Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 3 การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ - Coggle Diagram
กรณีศึกษาที่ 3 การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ
พยาบาลควรส่งเสริมบทบาทบิดารายนี้อย่างไร
แนะนำให้บิดาทําหน้าที่ดูแลภรรยาและทารกร่วมกัน
เช่นการช่วยกันอาบนํ้าให้ทารกการเปลี่ยนผ้าอ้อม
ให้บิดาเข้าเยี่ยมและอยู่ใกล้ชิดภรรยาและทารกเพื่อให้มารดามั่นใจไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
อธิบายให้คุณพ่อทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ของคุณแม่หลังคลอดว่าเหตุผลใดจึงมีอารมณ์แปรปรวน
2.มารดาปวดฝีเย็บ Pain score =7 คะเเนน ควรให้การพยาบาลอย่างไร
ใช้โคมไฟแสงอินฟาเรด ส่องที่แผลฝีเย็บโดยตรง ระยะห่าง 1 ฟุตครึ่ง อบนาน 15 นาที หรือทำการนั่งแช่น้ำอุ่น ควรทำหลังคลอด 3 วันเป็นต้นไป โดยนั่งแช่น้ำอุ่นวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดี
แนะนำให้นำ Kegel exercise โดยการขมิบช่องคลอด พยายามขมิบค้างไว้นานที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วคลาย หลังจากนั้นให้เพิ่มระยะเวลาให้ขมิบนานขึ้นสามารถขมิบได้นาน 8 ถึง 10 วินาทีต่อครั้ง โดยให้ขมิบ 8 ถึง 12 ครั้งต่อ 1 ชุด และปฎิบัติให้ได้นาน 3 ชุดต่อวัน เพื่อช่วยส่งเสริมการหายของแผลและช่วยให้กล้ามเนื้อรอบช่องคลอดและฝีเย็บหดรัดตัวดี
ประคบเย็นให้แก่มารดาใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยเฉพาะหลังเย็บแผลฝีเย็บเสร็จที่ความเย็น 10-14 องศาเซลเซียส โดยประคบนาน 15 นาที และประคบทุก 15 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวม ลดความเจ็บปวดของแผลฝีเย็บ เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดบริเวณที่ประคบเกิดการหดรัดตัว และยังช่วยลดการนำกระแสประสาท ลดการถูกกระตุ้นของประสาทจึงทำให้ความเจ็บปวดลดลง
แนะนำให้มารดาลดแรงกดที่ฝีเย็บ โดยท่านั่งควรนั่งลงแก้มก้นด้านใดด้านหนึ่งหรือนั่งพับเพียบ ไม่ควรนั่งทับแผลฝีเย็บโดยตรง มารดาหลังคลอดควรหาห่วงยางเล็กๆหรือหมอนรองโดนัทนั่งเพื่อไม่ให้ฝีเย็บถูกกดทับ ทำให้การไหลเวียนเลือดปกติ ส่งเสริมการหายของแผล และหลีกเลี้ยงท่านั่งที่ทำให้ขาหนีบแยกออกจากกัน เช่น ท่านั่งขัดสมาธิ เพราะจะทำให้แผนถูกดึงรั้งเกิดความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น
ดูแลให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวด Paracetamol เพื่อช่วยลดอาการปวดแผลฝีเย็บ
9.เมื่อพยาบาลสอนวิธีการอาบน้ำทารก มารดาบอกว่า “ทำไม่ถูก กลัวลูกจมน้ำ “ การปรับตัวด้านจิตสังคมระยะหลังคลอดเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย และควรให้การพยาบาลอย่างไร
ไม่เหมาะสมเนื่องจากมารดาอยู่ในช่วง 2 วันหลังคลอดซึ่งในช่วงนี้จะอยู่ในระยะ Taking in phase เป็นระยะที่เริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดาหรือระยะพึ่งพามารดาจะยังมีความไม่สุขสบายจากการปวดแผลฝีเย็บอยู่ แต่มารดาก็ต้องเริ่มเรียนรู้ในการดูแลทารกอาจจะมีการพึ่งพาในบางอย่าง แต่ก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเพื่อพัฒนาไปในระยะถัดไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การพยาบาล
ดูแลช่วยเหลือประคับประคองและตอบสนองความต้องการของมารดาหลังคลอดทั้งทางด้านร่างกายและด้านจิตใจเพื่อให้สุขภาพร่างกายและจิตใจกลับมา
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่นเห็นอกเห็นใจเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผู้สนใจเอาใจใส่
เกิดความอบอุ่นใจ
เปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกและซักถามเกี่ยวกับข้อสงสัยมารดามีเพื่อลดความวิตกกังวลในการดูแลทารก
จัดเวลาให้มารดาและทารกได้อยู่ด้วยกันโดยให้มารดาฝึกอุ้มและสัมผัสตัวทารก เพื่อให้มารดาเกิดความผูกพันธ์และลดความวิตกกังวล
ปฏิบัติการพยาบาลด้วยความนุ่มนวลเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่มารดาในการดูแลทารก
มารดามีแผลฝีเย็บบวมเล็กน้อย REEDA scale = 2 คะแนน ปกติหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายและให้การพยาบาลอย่างไร
เเปลผลได้ว่าปกติ โดยREEDA scale มีคะเนนเต็มที่ 15 คะเเนน ถ้าคะเเนนรวมมากกว่า 2 มารดาจะมีโอกาสติดเชื้อได้สูง
การพยาบาลประคบเย็นให้แก่มารดาใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยเฉพาะหลังเย็บแผลฝีเย็บเสร็จที่ความเย็น 10-14 องศาเซลเซียส โดยประคบนาน 15 นาที และประคบทุก 15 นาที การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวม
มารดามีสีหน้าวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย บางครั้งร้องไห้คนเดียว มารดารายนี้มีภาวะใด จงอธิบาย และควรให้การพยาบาลอย่างไร
มีภาวะ Postpartum blues หรือ Baby blues เนื่องจากมารดามีอาการช่วง 2 วันหลังคลอดซึ่งยังไม่ถึง 2 สัปดาห์จึงไม่จัดว่าเป็น Postpartum depression และมารดามีสีหน้าวิตกกังวลหงุดหงิดง่ายบางครั้งร้องไห้คนเดียว แต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเองและหายได้เองตามธรรมชาติ
การพยาบาล
การประเมินภาวะทีมเศร้าหลังคลอดเพื่อลดและป้องกันภาวะซึมเศร้าของมารดาหลังคลอดได้อย่างทันการณ์
เปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกเพื่อให้มารดาได้ระบายความ
ช่วยดูแลทารกเมื่อมารดายังไม่พร้อมในการดูแลบุตรหรือพบว่ามีอารมณ์เศร้า
จัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อให้มารดาที่เคยซึมเศร้าหลังคลอดมาแลกเปลี่ยนประ
แนะนำแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือในการดูแลตนเองและบุตรเพื่อให้มารดาได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอ
มารดารายนี้เกิดกลไกการสร้างและหลังน้ำนมแล้วหรือยัง จงอธิบาย
มีการสร้างกลไกและการหลั่งน้ำนมแล้ว โดยเกิดจากการที่ทารกมีการดูดนมมารดา เมื่อทารกดูดที่หัวนม ปลายประสาทรับความรู้สึกไปยัง hypothalamus กระตุ้นให้ Pituitary gland หลัง Hormone Prolactin ซึ่งเรียกว่าปฏิกิริยาสะท้อนในการสร้างน้ำนม (Prolactin reflex) และเมื่อทารกดูดนมข้างซ้ายจะมีน้ำนมไหลจากเต้านมข้างขวา ซึ่งเกิดจากกลไกการหลั่งของน้ำนม let down reflex โดยเมื่อทารกดูด จะมีการกระตุ้นให้ Posterior pituitary gland หลั่ง hormone Oxytocin ออกมาทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่บุผนังของต่อมผลิตน้ำนมและท่อน้ำนม ทำให้น้ำนมพุ่งออกมา
จงสรุปการประเมินสุขภาพมาดาหลังคลอดด้วยหลักการ 12 B
Background : ศึกษาถึงภูมิหลังของมารดาสิ่งที่ต้องประเมิน
Body Condition : ประเมินภาวะร่างกายทั่วไป
Body Temperature and blood pressure : สัญญาณชีพ
Breast and Lactation : เต้านมและการหลั่งน้ำนม
Belly and Fundus : หน้าท้องและยอดมดลูก
Bladder : กระเพาะปัสสาวะ
Bleeding & Lochia :เลือดและน้ำคาวปลา
Botton : ฝีเย็บและทวารหนัก
Bowel Movement : การทํางานของลำไส้ประเมินจากการขับถ่ายอุจจาระใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Blues : ภาวะด้านจิตใจการปรับตัวของมารดาทารกและพฤติกรรม / บ่งชี้ถึงสัมพันธภาพที่ไม่ดี
Baby : ทารกมีการประเมินและตรวจร่างกาย
Borning & Attachment : ประเมินสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
15.นักศึกษาคิดว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้มารดารายนี้ มีน้ำนมไหลน้อย
ลูกดูดนมลำบากหรือปัญหาทางกายวิภาคของนม
มารดามีภาวะเครียดเเละไม่ให้ลูกดูดนม
เนื้อเยื่อสำหรับการผลิตน้ำนมน้อยหรือไม่เพียงพอ
มีปัญหาเรื่องออร์โมนหรือต่อมไร้ท่อ
การคุมกำเนิดโดยใช้ยาคุมที่มีออร์โทน
6.ให้ลูกดูดนมที่ผิดวิธี
จงอธิบายหลักการประเมินฝีเย็บด้วยด้วย REEDA scale ว่าประเมินอะไรบ้าง และแปลผลอย่างไร
Ecchymosis : E ดูว่าแผลมีลักษณะช้ำหรือมีจ้ำเลือดหรือไม่ ซึ่งแสดงว่าอาจมีเลือดออกใต้ชั้นผิวหนังหรือใต้แผลฝีเย็บ
Discharge or Drainage : D ดูว่าแผลแห้งดีหรือมีสารคัดคลั่ง เช่น น้ำเหลือง เลือด หรือหนอง ไหลซึมออกมานอกแผลหรือไม่
Edema : R ดูว่าแผลบวมหรือไม่เป็นการบวมลักษณะบวมใส ซึ่งเกิดจากยาชาที่ให้กับมารดาก่อนการเย็บแผลหรือบวมช้ำเป็นสีม่วง กดเจ็บ ซึ่งแสดงถึงการบวมจากการบาดเจ็บและมีเลือดออกบริเวณแผลฝีเย็บ
Approximation : A ดูว่าขอบแผลเรียบชิดกันหรือไม่ ดูว่าแผลแยกลึกถึงก้นแผลหรือไม่
Redness : R ดูว่าแผลมีลักษณะสีชมพูดี แดง อักเสบหรือแผลซีดขาวหรือไม่
จากข้อมูลที่ตึกหลังคลอด พยาบาลคลำพบลอนนิ่มบริเวณระดับสะดือ ภายหลังคลอดมารดายังไม่ถ่ายปัสสาวะ ถือเป็นภาวะปกติหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย
เป็นภาวะที่ผิดปกติที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดีทำให้ตกเลือดหลังคลอด หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
17.ภายหลังคลอด 45 นาที พยาบาลนำทารกเเรกเกิดไปดูดนมมารดา นักศึกษาคิดว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
มีความเหมาะสม
เพราะเนื่องจากหลังคลอดเป็นการกระตุ้นการดูดนมของทารกโดยมารดาจะต้องให้นมบ่อยๆอย่างน้อย 8-12 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ภายใน 24 ชั่วโมง
เเละยิ่งให้บ่อยยิ่งดี เพื่อที่จะให้ทารกได้รับนมเหลืองได้อย่างเต็มที่เเละยังช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น
ยังช่วยป้องกันปัญหาเต้านมคัดตึง อักเสบเเละช่วยให้มดลูกมีการหดรัดตัวได้ดีขึ้นเพื่อป้องกันการตกเลือดหลัง
คลอดเเละช่วยไม่ให้น้ำนมของมารดาเเห้งได้
มารดาบอกว่า "เมื่อทารกดูดนมข้างซ้าย จะมีน้ำนมไหลจากเต้านมข้างขวาด้วย และมีอาการปวดมดลูกขณะทารกดูดนม" ควรให้คพแนะนำและการพยาบาลแก่มารดารายนี้อย่างไร
เมื่อทารกดูดนม จะเกิดการกระตุ้น oxytocin ทำให้มดลูกมีการหดรัดตัวและเส้นเลือดมีการหดรัดตัวทำให้ทารกดูดนมมารดา มารดาจึงปวดมดลูก
การพยาบาล
แนะนำให้มารดาให้ทารกดูดนมบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง
แนะนำวิธีการดูดนมอย่างถูกวิธีแก่มารดา มี 4 วิธี คือ ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ดูดเกลี้ยงเกลา
อธิบายให้มารดาทราบว่าเป็นปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นได้ปกติ
แนะนำให้มารดาทานน้ำเยอะๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยในการสร้างน้ำนม เช่น เเกงเลียง แกงจืด เป็นต้น
ขณะที่มารดาเเจ้งว่าไม่อยากให้ลูกดูดนมสีเหลือง พยาบาลจะให้คำเเนะนำมารดารายนี้อย่างไร
ให้คำเเนะนำเเละอธิบายถึงประโยชน์ขอการให้ทารกได้ดูดนมเร็วเนื่องจากน้ำนมสีเหลือง (Colostrum) ซึ่งเป็นน้ำนมที่มีประโยชน์ เปรียบเสมือนวัคซีนชั้นดีที่ช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายลูกให้เเข็งเเรง โดยในน้ำนมสีเหลืองมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคต่างๆอยู่มากมายที่สำคัญคือ มี เเกมมาโกลบูลิน-จี เเละ เอ ซึ่งทำหน้าที่ระงับการขยายตัวของเชื้อโรคทั้งยังมีโปรตีน ซี่งมีธาตุเหล็กที่เรียกว่า ทรานสเฟอร์ริน ซี่งช่วยนำธาตุเหล็กไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดเเดง
16.พยาบาลจะใช้หลักการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยเเม่เพื่อให้เกิดความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมเเก่มารดารายนี้อย่างไร
ประเมินความพร้อมของมารดา ทารก หลีกเลี่ยงการเร่งรีบนำทารกมาดูดนมเเม่หรือพยายามที่จะใส่หัวนมเข้าไปในปากของทารก ควรให้ทารกดูดนมเเม่เมื่อพร้อมเเละเเนะนำให้มารดาให้ทารกอมหัวนมให้ถูกต้องโดยมีวิธีดังนี้
ให้ปากของทารกเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า
ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก
ให้ทารกดูดแรงโดยใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เเละจะได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะ
ถ้าลูกไม่ค่อยดูดหรือดูดช้าลง ให้บีบเต้านมช่วยเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมเข้าปากลูก
2.จัดเวลาเเละบรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะสมในการนำทารกมาดูดนม
เเนะนำมารดาเกี่ยวท่าในการให้นมทารกในท่าที่สุขสบาย ได้เเก่
ท่าลูกนอนขวางบนตัก ( Cradle hold )
เป็นท่าที่อุ้มลูกไว้บนตัก มือและแขนประคองตัวลูกไว้ ให้ลูกนอนตะแคงเข้าหาตัวแม่ ศีรษะลูกอยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย ท้ายทอยลูกวางอยู่บริเวณแขนของแม่ มืออีกข้างประคองเต้านมไว้
ท่าลูกนอนขวางบนตักแบบประยุกต์
( Modified/cross cradle hold )
ลักษณะของท่านี้จะคลายกับท่าแรกเพียงแต่เปลี่ยนมือของคุณแม่โดยใช้มือข้างเดียวกับเต้านมที่ลูกดูดประคองเต้านมไว้ ส่วนมืออีกข้างรองรับต้นคอและท้ายทอยของลูกแทน
ช่วยสร้างความมั้นใจให้กับมารดา โดยใช้กำลังใจเเละชมเชยเมื่อมารดาสามารถทำได้ถูกต้อง
ชี้ให้มารดาเห็นพฤติกรรมที่ดีของทารก เช่น การตื่นตัว การพยายามค้นหาเต้านมเเละหากวางทารกบนหน้าท้องหรือบนหน้าอกของมารดา ทารกจะคลานเข้าหาเต้านมด้วยตัวเองเเละช่วยให้มารดาได้เรียนรู้สื่อสัญญาณที่เเสดงว่าหิวเพื่อที่มารดาสามารถให้นมเเก่ทารกได้ตามความต้องการของทารก
จากข้อมูล 2 วันหลังคลอด คลำพบมดลูกกลมแข็งต่ำกว่าระดับสะดือ 1 นิ้ว น้ำคาวปลาสีแดงจางๆ เป็นภาวะปกติหรือไม่ จงอธิบาย และควรให้การพยาบาลอย่างไร
เป็นภาวะปกติ เนื่องจากในระยะแรกภายใน 3 วันหลังคลอดน้ำคาวปลาจะมีสีแดงเรียกว่า lochia rubra ในวันที่ 3-10 หลังคลอดน้ำคาวปลาจะจางลงสีค่อนข้างใส เรียกว่า lochia serosa และหลังวันที่ 10 น้ำคาวปลาจะลดน้อยลงมีสีขาวหรือสีเหลืองขาวเรียกว่า lochia alba น้ำคาวปลามักจะยังคงอยู่ได้นานถึง 4-8 สัปดาห์หลังคลอด
การพยาบาล แนะนำให้มารดาคลึงมดลูกทุก 30 นาที เพื่อป้องกันการตกเลือดในระยะหลังคลอด และแนะนำเรื่องการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์เช็ดจากหน้าไปหลัง หลังทำความสะอาดควรซับให้แห้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
เป็นภาวะปกติ เนื่องจาก ระดับยอดมดลูก 1 วัน หลังคลอดจะลอยสูงขึ้นไปเหนือสะดือเล็กน้อยจากนั้นจะลดระดับลงวันละ 1 ซม.
น้ำนมในระยะ 2 วันหลังคลอดอยู่ในระยะใด มีส่วนประกอบใดบ้าง
ระยะแรกเกิด ส่วนประกอบโปรตีน สารระบบภูมิคุ้มกันเกลือแร่ วิตามิน โดยเฉพาะวิตามิน A วิตามิน K และสารช่วยในการเจริญเติบโต มีปริมาณไขมันและนํ้าตาลต่ำกว่านมระยะหลัง ปริมาณโปรตีนที่สูงส่วนใหญ่เป็นสาร immunoglobulin โดยเฉพาะ secretary IgA
จากข้อมูลในระยะ 3 วันหลังคลอด นักศึกษาจะกำหมดข้อวินิจฉัยการพยาบาลเเละวางเเผนการพยาบาลเเก่มารดาเเละทารกรายนี้อย่างไร
ทารกมีอาการตัวเหลืองเนื่องจากได้รับนมเเม่ไม่เพียงพอ
การพยาบาล
ทำการประเมินอาการตัวเหลืองของทารกเพื่อประเมินความรุนเเรงเเละเพื่อหาสาเหตุของอาการตัวเหลือง
จัดให้ทารกได้ดูดนมมารดาโดยเร็ว ให้ดูดบ่อยๆ เเละ ดูดอย่างถูกวิธีเพื่อเป็นการขับบิริลูบินออกจากลำไส้
เเนะนำไม่ให้ทารกดูดน้ำเปล่าหรือกลูโคสเพราะจะทำให้ดูดนมได้น้อยลงเเละไม่ได้ช่วยให้ระดับบิริลูบินลดลง
ทำการติดตามการตรวจทางห้องปฎิการเพื่อที่ทำการประเมินความก้าวหน้าของการรักษา
มีภาวะหัวนมเเตกเนื่องจากขาดความรู้เเละประสบการณ์ในการให้นมบุตร
การพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้หัวนมเเตก คือ การอ้มลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ลูกอมหัวนมไม่ลึกถึงลานนม
สอนและช่วยจัดท่าอุ้มให้ลูกดูดนมแม่ โดยการสอนท่าฟุตบอลเพื่อทำให้ลูกอมหัวนมได้ลึกขึ้น ให้ลูกดูดนมข้างที่ไม่เป็นแผล การที่ลูกดูดนมแรงในระยะแรกจะทำให้ oxytocin reflex ทำงานได้ดี น้ำนมจะไหลดีขึ้น เมื่อย้ายลูกมาดูดข้างที่เป็นแผลน้ำนมก็จะไหลสะดวก มารดาหลังคลอดจะเจ็บน้อยลง
3.เเนะนำหรือช่วยให้อุ้มลูกได้ถนัดก่อนถึงจะให้ทารกดูดนมเพราะการดูดนมเเต่ละครั้งในระยะที่มีหัวนมเเตกมารดาจะเจ็บมาก ถ้ามารดาอุ้มได้ถนัดเเละสบายจะทำให้สร้างความมั่นใจให้เเก่มารดาได้
5.ช่วยให้ทารกอ้าปากกว้างที่สุด เคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาเต้านมโดยเร็วเพื่อที่จะได้คาบไปถึงลานนม เคลื่อนไหวมือทั้ง2 ข้างที่จับเต้านมเเละมือที่ประคองท้ายทอยทารกจนกว่าทารกจะดูดติดถึงจะปล่อยมือได้เพื่อให้เเม่ให้ให้นมทารกได้อย่างถูกวิธี
แนะนำให้บีบน้ำนมทาบริเวณหัวนมที่แตกแล้วปล่อยให้แห้งเองแล้วค่อยใส่ยกทรง เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
แนะนำวิธีการถอนหัวนมจสกปากอย่างถูกวิธี คือ ให้สอดนิ้วก้อยลงไปที่มุมปากของลุกเพื่อให้อากาศเข้าไปช่วยคลายผลึกที่ลูกดูดติดอยู่กับหัวนม ทำให้มารดาหลังคลอดไม่เจ็บหัวนมและหัวนมไม่แตกเพิ่ม
แนะนำให้บีบน้ำนมออกก่อนให้ลานนมนิ่ม เพื่อให้ลูกอมหัวนมได้ถึงลานหัวนม หลีกเลี่ยงการดูดถูกหัวนมที่แตก ไม่ควรใช้ครีมทาแผลที่หัวนมเพราะจะทำให้เป็นแผลเป็น
8.เเนะนำให้ญาติเเละสามีได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้นมบุตร เช่น การบีบนมทาบริเวณที่หัวนมเเตก เป็นต้น
พยาบาลจะเตรียมมารดารายนี้อย่างไร เพื่อให้ทารกแรกเกิดได้รับน้ำนมมารดา
การประเมินหัวนมและลานนม (Siriraj Areola Nipple Assessment : SANA)
การประเมินหัวนม
การวัดความยาวหัวนม : จัดให้สตรีตั้งครรภ์อยู่ในท่านั่งหลังตรง จากนั้นคลึงหัวนม (nipple rolling) เบา ๆ ประมาณ 5 วินาทีก่อนตรวจวัด ใช้เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์หรือไม้บรรทัดวัดความยาวหัวนม โดยให้วัดตั้งฉากกับลานหัวนม เริ่มจากโคนหัวนมจนถึงยอดของหัวนมที่สูงที่สุดหน่วยเป็นมิลลิเมตร
การแปลผล: หัวนมสั้น หมายถึง ความยาวหัวนมสั้นกว่า 7.0 มิลลิเมตรโดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 2 ระดับ
หัวนมสั้นไม่มาก หมายถึง ความยาวมากกว่าหรือเท่ากับ 4.0 มิลลิเมตรแต่น้อยกว่า 7.0 มิลลิเมตร
หัวนมสั้นมาก หมายถึง ความยาวน้อยกว่า 4.0 มิลลิเมตรมากกว่า 1.0 มิลลิเมตร
การตรวจความผิดปกติของหัวนม แบ่งเป็น
pseudo-inverted nipple หมายถึงหัวนมที่ยื่นออกมาในสภาวะปกติ แต่เมื่อทดสอบโดยบีบบริเวณขอบนอกของลานหัวนมเข้าหากันด้วยนิ้วและนิ้วหัวแม่มือ (pinch test) พบว่าหัวนมบุ๋มลึกลงจากลานหัวนมคล้ายปล่องภูเขาไฟ
หัวนมบอดหรือบุ๋ม หมายถึง หัวนมที่มีความยาวน้อยกว่า 1.0 มิลเมตรหรือบุ๋มลึกลงไปจากลานหัวนม
Retracted nipple หมายถึงหัวนมมีการดึงรั้ง ทดสอบโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับบริเวณหัวนม แล้วดึงขึ้น (nipple pulling) หากจับไม่ติดหรือดึงไม่ขึ้นแสดงว่าหัวนมมีการดึงรั้ง
การประเมินลานหัวนม เป็นการทดสอบดูความยืดหยุ่นของลานหัวนม เพื่อประเมินว่าทารกจะสามารถอมลานหัวนมได้หรือไม่ เทคนิคการทดสอบให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับบริเวณลานหัวนมแล้วยกขึ้น (areola compression) การแปลผลคือ
ลานหัวนมตึง หมายถึงไม่สามารถใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับบริเวณลานหัวนมหรือจับติด แต่ไม่สามารถดึงลานหัวนมขึ้นมาได้
ลานหัวนมมีความยืดหยุ่นดี หมายถึง สามารถใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับบริเวณลานหัวนม และสามารถดึงลานหัวนมขึ้นมาได้
20.นักศึกษาจะกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลเเละการวางเเผนการพยาบาลเเก่มารดาเเละทารกในระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอดรายนี้อย่างไร
ข้อวินิจฉัย
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดภายหลัง เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
การพยาบาล
สอนและให้คำแนะนำแก่มารดาก่อนกลับบ้านเรื่องการคลึงมดลูกและการสังเกตุความผิดปกติ เช่น มีเลือดสดออกมาจำนวนมาก หน้ามืด เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
ให้มารดาหลังคลอดท้องหลังซึ่งการตึงตัวและหดรัดตัวของมดลูกไม่ดีเท่าท้องแรก จึงต้องเฝ้าระวังมากกว่าปกติ
ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวได้ดี
แนะนำให้ดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศ ไม่สวนล้างช่องคลอด ล้างทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง และซับให้แห้งทันที
แนะนำให้มารดาทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น แกงเลียง และดื่มน้ำประมาณ 2000-3000 ml เพื่อการเร่งน้ำนม
งดมีเพศสัมพันธุ์ ควรงดจนกว่าจะได้มีการตรวจหลังคลอดเมื่อครบ 4-6 สัปดาห์ และ Follow up ตามนัด
ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีสมาชิกใหม่
การพยาบาล
เปิดโอกาสให้มารดาแสดงความรู้สึก พูดคุยและซักถามเกี่ยวกับทารก
พูดเชิญชวนให้มารดาชมเชยความน่ารักของบุตรตนเองบ่อยๆ
ช่วยให้ทารกแรกเกิดได้ดูดนมมารดาโดยเร็ว
ส่งเสริมให้มารดาได้สัมผัส อุ้มกอดและมองสบตาทารก ตั้งแต่แรกคลอด
จากข้อมูลแรกรับที่ตึกหลังคลอด สัญญาณชีพของมารดานี้เป็นอย่างไร จงอธิบาย และควรให้การพยาบาลอย่างไร
BP 120/88 mmHg ปกติ (120-139/80-88 mmHg) PR 100 bpm ปกติ (ุ60-100 bpm) RR 18 bpm ปกติ (12-20 bpm) BT 38 องศาเซลเซียส pain score 7 คะแนน (ปวดมากที่สุด)
การพยาบาล
แนะนำวิธีการระบายความร้อนออกจากร่างกาย เช่น สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ โปร่งสบาย เพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี
ดูแลให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวดตามแผนการรักษา เพื่อบรรเทาอาการปวดแผลบริเวณฝีเย็บ
ดูแลให้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อลดกระบวนการผลิตความร้อนในร่างกาย
แนะนำวิธีการบรรเทาอาการปวดโดยการเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น กำหนดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด
เช็ดตัวลดไข้ เพื่อเป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย และวัดอุณหภูมิซ้ำหลังจากเช็ดตัว 30 นาทีเพื่อประเมินอาการไข้
จัดสิ่งแวดล้อมให้ดูสบายตาปลอดโปร่ง เพื่อให้มารดารู้สึกผ่อนคลาย
งานวิจัย
งานวิจัยภาษาไทย
(ผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงดูด้วยนมมารดา ต่อประสิทธิภาพการให้นมมารดาและอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเป็นเวลา 6 เดือน ในมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก)
ผลการศึกษา
มารดาหลังคลอดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีลักษณะส่วนบุคคล และลักษณะทางสูติกรรมไม่แตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดคลอดบุตรคนแรกไม่เคยแท้ง ส่วนใหญ่ฝากครรภ์ครั้งแรกเมื่อ อายุครรภ์ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ ฝากครรภ์ได้คุณภาพ จำนวน 5 ครั้ง ขณะตั้งครรภ์ไม่มีปัญหาสุขภาพ อายุครรภ์เมื่อคลอดอยู่ระหว่าง 36-41 สัปดาห์ คลอดทารกน้ำหนักระหว่าง 2,500-3,999 กรัม มารดากลุ่มควบคุมมีลักษณะหัวนม ปกติมากกว่ากลุ่มทดลอง ส่วนลักษณะของเต้านม และลานนมของทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่ปกติ ระดับการไหลของน้ำนมมารดาในวันแรกคลอดยังไม่ไหล หรือซึมเล็กน้อย
3.ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการโทรศัพท์ติดตามในระยะ 6 สัปดาห์ 3 เดือน และ 6 เดือนหลังคลอด พบว่ามารดากลุ่มทดลองที่เลี้ยงลูกด้วยนมมารดาได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ให้เหตุผลดังนี้
เกิดจากการได้รับความรู้และได้รับการฝึกทักษะให้อุ้มลูกเข้าเต้าได้อย่างถูกต้องก่อนกลับบ้าน ทำให้เลี้ยงลูกด้วยนมมารดาได้ง่ายขึ้น
มารดารู้สึกว่าน้ำนมไหลดี
มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือนตั้งแต่แรก
ไม่ต้องไปทำงานนอกบ้านจึงเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนรายที่เลี้ยงลูกด้วยนมมารดา 6 เดือน ไม่สำเร็จให้เหตุผลว่าดังนี้
น้ำนมไหลน้อย กลัวลูกไม่อิ่มจึงเริ่มให้นม ผสมร่วมกับนมมารดาตั้งแต่สัปดาห์แรก
มารดา มีหัวนมสั้นและลานนมแข็งทำให้ทารกดูดนมได้ไม่ดี
ขณะอยู่ในโรงพยาบาลยังอุ้มลูกเข้าเต้าได้ไม่ดีทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเป็นไปอย่างยากลำบาก
มารดาไปทำงานนอกบ้าน จึงไม่สะดวก ในการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา
คะแนนความพึงพอใจต่อโปรแกรมส่งเสริม การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาของมารดากลุ่มทดลอง คะแนนอยู่ในช่วง มีความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ อยู่ในระดับมากที่สุด สูงกว่าเกณฑ์ 80% และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เเละอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอย่างเดียว ของมารดากลุ่มทดลองในระยะ 6 เดือนหลังคลอด เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
สรุปผล
ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่าโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา มีผลต่อประสิทธิภาพการให้นมมารดาในระยะ 3 วันหลังคลอด มารดามีคะแนนความรู้การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอยู่ในระดับสูง และมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมทุกๆด้านอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ทำให้มารดากลุ่มทดลอง มีความรู้ มีทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รวมถึงได้รับกำลังใจ ได้รับการติดตามและกระตุ้นเตือนทางโทรศัพท์เป็นระยะ
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ต่อประสิทธิภาพการให้นมมารดาและอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา 6 เดือนหลังคลอด ในมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก ระหว่างเดือนมีนาคม 2561 ถึงกุมภาพันธ์ 2562 กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ โดยการให้คำแนะนำแบบกลุ่มด้วยการดูวีดิทัศน์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา และสาธิตวิธีการอุ้มลูกเข้าเต้าจากพยาบาล กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมฯ โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาผ่านสื่อการสอนใน iPad และเอกสารคู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา พร้อมทั้งฝึกทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ด้วยการสอนแบบตัวต่อตัว (Coaching) เครื่องมือวิจัยคือ โปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกประสิทธิภาพการให้นมมารดา และแบบบันทึกการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา
งานวิจัยภาษาอังกฤษ
(Analysis of the effect of postpartum rehabilitation nursing on the management of postpartum depression)
สรุปผล
จากการวิเคราะห์ผลของการพยาบาลฟื้นฟูหลังคลอดต่อการจัดการของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดพบว่า การพยาบาลฟื้นฟูหลังคลอดส่งผลดีต่อภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของมารดาได้
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์:เพื่อศึกษาผลของการพยาบาลฟื้นฟูหลังคลอดต่อการจัดการภาวะซึมเศร้าหลังคลอดวิธีการ:สุ่มเลือกไพรมิปาราทั้งหมด 100 ตัวในการศึกษานี้ แบ่งเป็นหลังคลอดกลุ่มแทรกแซงการพยาบาล (50 ราย) และกลุ่มควบคุม (50 ราย) ข้อมูลจากสตรีก่อนคลอดและหลังคลอดถูกรวบรวมผ่านแบบสอบถาม มาตราส่วนภาวะซึมเศร้าหลังคลอดในเอดินบะระ มาตราส่วนการสนับสนุนทางสังคม ทั่วไประดับการรับรู้ความสามารถของตนเองและแบบสอบถามการปรับบทบาทของมารดาได้แจกจ่ายให้กับสตรีมีครรภ์ 100 คน โดยการรวบรวมผลลัพธ์ของแบบสอบถามเหล่านี้ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มการแทรกแซงการพยาบาลและเปรียบเทียบกลุ่มควบคุม
ผลการศึกษา
การเปรียบเทียบความสมดุลของข้อมูลพื้นฐานของอาสาสมัคร มี 100 คนในกลุ่มศึกษา 50 คนใน กลุ่มควบคุมและ 50 คนในกลุ่มทดลองอายุเฉลี่ยของกลุ่มควบคุมเป็น 27.21 ± 2.53 ปี อายุเฉลี่ยของกลุ่มควบคุมคือ 26.67±3.58 ปี การทดสอบ T พบว่า t=-0050, P=0.961 > 0.05 ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยอายุ ลูกคนเดียว การวางแผนการตั้งครรภ์ ความคาดหวังทางเพศของทารก ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา คุณภาพการนอนหลับ การคลอด และการกินอาหารไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลของการพยาบาลหลังคลอดต่อ ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของผู้คลอดครั้งแรก ในวันที่เข้ารับการรักษา คะแนน EPDS ก่อนคลอดเท่ากับ 9.82±4.02 ตั้งแต่ 1 ถึง 18 และความถี่ของภาวะซึมเศร้าเท่ากับ 24.1% ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในคะแนน EPDS ระหว่างสองกลุ่มในวันที่เข้ารับการรักษา (P >0.05) และไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการพัฒนาภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (P >0.05) ในวันที่ออกจากโรงพยาบาล คะแนน EPDS และอุบัติการณ์ของภาวะซึมเศร้าระหว่างทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอย่างไรก็ตามเเต่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในคะแนน EPDS และ อุบัติการณ์ของภาวะซึมเศร้าระหว่างสองกลุ่มที่หลังคลอด42 วัน ไปเเล้ว