Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินหายใจ - Coggle Diagram
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินหายใจ
ยาแก้ไอ(Cough suppressants/Antitussive agents)
การไอ : เป็นกลไกทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เพื่อที่จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
• สิ่งแปลกปลอมที่ระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ
– ฝุ่นละออง
– ละอองสารเคมีในอากาศ
– ควัน
– เชื้อแบคทีเรีย
– สารคัดหลั่ง (secretion) จากทางเดินหายใจที่มากกว่าปกติ
ประเภทของการไอ
การไอ แบ่งออกเป็น 2 แบบ
– ไอแบบมีเสมหะ (Productive cough) : การไอแบบนี้จะช่วยขับสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการออกจากทางเดินหายใจไปกับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่งและสะดวกขึ้น
– ไอแบบไม่มีเสมหะ (Unproductive cough) : มีลักษณะไอแห้ง ไอถี่ แต่ไม่มีเสมหะออก เพราะเสมหะเหนียวข้น ซึ่งจำเป็นต้องให้ยาบรรเทาอาการไอ
• ยาที่ใช้บรรเทาอาการไอ
ยาแก้ไอ (Cough suppressants/ antitussive agents),
ยาขับเสมหะ (Expectorants), ยาละลายเสมหะ (Mucolytic agents)
• อาการไอมักเกิดร่วมกับการเป็นหวัด
จึงต้องรักษาอาการอื่นร่วมด้วย: ยาแก้ปวดลดไข้ (antipyretic analgesic)
ยาลดน้ำมูก (antihistamine) ยาขยายหลอดลม (bronchodilators)
ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ยาลดอาการคัดจมูก (nasal decongestants)
ยาแก้ไอ (Cough suppressants/Antitussive agents)
ยาแก้ไอ : ออกฤทธิ์์ระงับอาการไอที่ระบบประสาทส่วนกลางหรือส่วนปลาย ซึ่งเป็นเส้นทางของการเกิด cough reflex
• ประเภทของยาแก้ไอ
ยาแก้ไอที่ทำให้เสพติด
(Narcotic antitussive)
มีฤทธิ์ระงับไอได้ดีมาก ได้แก่ morphine รวมถึงอนุพันธ์ของmorphine เช่น codeine, oxycodone, methadone
Codeine (Ropect®)
• สกัดจากผลฝิ่น (Opium)
• กลไกการออกฤทธิ์: กดศูนย์การไอที่ medulla ในสมองโดยตรง
• เภสัชจลนศาสตร์ : ดูดซึมดีในทางเดินอาหาร เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 15-30 นาที ยาถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับและขับออกทางปัสสาวะ
• การใช้ทางคลินิก : ระงับอาการไอแห้ง ไอไม่มีเสมหะ
• อาการไม่พึงประสงค์ : คลื่นไส้อาเจียน ง่วงซึม ท้องผูก เมื่อใช้นานจะทำให้เสพติด กดการหายใจ
จึงควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคหืดและผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
• ขนาดยา : ผู้ใหญ่ 10-20 mg ทุก 6 hr, เด็ก 5-10 mg ทุก 6 hr
ยาแก้ไอที่ไม่ทำให้เสพติด (Non-narcotic antitussive)
• มีฤทธิ์ระงับไอได้น้อยกว่ากลุ่มแรก แต่ไม่มีฤทธิ์ทำให้เสพติด เช่น
Dextromethorphan (Romilar®)
• มีโครงสร้างคล้ายฝิ่น แต่ไม่มีฤทธิ์เหมือนฝิ่น เป็นยาที่นิยมใช้
• กลไกการออกฤทธิ์: กดศูนย์การไอที่ medulla ในสมองโดยตรง ระงับอาการไอที่ระบบประสาทส่วนกลาง
• เภสัชจลนศาสตร์ : ดูดซึมดีในทางเดินอาหาร ออกฤทธิ์ภายใน 30 นาทีอยู่ได้นาน 3-5 ชั่วโมง ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับและขับออกทางปัสสาวะ
• การใช้ทางคลินิก : ระงับอาการไอแห้ง ไอไม่มีเสมหะ
• อาการไม่พึงประสงค์ : ง่วงนอน คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก
• ขนาดยา : ผู้ใหญ่ 15-30 mg ทุก 6-8 hr
การพยาบาล : ยาแก้ไอ
• การดูแลผู้ป่วยที่ได้ยาระงับอาการไอชนิดเสพติด พึงระลึกเสมอว่า ต้องใช้ขนาดน้อยที่สุด และสั้นที่สุด ระวังฤทธิ์จากการกดการหายใจ
• ควรแนะนำผู้ป่วยให้รู้จักสังเกตอาการของตนเอง ซึ่งหากทานยาบรรเทาไอไปแล้วมากกว่า 1 สัปดาห์ แล้วยังมีอาการอยู่ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ยาขับเสมหะ(Expectorants)
ยาขับเสมหะ: ช่วยเพิ่มปริมาณของสารคัดหลั่ง (secretion) ในทางเดินหายใจ ทำให้เสมหะใสขึ้น มีความเหนียวน้อยลงและถูกขับออกง่ายขึ้นโดยการพัดโบกของขนในทางเดินหายใจ หรือการไอ
• กลไกการออกฤทธิ์:
– ออกฤทธิ์ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้มี reflex ไปตามvagus nerve ไปกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำคัดหลั่งจากทางเดินหายใจมากขึ้น
– ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของ secretory cells ของระบบทางเดินหายใจโดยตรง ทำให้น้ำคัดหลั่งเพิ่มขึ้น
– กระตุ้น cholinergic receptor ใน acinar gland ของระบบทางเดินหายใจ ทำให้น้ำคัดหลั่งเพิ่มขึ้น
การใช้ทางคลินิก : รักษาอาการไอแบบมีเสมหะ
• ตัวอย่างยา : – ที่นิยมใช้ : Ammonium chloride, Sodium iodide, Potassium iodide,Ipecacuanha, Guaifenesin (Glyceryl guaiacolate), Ammonium carbonate, Glycyrrhiza mixture
– ยาที่มีผลขับเสมหะอื่น : Terpin hydrate, น้ำมันหอมระเหย (volatile oil) เช่น eucalyptus oil, ชะเอม (liquorice), การบูร (camphor), น้ำ
ยาละลายเสมหะ(Mucolytic agents)
• กลไกการออกฤทธิ์
: เปลี่ยนโครงสร้างของเสมหะ เพื่อที่จะลดความเหนียวข้นของเสมหะ ทำให้ถูกขับออกมาได้ง่ายขึ้น
• การใช้ทางคลินิก : รักษาอาการไอแบบมีเสมหะ
• การพยาบาล
– ในผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายเสมหะ ควรช่วยให้ผู้ป่วยมีการขับเสมหะได้ดี โดยการให้น้ำอย่างเพียงพอ กระตุ้นการหายใจและไออย่างมีประสิทธิภาพ ระบายเสมหะ และดูดเสมหะบ่อย ๆ
Acetylcysteine (Fluimucil®)
• เภสัชจลนศาสตร์ : ดูดซึมได้ดีในทางเดินอาหาร
• อาการไม่พึงประสงค์ : คลื่นไส้อาเจียน น้ำมูกไหล หลอดลมหดตัว จึงต้องระวังในผู้ป่วยโรคหืด
• Acetylcysteine สามารถแก้พิษของยา paracetamol ได้
• ขนาดยา : ยาผง 100 mg./ซอง ครั้งละ 2 ซอง วันละ 3 ครั้ง
Bromhexine (Bisolvon®)
• เภสัชจลนศาสตร์ : ด ูดซึมได้ดีในทางเดินอาหาร ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับและขับออกทางปัสสาวะ
• อาการไม่พึงประสงค์ : ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
• ขนาดยา : ยาเม็ด 8 mg. วันละ 3-4 ครั้ง
ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทาน(Antihistamine)
Histamine : สารที่มีบทบาทในการตอบสนองต่อการอักเสบและการแพ้
• เซลล์หลักที่สังเคราะห์คือ mast cell ซึ่งจะสังเคราะห์และเก็บไว้ในsecretory granule และจะหลั่งเมื่อมีการกระตุ้น
• Histamine จับกับตัวรับ Histamine-1receptor (H1-receptor) ทำให้เกิดอาการแพ้แบบ type I hypersensitivityโดยเกิดผื่นแดงจากการขยายตัวของหลอดเลือด อาการบวมจากการที่ของเหลวออกมาจากหลอดเลือด
ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 1 หรือกลุ่มที่ทำให้ง่วง
(First-generation or sedating antihistamines)
กลไกการออกฤทธิ์: H1-receptor antagonist
• เภสัชจลนศาสตร์ : เมแทบอลิซึมที่ตับ ขับออกทางไต
• การใช้ทางคลินิก : แก้แพ้ ลดน้ำมูก คันจากผื่นผิวหนัง
• อาการไม่พึงประสงค์ :
– กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงซึม ไม่ควรใช้ในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือขับขี่รถ และไม่ควรใช้ร่วมกับยากดประสาทชนิดอื่นๆ เช่น ยานอนหลับ หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
– มีฤทธิ์anticholinergic effect จึงทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง เสมหะและน้ำมูกเหนียวข้น ท้องผูก ปัสสาวะขัดในผู้ชาย
จึงควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคต้อหิน (glaucoma) และโรคต่อมลูกหมากโต
• ตัวอย่างยา : – Chlorpheniramine (CPM)- ผู้ใหญ่ : ยาเม็ด (4 mg วันละ 3-4 ครั้ง), ยาน้ำ, ยาฉีด
ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 2 หรือกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง
(Second-generation or non-sedating antihistamines)
กลไกการออกฤทธิ์: H1-receptor antagonist
• เภสัชจลนศาสตร์
– ผ่านเข้าสู่สมองได้ยาก ทำให้ผลข้างเคียงต่อระบบประสาทน้อยลง
– ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น จึงใช้เพียงวันละครั้ง
– บางชนิด (Loratadine, desloratadine) ถูกเมแทบอไลซ์ด้วยเอนไซม์ที่ตับ จึงต้องระวังการเกิด drug interaction
(erythromycin, ketoconazole, clarithromycin, cimetidine)
• การใช้ทางคลินิก : แก้แพ้ ลดน้ำมูก คันจากผื่นผิวหนัง เหมาะกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) ซึ่งมีการแพ้ร่วมกับอักเสบแบบเรื้อรัง
• อาการไม่พึงประสงค์ :
– กดระบบประสาทส่วนกลางน้อย ง่วงซึมน้อย
– มีฤทธิ์anticholinergic effect น้อย
• ตัวอย่างยา
– Cetirizine, loratadine, levocetirizine, desloratadine, fexofenadine
ยาบรรเทาอาการคัดจมูก (Nasal decongestants)
กลไกการออกฤทธิ์
– ออกฤทธิ์กระตุ้น แอลฟ่า- และ เบต้า-
adrenergic receptor (AR) โดยออกฤทธิ์เด่นต่อ แอลฟ่า มากกว่า(แอลฟ่า-AR agonist)
– ยับยั้งเอนไซม์ adenylyl cyclaseทำให้ยับยั้งการผลิต cAMP .
ทำให้หลอดเลือดที่เยื่อบุโพรงจมูกหดตัว (vasoconstriction) ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณที่บวม เลือดคั่งน้อยลง บวมลดลง
เพิ่มการเปิด nasalairway ลดอาการคัดจมูก
การใช้ทางคลินิก
– รูปแบบพ่นหรือหยอดจมูก ออกฤทธิ์เร็ว (ภายใน 5-10 นาที) เพราะยาสัมผัสโดยตรงกับเยื่อจมูก แต่ช่วงเวลาในการออกฤทธิ์สั้น
– รูปแบบรับประทาน เหมาะสำหรับกรณีที่จำเป็นต้องให้ยามากกว่า 5 วันเพื่อป้องกันการระคายเคืองเยื่อบุจมูก
• อาการไม่พึงประสงค์
– รูปแบบพ่นหรือหยอดจมูก : แสบจมูก เยื่อบุจมูกแห้ง ปวดศีรษะ หลังยาหมดฤทธิ์อาจคัดจมูกมากกว่าเดิม ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ยาบ่อยครั้ง
– รูปแบบรับประทาน
• ผลต่อระบบหัวใจหลอดเลือด : หดหลอดเลือดในร่างกาย อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว
ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
• ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง : นอนไม่หลับ ปวดหัว
ข้อควรระวัง
– ระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ผู้ที่มีความดันในลูกตาสูง
– ไม่ควรใช้ยาชนิดพ่น/หยอดจมูกบ่อยเกินความจำเป็น หรือไม่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน (3-5 วัน) เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงหรือกลับมาเป็นซ้้าได้ จากการขยายตัวของหลอดเลือดกลับมาเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม (rebound vasodilation)
• ตัวอย่างยา : Ephedrine, phenylephrine, oxymetazoline,phenylpropanolamine, pseudoephedrine, naphazoline, tetrahydrozoline
ชนิดรับประทาน เช่น Pseudoephedrine HCl
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2
ชนิดพ่น/หยอดจมูก เช่นOxymetazoline
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืด (asthma) และ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
โรคหืด (Asthma)
• สาเหตุหลัก
– การหดตัว : กล้ามเนื้อเรียบหลอดลมหดตัว (bronchoconstriction)
เกิดขึ้นจากการหลั่งสารสื่อต่างๆ ได้แก่ histamine, leukotrienes C4และ D4, prostaglandin D2, ฯลฯ
– การอักเสบ : เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบ (airway edema/inflammation)
เสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ (mucus secretion)
• หากเป็นต่อเนื่องนาน ๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เรียกว่าairway remodelling ทางเดินหลอดลมแคบลงถาวร ไม่ผันกลับ
• ยารักษาโรคหืด
– รักษาการหดตัว : ยาขยายหลอดลม (bronchodilators)
– รักษาการอักเสบ : ยาลดการอักเสบ (anti-inflammatory drugs)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
• ความหมาย : เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของทางเดินหายใจเช่นเดียวกับโรคหืด แต่เป็นมากกว่า โดยทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ (progressive disease)และไม่ผันกลับ (irreversible)
• อาการ : หายใจลำบาก เสมหะมาก ไอเรื้อรัง
• สาเหตุ : สัมผัสสารกระตุ้น (noxious stimuli) เช่น ควันบุหรี่
• การรักษา : รักษาไม่หาย เน้นชลอการดำเนินโรคเป็นหลัก
หยุดสาเหตุ
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators)
ยากระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ชนิดอะดรีเนอร์จิก (adrenergic drugs) : β2 -agonist
แบ่งตามความจำเพาะ
Non-selective β-AR agonists: epinephrine, isoproterenol
Epinephrine (Adrenaline)
• เภสัชจลนศาสตร์
2 more items...
• อาการไม่พึงประสงค์
2 more items...
• หมายเหตุ
1 more item...
Selective β2-AR agonists: metaproterenol, albuterol, terbutaline,formoterol, salmeterol, fenoterol, procaterol
กลไกการออกฤทธิ์
– ออกฤทธิ์กระตุ้น β2-AR แบบจำเพาะเจาะจง (β2agonist) จึงไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้น α-AR และ β1-AR
Terbutaline
• เภสัชจลนศาสตร์ : ด ูดซึมจากทางเดินอาหารได้บางส่วน ออกฤทธิ์ภายในเร็วเวลา 15-30 นาที ฤทธิ์ของยาอยู่ได้นาน 4-6 ชั่วโมง
• ขนาดยา
2 more items...
• อาการไม่พึงประสงค์ : คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ
Salbutamol
• เภสัชจลนศาสตร์ : ดูดซึมจากหลอดลมอย่างช้าๆ โดยการสูดดม ออกฤทธิ์ในเวลา 15 นาที และฤทธิ์ของยาอยู่ได้นาน 4-6 ชั่วโมง
• อาการไม่พึงประสงค์ : ใจสั่น มือสั่น ปวดศีรษะ
• ขนาดยา
2 more items...
• กลไกการออกฤทธิ์:
– จับกับ β2receptor ที่หลอดลม กระตุ้น adenylyl cyclase ทำให้มีการสร้าง cAMP ในเนื้อเยื่อหลอดลมมากขึ้น หลอดลมจึงขยายตัว
– เพิ่มการโบกพัดของขนในผนังทางเดินหายใจ (mucociliary transport)
ช่วยขับเสมหะที่อุดกั้นทางเดินหายใจ ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง
– ยับยั้งการหลั่ง mediators ที่ทำให้หลอดลมหดตัว
ยายับยั้งระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ชนิดโคลิเนอร์จิก(anticholinergic drugs) : Muscarinic M3-antagonist
กลไกการออกฤทธิ์
– ออกฤทธิ์ยับยั้ง muscarinic M3 receptors (M3 antagonist)
จึงมีผลทำให้หลอดลมขยายตัว
เภสัชจลนศาสตร์ : ยาอยู่ในรูปของสูดพ่น (Inhaler) เนื่องจากดูดซึมไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร
ระยะเวลานานในการออกฤทธิ์ขึ้นกับชนิดยา
• อาการไม่พึงประสงค์ : ปากแห้ง คอแห้ง, รสขม หรือ metallic taste ในปาก, ปัสสาวะคั่ง (urinary retention)
• ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคต้อหิน
ต่อมลูกหมากโต
• การพยาบาล : หลังพ่นยาควรให้ผู้ป่วยบ้วนปากกลั้วคอแล้วบ้วนทิ้งหลังการใช้ยาพ่นสูดทุกครั้ง
ยาลดการอักเสบของทางเดินหายใจ (Anti-inflammatory drugs)
• ช่วยลดความไวของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้นและช่วยป้องกันการหอบ
• เป็นยาหลักในการรักษาโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง **
• ได้แก่
Inhaled corticosteroids (ICSs)
• กลไกการออกฤทธิ์:
❑ ยับยั้งการหลั่ง arachidonic acid จากผนังเซลล์ โดยการยับยั้งphospholipase A2 และ COX-2 มีผลลดการสร้างสาร eicosanoids ซึ่งเป็นสารก่ออักเสบในทางเดินหายใจ
❑ ยับยั้งการหลั่ง mediators ที่ทำให้เกิดการหอบ ได้แก่ histamine, leukotrienes
❑ ยับยั้งกระบวนการเกิดการอักเสบและการเคลื่อนที่ของ inflammatorycell มายังบริเวณที่มีการอักเสบ
• ลดการอักเสบและลดความไวของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้นได้ โดยไม่มีฤทธิ์ในการขยายหลอดลม
เภสัชจลนศาสตร์ : ให้ได้ทั้งการฉีด การรับประทาน และการให้เฉพาะที่เช่น การสูดพ่น
– ยาสูดพ่น : อยู่ในรูปละอองฝอย 5-10 ไมครอน เพื่อให้สูดได้ลึกพอลงไปถึงหลอดลมเล็กๆ
(ถ้าใหญ่ไป- หนักลอยไปไม่ไกล,ถ้าเล็กไป-อาจลอยออกมากับลมหายใจออก)
• อาการไม่พึงประสงค์
– ขึ้นกับวิธีบริหาร ขนาดของยา ความถี่ และระยะเวลาที่บริหารยา
– พบบ่อยเมื่อให้โดยวิธีรับประทานหรือฉีด ส่วนยาสูดพ่น พบน้อยกว่า
– ชนิดรับประทาน : Systemic side effect ได้แก่ กด adrenal gland, cushingsyndrome,กดการเจริญเติบโตในเด็ก, กระดูกผุ (osteoporosis), ติดเชื้อง่ายจากการกดภูมิคุ้มกัน, ต้อกระจก (cataract)
– ชนิดสูดพ่น : Local side effect ได้แก่ ติดเชื้อราในช่องปากและทางเดินหายใจ ป้องกันโดยบ้วนปากภายหลังการพ่นยา**
การใช้ทางคลินิก
– รักษาหืดหรือปอดอุดกั้นเรื้อรังชนิดเฉียบพลัน
(acute attack/exacerbation)
– รักษาโรคหืดหรือปอดอุดกั้นเรื้อรังระยะยาว
(long-term prophylaxis)
– ชนิดรับประทาน : มีประสิทธิภาพสูง แต่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มาก ควรใช้ยาในรายที่จำเป็น และใช้ขนาดน้อยที่สุดในระยะเวลาสั้นที่สุด
• ตัวอย่างยา
– Budesonide, Beclomethasone, Triamcinolone, Fluticasone,Budesonide, Mometasone, Ciclosonide