Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิจัยที่เกี่ยวข้องกับระยะปฏิสนธิ - Coggle Diagram
วิจัยที่เกี่ยวข้องกับระยะปฏิสนธิ
Implantation of embryo inhuman (Sanjib Kr Das,2020)
ระยะเวลา
หลังจากไปถึงมดลูก บลาสโตซิสต์ที่กำลังพัฒนามักจะยังคงอยู่ในโพรงมดลูกเป็นเวลา 1 ถึง 3 วันก่อนจะปลูกถ่ายในเยื่อบุโพรงมดลูก ในวันที่ 6 ถึง 7 หลังจากการปฏิสนธิบลาสโตซิสต์สัมผัสกับผนังเยื่อบุโพรงมดลูกและในวันที่ 12 จะมีการปลูกฝังอย่างเหมาะสม
คำจำกัดความ
• การฝังตัวเป็นกระบวนการที่พัฒนาบลาสโตซิสต์ ( ไข่ที่ปฏิสนธิดัดแปลง)ยึดตัวเองหลวมๆ ( ฝัง) กับบริเวณที่กำหนดบนผนังมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูก
ผลของฮอร์โมนในการปลูกฝังตัวอ่อน
estrogen hormone และ progesterone hormone ที่หลั่งจากรั่งไข่ภายใต้การควบคุมของ hormone FSH และ hormone LH ช่วยในการเจริญเติบโตของชั้นเยื่อบุโพรงมดลูกในมดลูกและเตรียมพร้อมสำหรับการฝั่งตัว
รูป : A. การตกไข่ การปฏิสนธิของไข่ในท่อนำไข่ และการฝั่งตัวของ blastocyteในมดลูก ฺฺB. การกระทำของ trophoblast ในการฝั่งตัว blastocyte ในเยื่อบุโพรงมดลูก
สถานที่ในการฝังตัว
บลาสโตซิสต์ถูกฝังที่อวัยวะของมดลูกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของมดลูก
กระบวนการฝั่งตัวของ Blastocyst ในมดลูก
ไข่หรือไซโกตที่ปฏิสนธิผ่านการแบ่งเซลล์ไมโทติคอย่างรวดเร็วและซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเปลี่ยนเป็น Morula หลังจากการปฏิสนธิเกิดขึ้น โดยปกติต้องใช้เวลาอีก 3 ถึง 5 วันในการขนส่งไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ผ่านส่วนที่เหลือของท่อนำไข่เข้าสู่โพรงมดลูก การหลั่งและการทำงานของเยื่อบุผิว ciliated ที่อยู่ในท่อ และจะเข้าไปทางสู่มดลูกเสมอ การหดตัวที่ไม่แข็งแรงของท่อนำไข่ช่วยเป็นทางผ่านของไข่ได้ ภายในมดลูก morula เปลี่ยนเป็นบลาสโตซิสต์ 100 เซลล์ การอยู่แบบอิสระ 3 ถึง 6 วัน บลาสโตซิสต์ถูกฝังไว้ที่เยื่อบุโพรงมดลูกของมดลูก
ก่อนการฝังตัว บลาสโตซิสต์จะได้รับสารอาหารจากการหลั่งของเยื่อบุโพรงมดลูกในมดลูก เรียกว่า uterine milk การฝังตัวเป็นผลมาจากการทำงานของเซลล์โทรโฟบลาสต์ที่พัฒนาบนพื้นผิวของบลาสโตซิสต์ เซลล์เหล่านี้หลั่งเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ย่อยและทำให้เซลล์ที่อยู่ติดกันของเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นของเหลว ของเหลวและสารอาหารบางส่วนที่ปล่อยออกมาจะถูกขนส่งโดยเซลล์โทรโฟบลาสต์เดียวกันไปยังบลาสโตซิสต์ ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโต เมื่อเกิดการฝังตัว เซลล์โทรโฟบลาสต์และเซลล์อื่นๆ ที่อยู่ติดกัน (จากตัวบลาสโตซิสต์และเยื่อบุโพรงมดลูกในมดลูก) จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นรกและเยื่อหุ้มต่างๆ ของการตั้งครรภ์
รูป : blastocyte ที่ฝั่งตัวในระยะแรก โดยมี embryo ขนาดเล็กแสดงการย่อยอาหารแบบ trophoblastic และการบุกรุกของเยื่อบุโพรงมดลูก
การเปรียบเทียบอัตราการฝังตัวและการตั้งครรภ์ของตัวอ่อนระยะคลีเวจและบลาสโตซิสที่ทําการย้ายฝากตัวอ่อนเข้าสู่ภายในโพรงมดลูกรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก (กาญจนรัตน์ โพธิ์ศรี,2558)
การปฏิสนธิ (Fertilization)
กระบวนการปฏิสนธิเริ่มต้นเมื่ออสุจิพบกับไข่และจะสิ้นสุดเมื่อมีการแบ่งตัวครั้งแรกโดยตัวอสุจิจะผ่านชั้นของโซนาแพลลูซิดา (zonapellucida: ZP) เข้าไปในเซลล์ไข่และมีการรวมตัวกัน
ประเภทของการปฏิสนธิ
การปฏิสนธิภายในร่างกาย (in vivo fertilization)
ภายหลังการร่วมเพศจะมีการหลั่งน้ำอสุจิ (semen) เข้าสู่ช่องคลอดของเพศหญิงโดยอสุจิจะเดินทางผ่านปากมดลูกโพรงมดลูกไปจนถึงบริเวณ ampulla ของท่อนำไข่
การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (in vitro fertilization)
เป็นกระบวนการที่นำเอาเซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาปฏิสนธิกันภายในหลอดทดลองซึ่งไข่ที่ถูกผสมแล้วจะนำไปใส่ในโพรงมดลูกหรือท่อนำไข่เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
ขั้นตอนการปฏิสนธิ
อสุจิผ่านชั้น corona radiata ของเซลล์ไข่ไข่ที่ตกจากรังไข่จะมีเซลล์และสารต่างๆล้อมรอบแบ่งเป็นชั้น corona radiata และ cumulus oophorus เอ็นไซม์ที่ส่วนหัวของอสุจิจะถูกปล่อยออกมาย่อยสลายชั้นต่างๆ (acrosome)
อสุจิผ่านชั้นของ ZP
ZP เป็นสาร glycoprotein ซึ่งมีความหนาประมาณ 15 ไมครอนตัวอสุจิจะทำการจับกับตัวรับ (receptor) บน ZP ในการผ่านชั้นนี้ต้องอาศัยเอ็นไซม์ช่วยในการย่อยสลาย ZP คือ Trypsin-like proteinase และ Zonalysin จากส่วนหัวของเซลล์อสุจิ เมื่อย่อยสลาย ZP ได้แล้วอสุจิจะผ่านเข้าไปใน perivitellin space ระยะเวลาที่เซลล์อสุจิเจาะผ่านชั้น ZP น้อยกว่า 1 ชั่วโมงส่วนใหญ่จะผ่านชั้น ZP เพียงตัวเดียว
การรวมกันระหว่าง membrane ของอสุจิและไข่เมื่ออสุจิผ่าน ZP เข้าไปได้แล้วส่วนของ plasma membrane ของอสุจิและไข่จะรวมกันในการปฏิสนธินอกร่างกายจะพบการรวมของ membrane ของอสุจิกับไข่ประมาณ 2 ชั่วโมงหลัง insemination
Zona reaction ZP เปลี่ยนแปลงไปโดยมีความแข็งมากขึ้นและตัวรับต่ออสุจิที่อยู่บน ZP จะลดจํานวนลงเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิอื่นผ่านเข้าไปในไข่ได้อีก
องค์ประกอบของอสุจิ
1.ส่วนหาง (Tail) ประกอบด้วย flagella ซึ่งมี microtubule 9+2 การเคลื่อนที่ของ microtubule ทำได้โดยการขับเคลื่อนของโปรตีน dynein
2.ส่วนคอ (midpiece) อยู่ใกล้กับส่วนหาง มี sheath mitochondria ซึ่งผลิต ATP ที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนไหวของหาง
3.ส่วนหัว (Head) ประกอบด้วยนิวเคลียของอสุจิ และมีถุงน้ำที่มีเยื่อหุ้ม เรียกว่า Acrosome
การฝังตัวของตัวอ่อน(Implantation)
การฝังตัวของตัวอ่อนเป็นกระบวนการที่ตัวอ่อนยึดเกาะกับผนังเยื่อบุโพรงมดลูกโดยแทรกตัวผ่านเยื่อบุโพรงมดลูกโดยปกติจะเกิดการฝังตัวประมาณวันที่ 5-7 หลังจากการปฏิสนธิ (Speroff et al, 1994) ก่อนที่จะฝังตัวตัวอ่อนจะมีการฟักตัวออกจาก ZP ก่อน (hatching) การฝังตัวของตัวอ่อนจะเกิดขึ้นในขณะที่ตัวอ่อนอยู่ในระยะ blastocyst มีขั้นตอนดังนี้
Attachment คือการสัมผัสระหว่าง trophoblast ของตัวอ่อนกับเยื่อบุโพรงมดลูก
Penetration หลังจากที่ trophoblast ของตัวอ่อนสัมผัสกับเยื่อบุโพรงมดลูก trophoblast จะแทรกตัวลงไปในเยื่อบุโพรงมดลูก Syncytiotrophoblast ซึ่งเจริญมาจาก trophoblast จะแทรกตัวลงไปในเยื่อบุโพรงมดลูกจนถึงชั้น basement membrane จากันจะแทรกตัวต่อลงไปในชั้น stroma จนถึงระบบไหลเวียนเลือกของมารดาในระยะนี้ trophoblast จะสร้าง extracellular matrix proteins เช่น fibronectin, laminin และ intregin เพื่อทำให้ trophoblast สามารถยึดเกาะกับเยื่อบุโพรงมดลูกได้แน่นยิ่งขึ้น (Speroff et al, 1994) หลังจาก trophoblast ฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูกแล้วก็จะเจริญต่อไปเป็นรกส่วน embryoblast จะเจริญไปเป็นทารกที่อยู่ในครรภ์
Implantation เมื่อมีการฝังตัวของตัวอ่อนเกิดขึ้นเยื่อบุโพรงมดลูกจะเปลี่ยนแปลงเป็น decidua โดยเป็นผลมาจากโปรเจสเตอโรนและอีสโทเจนการเปลี่ยนแปลนี้เป็นกลไกสำคัญในการยั้งไม่ให้ trophoblast แทรกตัวลึกเกินไป (Speroff et al, 1994) ทันทีที่ trophoblast เริ่มฝังตัวก็จะมีการสร้าง hCG เพิ่มขึ้นสามารถตรวจวัดได้ในเลือดของมารดาภายใน 2-3 วัน
การฝังตัวของตัวอ่อนจะเกี่ยวข้องกับระยะการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและความสามารถในการรับการฝังตัวอ่อนของมดลูก (uterine receptivity) ซึ่งมีระยะเวลา จำกัด ในภาวะปกติเหตุการณ์ทั้งสองจะสัมพันธ์ดันในกรณีที่ตัวอ่อนมีการเจริญไม่ดีหรือมีปัญหาที่มดลูกหรือการเจริญของตัวอ่อนไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะไม่มีการฝังตัวหรือการฝังตัวไม่ดีทำให้ไม่ตั้งครรภ์หรือการแท้งในระยะแรกสำหรับการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนนั้นขึ้นกับฮอร์โมนจากคอร์ปัสลูเทียมและปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในขั้นตอนต่างๆของการเจริญพันธุ์ระยะการฝังตัวของตัวอ่อนเป็นช่วงที่มีโอกาสล้มเหลวได้มาก
ระยะเวลาแต่ละวันของการปฏิสนธิ
วันที่ 1 หลังการปฏิสนธิ ที่เวลา 16-18 ชั่วโมงหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะเริ่มปรากฏ pronucleus 2 อันโดยอันที่หนึ่งเป็น nucleus ที่มาจากอสุจิของพ่อ(XY) และอีกอันหนึ่งมาจากไข่ของแม่(XX) ในระยะนี้จึงเรียกว่า pronuclear stage หรือระยะ Zygote
วันที่ 2 ที่เวลา 42-44 ชั่วโมงหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะแบ่งเป็น 4 เซลล์ ตัวอ่อนที่ปกติและมีคุณภาพดีจะมีขนาดเซลล์ใกล้เคียงกัน (Blastomere)และภายในเซลล์จะมีnucleus เซลล์ละ 1 nucleus (monoclear cell)
วันที่ 3 จะได้ 8 blastomere จะเรียกลักษณะนี้ว่า Morula และจึงผ่านเข้าโพรงมดลูก
วันที่ 4 จะมีของเหลวผ่านโพรงมดลูกเข้าสู่ Morula แทรกอยู่ที่ช่องว่างระหว่าง blastomere เรียกระยะนี้ว่า blastocyst stage จะแบ่ง blastomere เป็น 2ชั้น คือ trophoblast จะเจริญเป็นรกและ embryoblast จะเจริญเป็นตัวอ่อน
วันที่ 5 zona pellucida จะเสื่อมสลายหายไปเปลี่ยนเป็น late blastocyst จะอยู่อย่างอิสระในโพรงมดลูกอีกประมาณ 2 วันก่อนฝังตัว
วันที่ 6 ระยะ blastocyst จะเป็นการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโอกาสในการรอดชีวิตที่สูง
วันที่ 7 เมื่อ blastocyst ฝังตัว จะมีการเปลี่ยนแปลงของ embryoblast โดยมีชันของเซลล์ที่เรียกว่า hypoblast เกิดขึ้นที่ผิวของ embryoblast ด้านที่ติดกับ blastocyst cavity
ภาวะเเทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ด้วยกระบวนการเจริญพันธุ์
การแท้งบุตร (abortion)
อัตราการแท้งบุตรของคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากจะสูงกว่าอัตราการการแท้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติร้อยละ 18-26 (Goldman et al., 1988) ซึ่งอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากมารดาที่อายุมากโอกาสทางพันธุกรรมจึงสูงขึ้นและอาจเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเอนโดรเจนและ LH ที่สูงกว่าปกติ (Hull, 1995) ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวหรืออาจจะมีสาเหตุมาจากคุณภาพของตัวอ่อนไม่ดี
การตั้งครรภ์แฝด (multiple pregnancy)
การปฏิสนธินอกร่างกายมักมีการใส่ตัวอ่อนหลายใบเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ซึ่งอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์แฝดได้สูงกว่าปกติ (French In Vitro National, 1995) ในปัจจุบันได้มีกำหนดให้ใส่ตัวอ่อนครั้งละไม่เกิน 3 ตัวอ่อน
การตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy)
การย้ายตัวอ่อนใส่กลับยังสตรีที่มีบุตรยากโอกาสในการตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่าครรภ์ธรรมชาติร้อยละ 4-10 มีรายงายที่อธิบายสาเหตุของการเกิดไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน (French In Vitro National, 1995) ซึ่งการตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจเกิดขึ้นได้หลายบริเวณ ได้แก่
การฝังตัวทีท่อนําไข่
เกิดขึ้นเนื่องจากไซโกตไม่สามารถเคลื่อนไปในโพรงมดลูกได้เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดมักพบที่บริเวณ isthmus หรือบริเวณ ampulla ของปีกมดลูกและเมื่อปีกมดลูกแตกออกจะทําให้มีเลือดไหลเข้าสู่ช่องท้องภาวะนี้จําเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีโดยการผ่าตัดเอา conceptus หรือปีกมดลูกข้างนั้นออกไป-การฝังตัวที่บริเวณรังไข่ (Ovary) ทำให้เกิด intraabdominal hemorrhage และมีอาการปวดท้องอย่างมาก
การฝังตัวในช่องท้อง (abdominal cavity)
เช่นบริเวณ mesentery ของลำไส้หรือบริเวณ rectouterine pouch (เจริญไชยเจียมจรรยา, 2554)
การตั้งครรภ์(Pregnancy)
แบ่งเป็น 3 ไตรมาส
ไตรมาสที่1
ช่วงการตั้งครรภ์ 1-3 เดือนแรกเป็นช่วงที่เส้นประสาทไขสันหลังและอวัยวะสำคัญในร่างกายเด็กเริ่มสร้างพร้อม ๆ กันกับโครงสร้างใบหน้า
ไตรมาสที่2
ช่วงการตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4-6 ระยะนี้เด็กมีการขยายขนาดโครงสร้างกระดูกเริ่มขยับแขนขาเพราะอวัยวะเส้นประสาทและกล้ามเนื้อเริ่มทำงานประสานกันอวัยวะเพศมีการพัฒนาสามารถระบุเพศได้ที่สำคัญสามารถรับรู้สัมผัสรสกลิ่นและเสียงได้
ไตรมาสที่3
ช่วงการตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 7-9 มีประสาทสัมผัสตื่นตัวอย่างเต็มที่พร้อมตอบสนองต่อสิ่งเร้าดิ้นและขยับตัวเก่งเพราะกระดูกระบบประสาทและกล้ามเนื้อเติบโตเต็มที่ส่วนปอดก็ค่อยๆพัฒนาจนสมบูรณ์การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายนอกคือผิวหนังที่หุ้มด้วยไขมันหนาชั้นมีผมและขนหนาขึ้น
การตรวจครรภ์
การตรวจการตั้งครรภ์เป็นการตรวจหาฮอร์โมน human chorionic gonadotropin (hCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรกฮอร์โมนนี้จะเริ่มผลิตหลังจากที่เกิดการปฏิสนธิแล้ว 6 วันและขึ้นสูงสุด 8-12 สัปดาห์ดังนั้นเวลาที่ควรจะตรวจทดสอบการตั้งครรภ์คือ 1 เดือนหลังประจำเดือนครั้งสุดท้าย
Impact of Oxidation Stress on Age-Associated Decline in Oocte Development Competence (Hiroyuki Sasaki,2018)
การตั้งครรภ์ในสตรีสูงอายุส่งผลให้อัตราการแท้งบุตรด้วย aneuploidy สูงขึ้น ภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลงมีสาเหตุ
อายุของรังไข่
ปริมาณสำรองของรังไข่ที่ลดลง
ความสามารถในการพัฒนาของไข่ที่ลดลง
สตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป
คุณภาพของไข่ที่ลดลงในช่วงอายุ ซึ่งถือว่าทำให้เกิดความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนและความสามารถในการพัฒนาของตัวอ่อนลดลง
ปรากฏการณ์ริ้วรอยสามารถนำมาประกอบกับความเสียหายออกซิเดชันสะสมในเซลล์ร่างกาย เช่นไข่เลี้ยงลูกด้วยนมยังแสดงให้เห็นเพิ่มขึ้นของระดับ ROS กับอายุ ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันกับการเสื่อมสภาพของไข่
นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เมลาโทนินและโคเอ็นไซม์ Q10 ยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านริ้วรอยบนเซลล์ไข่โดยควบคุมการทำงานของไมโตคอนเดรียและระดับ ROS ในเซลล์ไข่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์
ความผิดปกติของไมโตคอนเดรียที่เกี่ยวข้องกับอายุและการผลิตพลังงานที่ลดลงในเซลล์ไข่
ไมโตคอนเดรียเป็นออร์แกเนลล์ที่สำคัญซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตพลังงานในการหายใจแบบใช้ออกซิเจน Mitochondria ผลิต ATP ระหว่างการเผาผลาญพลังงานโดยใช้ปฏิกิริยารีดอกซ์ในคอมเพล็กซ์ระบบทางเดินหายใจที่อยู่บนเยื่อหุ้มชั้นใน ในเวลาเดียวกัน ซูเปอร์ออกไซด์ส่วนใหญ่ที่ผลิตในร่างกายจะถูกสร้างขึ้นในไมโตคอนเดรีย ( 14 ) ROS ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องในไมโตคอนเดรียของสิ่งมีชีวิตแอโรบิก แต่ยังถูกกำจัดโดยเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระในไมโตคอนเดรีย ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของรีดอกซ์และสภาวะสมดุล
ความผิดปกติของไมโตคอนเดรียมีความสัมพันธ์กับความชราในเซลล์ร่างกาย
ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ อัตราการตั้งครรภ์ลดลงและอัตราการแท้งบุตรเพิ่มขึ้นในสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป ในขณะที่อัตราการเกิดของทารกที่มีชีวิตต่อไข่คือ 26% สำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี แต่จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและลดลงเหลือ 1% สำหรับผู้ที่อายุเกิน 42 ปี มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับคุณภาพของไข่ที่ลดลงในช่วงอายุ ซึ่งถือว่าทำให้เกิดความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนและความสามารถในการพัฒนาของตัวอ่อนลดลง
บทสรุป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าทางสังคมของผู้หญิงส่งผลให้การสืบพันธุ์ล่าช้า เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์เผชิญกับความท้าทายที่ร้ายแรง เนื่องจากความชราภาพทำให้คุณภาพของไข่เสื่อมลง คุณภาพของไข่ที่เสื่อมลงนี้ได้รับอิทธิพลจากระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการสร้างความเสียหายให้กับส่วนประกอบของเซลล์จำนวนมาก รวมถึงไมโทคอนเดรีย ลิปิด โปรตีน เอนไซม์ และ DNA ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลน ATP, การทำลายดีเอ็นเอ, ข้อผิดพลาดในการแบ่งโครโมโซม, ความผิดปกติของ autophagy และ proteasome system โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไมโทคอนเดรียเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของ OS เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการอยู่รอดและการตายของเซลล์ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอทฤษฎีที่แสดงการเกิดเมทิลเลชันของ DNA และข้อผิดพลาดของอีพีเจเนติกที่มีอิทธิพลต่อ OS ต่อเซลล์สืบพันธุ์