Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Case Analysis, image - Coggle Diagram

- - - - 1 ตรวจสอบสัญญาณอันตราย ก่อนเกิดอาการชักอย่างระมัดระวังและต่อเนื่อง ได้แก่ การมีความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน , อาการบวมน้ำทั่วตัว , ตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะจำนวนมาก (+4) , ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ,ตาพร่ามัว , เจ็บแน่นชายโครง และจุกแน่นลิ้นปี่ , ตรวจการตื่นตัวของระบบประสาทไวมาก , การโต้ตอบผิดปกติ เช่น ซึม มึนงง
      - 2 ให้ยาป้องกันการชักตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องตามมาตรฐานการให้ยาให้ 50% MgSO4 5 gm. แบ่งฉีด 2 ข้างเข้ากล้ามเนื้อ ทุก 4 ชั่วโมง
      - ตรวจสอบอาการหลังการให้ยา และอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่
        2.1 อัตราการหายใจทุก 15 นาที
        2.2 ปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง
        2.3 ตรวจความตื่นตัวทางระบบประสาท ทุก 1 ชั่วโมง
      - เตรียมพร้อมในการช่วยเหลือภาวะยา MgSo4 ออกฤทธิ์เกินขนาดได้แก่ 3.1 ยา antidote : 10% calcium gluconate ที่ข้างเตียง
      - หยุดการให้ยาทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้
        4.1 ปัสสาวะออกน้อยกว่า 30 ซีซี/ชั่วโมง
        4.2 อัตราการหายใจต่ำกว่า 16 ครั้ง/นาที
        4.3 ไม่พบ ความตื่นตัวทางระบบประสาท
      - 5.ตรวจวัดความดันโลหิตทุก 15 นาที ระหว่างการได้รับยาป้องกันอาการชัก
      - ใส่สายสวนคาปัสสาวะ และบันทึกปริมาณน้ำปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง
      - จัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และไม่กระตุ้นอาการชัก ได้แก่ ไม่กั้นเตียง บรรยากาศที่เงียบไม่มีเสียงรบกวน
      - เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอดเวลา
      - 9.ให้ยาควบคุมความดันโลหิตตามแผนการรักษาของแพทย์
  - - - ดูแลให้มารดาได้รับ5%D/N/2 1000 ml.+Syntocinon 10 unit IV drip ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อช่วยให้มดลูกมีการหดรัดตัวดีขึ้นป้องกันการตกเลือดหลังคลอดพร้อมกับสังเกตการหดรัดตัวของมดลูกเป็นระยะๆ
      - ดูแลคลึงมดลูกให้มารดาและสอนสาธิตให้มารดามั่นคลึงมดลูกด้วยตนเองเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวทำให้เส้นเลือดส่วนปลายปิดลดการสูญเสียเลือด โดยใช้มือข้างหนึ่งคลึงเบาๆบริเวณยอดมดลูก
      - กระตุ้นให้มารดาหลังคลอดปัสสาวะภายใน 8 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และหลังถ่ายปัสสาวะครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปควรแนะนำให้มารดาถ่ายปัสสาวะทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการยืดขยายของกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะส่งผลให้เกิดการตกเลือดได้
      - ประเมินลักษณะ สี และปริมาณของน้ำคาวปลา ถ้าเลือดออกชุ่มผ้าอนามัยเกิน 1 ผืนต่อชั่วโมง ต้องหาสาเหตุเพราะแสดงว่าเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด
      - ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงได้แก่ ชีพจรเบาเร็ว หายใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตต่ำลง ถ้าอาการเปลี่ยนแปลงแย่ลง ให้ประเมินทุก 15 - 30 นาที ตามความเหมาะสมและรีบรายงานแพทย์ 6. แนะนำหรือเน้นย้ำให้มารดาสังเกตอาการและอาการแสดงของการตกเลือดหลังคลอด เช่น หน้ามืด อ่อนเพลีย ริมฝีปากแห้ง ตัวซีดและเย็น หากมีอาการเหล่านี้ให้รีบแจ้งพยาบาล
      - ประเมินผีเย็บและการฉีกขาดของช่องคลอดโดยวิธี REEDA ถ้าตรวจพบว่าแผลฝีเย็บบวมเพิ่มขึ้นบวมแดงร้อนกดผิวหนังรอบแผลฝีเย็บจะเจ็บปวดมากแสดงว่ามีการตกเลือดใต้ผิวหนังควรรายงานแพทย์เพื่อผ่าตัดนำเลือดที่คั่งออก แนะนำการทำความสะอาดแผลฝีเย็บอย่างนุ่มนวล
      - ดูแลช่วยเหลือให้ทารกดูดนมมารดาทุก 2-3 ชั่วโมงเนื่องจากเมื่อทารกดูดนมมารดาจะเป็นการกระตุ้น oxytocin receptor ที่บริเวณปลายประสาทหัวนมและลานนมทำให้ประสาทไขสันหลังไปกระตุ้น posterior pituitary gland ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมน oxytocin เพื่อช่วยให้มดลูกหดรัดตัวดีป้องกันการตกเลือดหลังคลอดได้
  - - - 1.จัดท่านอนที่ช่วยในการลดการปวดแผลฝีเย็บโดยควรนอนตะแคงซ้ายเนื่องจากตัดแผลฝีเย็บทางด้านขวาเพื่อลดแรง กดต่อแผลฝีเย็บและลดอาการปวด
      - 2.จัดกระเป่าแข็งประคบบริเวณแผลฝีเย็บใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอดเพราะความเย็นจะส่งผลให้ เส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้อาการปวดและบวมลดลง
      - 3.สอนเทคนิคการผ่อนคลายโดยการบริหารการหายใจเป็นจังหวะ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวด
      - 4.แนะนําการทําความสะอาดแผลฝีเย็บด้วยน้ำอุ่นหลังการอาบน้ำโดยล้างจากด้านหน้า ไปด้านหลัง และเช็ดให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง ขณะทําความสะอาดไม่ควรแยกแคม เพราะจะทําให้เชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดได้
      - 5.แนะนําให้ล้างฝีเย็บทุกครั้งหลังปัสสาวะหรืออุจจาระ และเช็ด ให้แห้งด้วยผ้าหรือกระดาษชำระจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันเชื่อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด
      - 6.แนะนําการบริหารฝีเย็บ เช่น การทํา Kegel exercise โดยให้ขมิบช่องคลอด ซี่งจะต้องทําวันละ 100-300 ครั้งเพื่อส่งเสริมการหายของแผล และช่วยให้กล้ามเนื้อรอบช่องคลอดและฝีเย็บแข็งแรงและหดรัดตัวดี
      - 7.ดูแลให้มารดาหลังคลอดรับประทานยาบรรเทาปวด Paracetamal (500mg) 2 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวดและให้สุขสบายขึ้น
  - - - 1.การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว มีหลายวิธีการ ที่นิยมใช้กันคือ การนับวันที่ที่ปลอดภัยหรือที่ทั่วไปเรียกว่า "หน้า7 หลัง 7" หมาย ถึงนับจากวันที่มีประจำเดือนคราวที่แล้ว
      - การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดจะมี 2 แบบ คือ แบบ21 เม็ด และแบบ 21 เม็ด โดยแบบ 21 เม็ดมี 7 เม็ดสุดท้ายจะเป็นวิตามินและแร่ธาตุ ข้อดีของวิธีนี้คือสะดวก หยุดยาไประยะหนึ่งก็ สามารถมีบุตรได้อีก จึงเหมาะกับคู่สมรสใหม่ๆที่เพิ่งใช้ชีวิตร่วมกัน
      - การฉีดยาคุมกำเนิด ในยาฉีดจะเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน โดยฉีดทุกๆ 84 วันหรือ 12 สัปดาห์ หรือตามที่แพทย์กำหนด วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีบุตรมาแล้ว และผู้ที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิด รับประทาน ข้อห้ามยาฉีด
      - ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง (Norplant) เป็นยาคุมที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ลักษณะเป็น หลอดเล็กๆ สามารถฝังได้บริเวณต้นแขนด้านในจึงเหมาะสาหรับผู้มีบุตรเพียงพอแล้ว หรือต้องการเว้นระยะห่างของการมีบุตร นานๆ
      - การใส่ห่วงอนามัย (IUD) เป็น การคุมกำเนิดที่นิยมทำกันในกลุ่มแม่บ้าน ที่ต้องการคุมกาเนิดนานๆ
      - การสวมถุงยางอนามัยสตรี (Diaphragm) เป็น ถุงยางที่ต่างจากของคุณผู้ชาย โดยมีขนาดค่อนข้าง ใหญ่ ให้คุณผู้หญิงสวมก่อนมีเพศสัมพันธ์
      - การสวมถุงยางอนามัยผู้ชาย (Condom) เป็น วิธีคุมกำเนิดที่ง่ายสะดวกและมีความปลอดภัย ใน การป้องกันการตั้งครรภ์ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      - การคุมกำเนิดแบบถาวร ทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยส่วนใหญ่ในผู้หญิงมักจะทาหลังจากคลอด
      - วิธีการคุมกำเนิดหลังร่วมเพศโดย การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีปริมาณเอสโตรเจนสูง เพื่อป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน
  - - - นำทารกมาเข้าเต้า ให้มารดาได้สัมผัสได้โอบกอดทารก
      - ให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลมารดาและทารกในระยะหลังคลอด เช่นการอาบน้ำทารก การพับผ้าอ้อม การเปลี่ยนผ้าอ้อม เป็นต้น
      - ให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้ามาสัมผัสพูดคุยและสบตากับทารกทารกเพื่อสร้างพัฒนาการด้านความเคยชินความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
- - - - คลอดก่อนกําหนด (Preterm labour)
      - เกิดการแท้ง
      - มีความผิดปกติของการตั้งครรภ์
      - ตกเลือดหลังคลอด
      - มีภาวะความดันโลหติ สูงหรอืเบาหวานขณะตังครรภ์
      - ครรภ์เป็นพิษ
    - - ทารกมีน้ำหนักน้อย (Lor Birth weight)
      - ทารกเกิดการตายคลอด
      - ความผิดปกติทางโครโมโซมของทารก
    - - แนะนําการปฏิบัติตนขณะตั้งครรภ์ที่เหมาะสม
      - อธิบายความจําเป็นในการตรวจคัดกรองภาวะต่างๆที0อาจจะเกิดขึ้นข
        ณะการตั้งครรภ์
      - กระตุ้นและแนะนําใหม้ ีการมาฝากครรภืตามนัด
    - - อธบิายเกี่ยวกับกระบวนการคลอดและการปฏิบัติตัวขณะคลอด
    - - กระตุ้นและส่งเสริมการให้น้ำนมบุตร
      - แนะนําการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
      - ลดความวิตกกังวล
      - วางแผนการคุมกําเนิด
  - - - ส่งผลกระทบด้านจิตใจและภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู
      - เพิ่มโอกาสในการผ่าคลอด
    - - polycythemia
      - hypothemia
      - ภาวะ hypoglycemia
      - hyperbilirubinemia
      - meconuim aspiration syndrome
    - - ดูแลทารกเพื่อเฝ้าระวงัและป้องกันภาวะ
        hypoglycemia,hypothemia,polycythemia