสำหรับส่วนราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจ หรือรายงานอื่นๆของรัฐ ให้ใช้สิทธิดังกล่าวตามดังนี้
        
        (1) ข้าราชการหรือลูกจ้างส่วนราชการ
        
        (2) พนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
        
        (3) พนักงานจ้างของรัฐวิสาหกิจ
        
        (4) บิดามารดา คู่สมรส หรือบุคคลที่ได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาล โดยอาศัยสิทธิของทุกคนตาม (1) (2) หรือ (3)
      - มาตรา 10 ขอบเขตของสิทธิรับบริการสาธารณสุขของผู้มีสิทธิตามกฏหมายว่าด้วยประกันสังคมให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฏหมายว่าด้วยประกันสังคม การขยายบริการสาธารณะสุขตามพระราชบัญญัตินี้ไปยังผู้มีสิทธิตามกฏหมายว่าด้วยประกันสังคมให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการและคณะกรรมการประกันสังคมตกลงกัน
      - มาตรา 11 ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฏหมายว่าด้วยเงินทดแทนผู้ใดใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อใดแล้วให้หน่วยบริการแจ้งการเข้ารับบริการนั้นต่อสำนักงานและให้สำนักงานมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขจากกองทุนเงินทดแทนแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดตามกฏหมายว่าด้วยเงินทดแทนส่งเข้ากองทุนเพื่อให้ส่งต่อในหน่วยบริการต่อไป
      - มาตรา 12 ในกรณีที่ผู้ประสบภัยจากรถตามกฏหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถผู้ใดใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อใดแล้วให้หน่วยบริการแจ้งการเข้ารับบริการนั้นต่อสำนักงานและให้สำนักงานมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย แต่ไม่เกินจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามภาระหน้าที่ที่กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยต้องจ่ายตามกฏหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถส่งเข้าของทุนเพื่อส่งต่อให้ใหม่บริการต่อไป