Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Case2 Wilm’s Tumor, https://patients.uroweb.org/treatments/radical…

- - - - ไม่มีไข้ ไม่มีอาการซักเกร็ง
      - ผู้ป่วยรู้สึกตัวดีขึ้น เช่น ดูดนมได้ดี มีอาการซึมลดลง
      - สัญญาณชีพปกติ
      - BT 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
      - RR 40-60 ครั้งต่อนาที
    - - 1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินความผิดปกติ
      - 2.จัดให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่บนเตียง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรทำให้เกิดเสียงดังและไม่ควรรบกวนผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นโดยเตรียมอุปกรณ์ในการให้การพยาบาลพร้อมก่อนให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกครั้งเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
      - จัดให้เด็กอยู่ในห้องหรือหอผู้ป่วยที่ไม่มีโรคติดเชื้อ และได้รับการทำความสะอาดอยู่เสมอ
      - คัดกรองและจากัดผู้ที่จะเข้าเยี่ยมเด็ก โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ หรือเพิ่งได้รับวัคซีน มาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปดูแลหรือคลุกคลีกับเด็ก รวมทั้งจำกัดสิ่งที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา ซัลโมเนลล่าและเชื้อจุลินทรีย์อื่น ๆ เช่น ดอกไม้สด สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ
      - ประเมินการติดเชื้อด้วยการหมั่นตรวจสังเกตภายในช่องปาก หลอดคอ บริเวณที่อับชื้น เช่น ขาหนีบ รักแร้ว่ามีบาดแผล การอักเสบ ติดเชื้อราหรือไม่ ฟังเสียงปอด อาการไอ สังเกต ลักษณะปัสสาวะ ความถี่ห่างของการปัสสาวะ รวมทั้งการตรวจนับจานวนเม็ดเลือดขาว
      - ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อแก่เด็ก บิดามารดา หรือผู้ดูแลเด็ก
  - - - SD:
        
        มารดาบอกว่ารับประทานอาหารได้น้อย อ่อนเพลีย
        
        -มารดาคลำได้ก้อนที่ท้องด้านซ้าย
      - OD
        
        -เด็กปวดท้อง งอแงร้องกวน
        
        -CT พบก้อนขนาด 8*9 cm
    - - ป้องกันภาวะการขาดสารน้ำ สารอาหาร
    - - รับประทานอาหารได้
      - ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
      - น้ำหนักไม่ลด
      - ริมฝีปากไม่แห้งความตึงตัวของผิวหนังปกติ
      - 5.ไม่มีอาการอ่อนเพลีย
      - 6.นอนหลับพักผ่อนได้ดี ไม่ร้องกวน
    - - ดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและเหมาะสมเพื่อช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไปในระหว่างการรักษาเนื่องจากเด็กที่เป็นมะเร็งจะเกิดภาวะทุพโภชนาการได้ อย่างรวดเร็วจากเซลล์มะเร็งมีการใช้สารอาหารจากเซลล์ปกติมี
        
        1.1ส่งเสริมและกระตุ้นให้เด็กรับประทานอาหารที่มีคุณภาพให้มาก
        
        1.2จัดบรรยากาศของการรับประทานอาหารที่ส่งเสริมให้เด็กรับประทานอาหารได้มากขึ้น มีบรรยากาศที่สนุกสนาน หาวิธีผ่อนคลายความวิตกกังวลจัดกิจกรรมนันทนาการที่เหมาะสมกับวัย
      - ดูแลรักษาความสะอาดปากและฟัน โดยการเช็ดทำความสะอาดหลังอาหาร
      - 3.ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อลดการเผาผลาญพลังงาน โดยจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด
      - ติดตามประเมินภาวะโภชนาการ เช่น การชั่งน้าหนัก ผลการตรวจระดับโปรตีน อิเล็คโทรลัยท์ รวมทั้งการบันทึกปริมาณสารน้าที่ได้รับและขับออก
  - - - OD:มีแผนการรักษาทํา Lt. Radical Nephrectomy
    - - ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
    - - ระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดเร็วมากในเด็กผ่าตัด Wilm's Tumor การดูแลเช่นเดียวกับการผ่าตัดหน้าท้องทั่วไป หลังผ่าตัดระยะแรกปัญหาที่สำคัญคือ เด็กอาจเกิดภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลวเนื่องจากการเสียเลือด
        ควรติดตามสัญญาณชีพทุก 15 นาที (จนครบ 1 ชม.) และทุก 30 นาที (จนครบ 1 ชม.) จากนั้นทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าสัญญาณชีพจะคงที่
      - ในระยะ 24 ชั่วโมงแรกควรติดตามปริมาณและความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะเพื่อประเมินว่าเด็กได้รับเลือด
        และสารน้ำทดแทนเพียงพอกับที่เสียไปหรือไม่โดยปัสสาวะควรออกประมาณ 1 มิลลิลิตร / กิโลกรัม
        ของน้ำหนักตัว / ชั่วโมง ความถ่วงจำเพาะไม่เกิน 1.020
      - ตรวจดูเปลือกตาเพื่อประเมินภาวะซีด ติดตามค่าฮีมาโตคริทเป็นระยะตามแผนการรักษาเพื่อประเมินว่าเด็กได้รับเลือดทดแทนเพียงพอหรือไม่ ในรายที่มะเร็งมีการกระจายแล้วหลังการผ่าตัดเสร็จจะยังคงมีการสูญเสียเลือดบริเวณที่อยู่ของเนื้องอกต่ออีกระยะหนึ่ง ในกรณีเช่นนี้ศัลยแพทย์มักจะใส่ท่อระบายออกมา พยาบาลต้องประเมินว่าเลือดออกมากน้อยและรวดเร็วเพียงใด ร่วมกับตรวจสอบปริมาณเลือดที่ออกจากความชุ่มของผ้าก๊อซปิดแผล
      - ควรดูแลร่างกายเด็กให้อบอุ่นหลังกลับจากห้องผ่าตัดและติดตามอุณหภูมิกายจนกว่าจะปกติเนื่องจากในการผ่าตัดเด็กจะสูญเสียความร้อนได้มากเนื่องจากการเปิดช่องท้องการเปิดอวัยวะภายในการสูญเสียเลือดและจากอุณหภูมิในห้องผ่าตัดควรดูแลร่างกายเด็กให้อบอุ่น ติดตามอุณหภูมิกายจนกว่าจะปกติ
      - เด็กจะเสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันของลำไส้เนื่องจากยา Vincristine ทำให้ลำไส้ทำงานลดลง (Ileus) รังสีทําให้เกิดการบวมของลำไส้และการยึดติดกันจากการผ่าตัดจึงจำเป็นที่พยาบาลจะต้องสังเกตอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด อาเจียน หน้าท้องแข็งตัว ปวดท้อง
      - หลังผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกแล้วความดันโลหิตอาจลดลงได้จึงต้องคอยวัดความดันโลหิตเสมอ
      - ประเมินการทำหน้าที่ของไตข้างที่เหลืออยู่โดยบันทึกปริมาณปัสสาวะ
      - ขณะให้เคมีบำบัดจะต้องสังเกตอาการของการติดเชื้อเนื่องจากยากดไขกระดูก
      - ประเมินสภาพการทํางานของปอดหลังผ่าตัดทันทีทันใดเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนหรือการแพร่กระจายไปยังปอด
  - - - กิจกรรมการพยาบาล
        
        แนะนํามารดาเกี่ยวกับวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น ฟังดนตรี ทําสมาธิ กําหนดลมหายใจ
        
        4.ให้มารดามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้กำลังใจโดยการใช้คำพูดที่สุภาพและการสัมผัสที่นุ่มนวลแจ้งและอธิบายให้ญาติทราบทุกคร้ังทั้งก่อนและหลังการให้การพยาบาล
        
        3.เปิดโอกาสให้มารดาได้ซักถามข้อสงสัยพร้อมอธิบาย ให้เข้าใจ เพื่อลดความวิตกกังวล
        
        2.เปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกวิตกกังวล เพื่อลดความ กดดันทางอารมณ์และรับฟังด้วยความตั้งใจ
        
        พูดคุยกันผู้ป่วยและญาติ ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และเห็นใจ อธิบายการดำเนินโรค และแผนการรักษาพยาบาลในแต่ละวันให้เข้าใจ เพื่อให้มารดาทราบ
  - - - SD:มารดาบอกว่าไม่ทราบวิธีการเตรียมตัวเด็กก่อนผ่าตัด
    - - ผู้ป่วยและญาติมีความพร้อมสำหรับการผ่าตัด
    - - เนื่องจากมีเวลาน้อยในการเตรียมเด็กและบิดามารดา เพื่อการตรวจวินิจฉัยและผ่าตัด พยาบาลจึง ต้องอธิบายให้เด็กและบิดามารดาทราบพอสังเขปและง่ายต่อการเข้าใจ
      - ห้ามคลำก้อนบริเวณหน้าท้องเด็กโดยไม่จำเป็นเด็ดขาดเพราะจะทำให้เซลล์มะเร็ง แพร่กระจายได้ อาจใช้ป้ายเขียนติดไว้ซึ่งต้องอธิบายให้บิดามารดาทราบด้วย
      - การผ่าตัด โดยทั่วไปในเด็กโตจะงดน้ำงดอาหาร 4-5 ชั่วโมง
        เด็กเล็กงดนม 3-4 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
      - อาบน้ำ เช็ดตัวให้เด็กด้วยความระมัดระวัง ป้องกันบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นบริเวณเนื้องอก
      - บอกให้บิดามารดาและเด็กทราบถึงขนาดของแผลผ่าตัด และการทำแผลก่อนการผ่าตัด
        มิฉะนั้นเด็กอาจรู้สึกเศร้าใจ โกรธ เมื่อเห็นบริเวณผ่าตัด
      - วัดความดันโลหิตอย่างระมัดระวัง เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ จากการหลั่งเรนินมากเกินไป
  - - - 1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะซีด เช่น เยื่อบุตา และปากซีด อ่อนเพลีย ซึม เพิ่มขึ้น เป็นต้น
        
        2.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC (RBC, Hemoglobin, hematocrit) และ serum Erythropoietinเพื่อประเมินภาวะ anemia ในผู้ป่วย
        
        3.ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหากผู้ป่วยมีภาวะซีด เช่น ภาวะ metabolic acidosis, ภาวะ หัวใจโต หรือภาวะacute heart failure เป็นต้น
        
        4.ติดตามสัญญาณชีพ คือ respiratory rate, pulse rate และ blood pressure เพื่อติดตามผลกระทบ จากภาวะซีดในผู้ป่วย
- - - - ระยะมะเร็ง
        
        •ระยะที่ 1 ก่อนมะเร็งอยู่เฉพาะที่ไตข้างเดียวและตัดออกได้หมด
        
        •ระยะที่ 2 มะเร็งลามออกมานอกไตแต่สามารถตัดออกได้หมด
        
        •ระยะที่ 3 เมื่อผ่าตัดแล้วยังคงมีมะเร็งหลงเหลืออยู่ในท้อง เช่น ลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วไต
        
        •ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ปอด กระดูกและสมอง
        
        •ระยะที่ 5 เป็นมะเร็งที่ไตทั้งสองข้างตั้งแต่แรก
        ดังนั้นเคสนี้อยู่ในระยะที่1 เนื่องจากคลำพบก้อนที่ท้องด้านซ้าย
        CT : พบก้อนขนาด8*9cm
  - - - -มีก้อนในท้อง เป็นอาการที่พบมากที่สุด เมื่อคลำจะพบว่าก้อนเคลื่อนไหวได้
      - -ปัสสาวะเป็นเลือดสด โดยไม่มีอาการเจ็บปวด
      - -มีภาวะซีดเล็กน้อย
      - -ปวดท้อง สังเกตได้จากเด็กร้องกวน และคลำบริเวณช่องท้อง
      - -ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งเรนินเพิ่มขึ้น 25%
      - -หากโรคแพร่กระจายไปยังปอด จะทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก ไอ เจ็บหน้าอก
      - -มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
- - - - กลุ่มยา:Vasodilator antihypretensive drugs
        
        กลไกการออกฤทธิ์:ออกฤทธิ์โดยตรงในการขยายหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อ ของหลอดเลือดเกิดการคลายตัว จึงช่วยลดแรงต้านทาน ภายในหลอดเลือดและส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง
        
        อาการข้างเคียง:อาการเวียนหัว ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ใจเต้นเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก บวม
        
        ขนาดยา: ในเด็กอายุ 3 เดือน - 1 ปี ใช้ขนาด0.1-0.5 mg/kg/dose ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 6-8 ชั่วโมง โดยปรับตามความดันโลหิต
        
        การพยาบาล:
        
        วัด blood pressure ทุก 20 นาทีถ้าความดันโลหิตไม่ได้ตามเป้าหมายสามารถให้ยาซ้ำอีกหากให้ยาถึง total cumulative แล้วไม่ได้ผลควรพิจารณาเปลี่ยนยา
        
        เมื่อ blood pressure คงที่แล้วให้วัดทุก 30 นาที – 1 ชั่วโมง
        
        ติดตาม heart rate และ vital signs
        
        ให้เพื่อ รักษาภาวะความดันโลหิต
        
        วิธีบริหารยา : คำนวณตามน้ำหนัก ขนาดยา 0.1-0.2 mg/kg จะได้ 0.8-1.6 mg
        ดังนั้น 1 vial มี 20mg ผสม NSS 10 co ต้องการยา 1 mgจะได้ 1 mg ใน 0.5 cc IV push ช้าๆ 1-2 นาที
    - - กลุ่มยา: analgesics
        
        กลไกการออกฤทธิ์: ยับยั้งการทำงานของ cyclooxygenase ทำให้การสร้าง prostaglandinsลดลงโดยมผลยับยั้งการสร้างprostaglandins ในระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าส่วนปลาย มีฤทธ์ิในการลดไข้และแก้ปวดได้ดี
        
        อาการข้างเคียง: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เหงื่อออก ง่วงซึม สับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        ขนาดยา: 60มก./0.6 มล. หรือ 80 มก./0.8 มล. เหมาะกับเด็กอ่อนน้ำหนักตัวไม่ถึง 10 กก.(อายุไม่ถึง 1 ปี)
        
        ข้อควรระวังในการใช้ยา
        
        ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคตับไม่ควรใช้ยาตัวนี้เนื่องจากอาจทำให้การทำงานของตับแย่ลงมากยิ่งขึ้น
        
        ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาพาราเซตามอลโดยเกิดผื่น คัน แดง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หากเกิดอาการดังกล่าว ควรหยุดให้ยาทันที
        
        ให้เพื่อ บรรเทาอาการปวดหรือลดไข้
        
        วิธีบริหารยา : ให้รับประทานยาครั้งละ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมดังนั้น เคสนี้ให้ได้ 80-120 mg ซึ่งเคสนี้ให้ 3/4 ของช้อนชา/ครั้ง = 3.75 c.และ ให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)