ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับงานวิจัย
ความหมายของวิจัย
ประโยชน์ของงานวิจัย
จุดมุ่งหมายของงานวิจัย
คุณสมบัตินักวิจัย
จรรยาบรรณของนักวิจัย
ประเภทงานวิจัย
พัฒนาการของการแสวงหาความรู้
การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์หรือทดลองอย่างมีระบบ โดยอาศัยอุปกรณ์ หรือวิธีการเพื่อให้พบข้อเท็จจริง หรือหลัการไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรือแนวทางในการปฎิบัติ
ขั้นตอนการวิจัย
เลือกหัวข้อปัญหาที่จะศึกษาวิจัย
ศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลและทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
กำหนดขอบเขตของปัญหา คำถามและวัตถุประสงค์การวิจัย
ค้นหาและกำหนดสมมุติฐานของการวิจัย
นำแนวคิดและทฤษฎีมาสร้างปัจจัยหรือตัวแปรที่ส่งผลต่องานวิจัย
สร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลและการตรวจสอบ
การจัดกระทำข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาผลสรุปของงานวิจัย
สรุปผลและอภิปรายผล
การจัดทำรายงานวิจัยและรูปเล่มวิจัย
มี 2 ประการ
เพื่อให้ความรู้ใหม่ หรือเพื่อสร้างสรรค์ ความรู้ใหม่
เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้เป็น ประโยชน์ในหลายๆรอบ
ประโยชน์ต่อสังคม
ประโยชน์ต่อนักวิจัย
แบ่งออกเป็น 3 ด้าน
ด้านความรู้หรือพุทธิพิสัย
ด้านความสามารถหรือทักษะพิสัย
ด้านเจตคติหรือจิตพิสัย
มี 14 ประการ
มีความรับผิดชอบ
มีความคิดริเริ่ม
เป็นผู้รู้ความจริง
ไม่มีอคติ
มีความอดทน
กล้าตัดสินใจ
มีความใจกว้าง รับฟังผู้อื่น
มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
มีความซื้อสัตย์ สุจริต ตรงต่อเวลา
มีเทคนิควิชาชีพในการสอบถามข้อมูล
รักษาความลับของผู้อื่น
มีความสามารถในการบริหารงานวิจัย
มีทักษะในการสร้างเครื่องมือใหม่ๆใช้กับงานวิจัย
เป็นผู้ที่รู้จักประหยัด
การจำแนกประเภทตามลักษณะของข้อมูล
จำแนกประเภทตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย
การจำแนกประเภทตามระเบียบวิธีวิจัย
การวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจับริสุทธิ์
การวิจัยประยุกต์
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
การวิจัยเชิงบรรยายหรือเชิงพรรณนา
การวิจัยเชิงทดลอง
การแสวงหาความรู้อย่างไม่มีระบบ แบบแผน
การได้รับความรู้โดยบังเอิญ
การได้รับความรู้โดยการลองผิดลองถูก
การได้รับความรู้จากผู้รู้
การได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
การได้รับความรู้จากประเพณีและวัฒนธรรม
การได้รับความรู้จากประสบการณ์ของตน
การแสวงหาความรู้ด้วยวิธี
การทางประวัติศาสตร์
ขั้นระบบปัญหาหรือกำหนดปัญหา
ขั้นตั้งสมมุติฐาน
ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นวิเคราะห์และตีความข้อมูล
ขั้นสรุปผล
การคิดด้วยระบบเหตุผลที่ สำคัญ
วิธีอุปมาณหรืออุปนัย เป็นการคิดด้วย วิธีที่แตกต่างและตรงข้ามกับวิธีอุมาณ
วิธีอนุมาน - อุปมาณ เป็นการแสดง หาความรู้ทั้งวิธีการอนุมานและอุปมาน ร่วมกัน ทำให้ได้ความรู้ใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือ
วิธีการอนุมานหรือนิรนัย เป็นการใช้เหตุผลประกอบกับกฎเกณฑ์ และการหาความสัมพันธ์ภายใน ของเหตุผล 3 องค์ประกอบ
Major Premise คือข้อเท็จจริงหกหลักซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเป็นเหตุการจองตน
Minor Premise ข้อเท็จจริงย่อย หรือเหตุการณ์เฉพาะกรณี
Conclusion ข้อสรุปที่เกิดจาก Major Premise and Minor Premise ถ้าทั้งคู่เป็นจริง ข้อสรุปก็เป็นจริงด้วย
Premise หมายถึง ข้อความอ้างอิง หรือ ประโยคอ้างอิง(statement) ที่ใช้เป็นฐานในการใช้เหตุผล
แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
กำหนด Major Premise
นำ Minor Premise มาพิจารณาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ กับ Major Premise อย่างไร
ลงสรุปเป็นความรู้ใหม่
ตัวอย่าง
Major Premise : ทั้งเพศเป็นมนุษย์
Minor Premise : ยอดเป็นเพศชาย
Conclusion : ยอดเป็นมนุษย์
แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
เก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อเท็จจริงย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งที่เราต้องการทราบ (Collecting Data)
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์(Analysing and Synthesizing)
สรุปเป็นข้อเท็จจริงใหญ่ หรือ ความรู้ใหม่ (Drawing Conclusion
ตัวอย่าง
Major Premise : นกบินได้
Minor Premise : นกกระจอกเทศเป็นนกชนิดหนึ่ง
Conclusion : นกกระจอกเทศบินได้ (แต่ความจริงบินไม่ได้)
แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
ใช้วิธีอนุมานในการตั้งเป็น สมมุติฐาน
ใช้วิธีอนุมานในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ / สังเคราะห์ และยืนยันหรือคัดค้านสมมุติฐานที่ตั้งไว้
สรุปเป็นความรู้ใหม่
ตัวอย่าง
ตั้งสมมุติฐาน : ผู้ชายมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าผู้หญิง
รวบรวมข้อมูล : ใช้การสังเกตจากสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหลายๆปัญหาหลายๆ สถานการณ์ และดูว่าผู้ชายหรือผู้หญิงแก้ปัญหาได้ดีกว่ากัน
สรุป : ลงสรุปตามข้อมูลที่ได้จากการสังเกตุ