Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวโดยใช้ฮอร์โมน, : - Coggle Diagram
การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวโดยใช้ฮอร์โมน
ยาเม็ดคุมกำเนิด
แบ่งออกเป็น2แบบ
1.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผง21เม็ด
ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันวันละ1เม็ดจนหมดแผงและหยุด7วันก่อนเริ่มแผงใหม่
2.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผงละ28เม็ด
โดยทั่วไปจะมีตัวยาฮอร์โมนจำนวน21เม็ดและไม่มีตัวยาหรือเรียกว่า
เม็ดแป้ง
อีก7เม็ดควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันวันละ1เม็ดจนหมดแผงแล้วขึ้นผงใหม่ต่อเนื่องกัน
กลไกการทำงานยาเม็ดคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดประกอบไปด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และเมื่อเรารับประทานยาคุมชนิดนี้เข้าไปก็จะทำให้ผนังมดลูกของเราหนาขึ้นแต่ไม่หนาเหมือนปกติเนื่องจากร่างกายของเรานั้นได้รับฮอร์โมนเอส
โตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้าไปพร้อมกันจึงทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างไข่ได้
ยาฉีดคุมกำเนิด
มี2แบบ
1.ชนิดที่มีฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสตินอย่างเดียว
ยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทต (depot medroxyprogesterone acetate หรือ DMPA) ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (DMPA-IM) และเป็นชนิดที่ใช้กันมากสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกหรือกล้ามเนื้อต้นแขน
ใช้ได้กับผู้หญิงทุกรายที่ต้องการคุมกำเนิดชนิดฉีดแบบ 3 เดือนหรือฉีดทุก 12 สัปดาห์
ใช้กับผู้ที่ประสงค์จะคุมกำเนิดเป็นเวลานาน และเหมาะกับผู้ที่มีบุตรแล้วมากกว่าผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตร ยานี้ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ
ยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทต (DMPA-SC)ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉีดแบบ 3 เดือน
ผู้ใช้สามารถฉีดยาเองได้ โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องหรือต้นขาและฉีดยาทุก 12 สัปดาห์
นอร์เอทิสเตอโรนอีแนนเทต (norethisterone enanthate) เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉีดแบบ 2 เดือน
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกหรือต้นแขน ยาออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 10 สัปดาห์ผู้ที่ประสงค์จะคุมกำเนิดระยะสั้น
2.ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่มีฮอร์โมนรวม
มีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจนผสมกับฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน
เหมาะกับผู้ที่มักลืมรับประทานยาหรือไม่อยากรับประทานยาทุกวัน และยังอยากมีประจำเดือนตามปกติ
มีฮอร์โมนรวมดังนี้
1.เมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทต 25 มิลลิกรัมผสมกับเอสตราไดออลไซพิโอเนต 5 มิลลิกรัม
2.นอร์เอทิสเตอโรนอีแนนเทต 50 มิลลิกรัมผสมกับเอสตราไดออลวาเลอเรต 5 มิลลิกรัม
เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากสำหรับคนที่ต้องการเว้นระยะการมีบุตร
ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลาสั้นๆ
ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
การรับประทานฮอร์โมนเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่สูงมาก โดยยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะยับยั้งหรือทำให้การตกไข่ในร่างกายเลื่อนออกไป
ยาคุมกำเนิดที่ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดหรือไม่พึงประสงค์
ควรรับประทานทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง
ประเภทของยาคุมกำเนิด
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Estrogen-Progestin)
ยาคุมฉุกเฉินที่ใช้การทำงานของฮอร์โมนตัวเดียว
โพรเจสโตเจน
ตัวยาที่นิยมใช้ในยาคุมฉุกเฉินคือ Levonorgestrel
ฮอร์โมนสังเคราะห์ในกลุ่มของโพรเจสตินที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการตกไข่
รับประทานทีเดียว 1 โดส (Dose) โดสละ 1.5 mg หรือจะรับประทานแยกแบ่งเป็น 2 โดส โดสละ 0.75 mg ห่างกัน 12 ชั่วโมง
ต้องรับประทานโดสแรกภายใน 72 ชั่วโมง
ได้รับการยืนยันจาก US FDA และ WHO
ได้ผลดีถึงแม้จะรับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว 3-5 วัน
ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
อาการคลื่นไส้ อาเจียน
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดียวโพรเจสติน (Progestin Only)
ยาที่ได้รับการคิดค้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974
ใช้กลไกในการเพิ่มระดับฮอร์โมนให้สูงขึ้นในร่างกาย
estrogen
progesterone
ยับยั้ง หรือ เลื่อนเวลาของการตกไข่เยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัว และยังมีผลต่อการทำงานของรังไข่
กินหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยทันที หรือภายใน 72 ชั่วโมง
รับประทานซ้ำอีกครั้ง 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้งห่างกัน 12 ชั่วโมง
ยาคุมฉุกเฉินชนิด Selective Progesterone Modulator
การใช้สารต้าน progesterone ไปแย่งจับกับตัวรับปฏิกิริยา ทำให้ progesterone ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้
มดลูกไม่สามารถที่จะมีสภาพในการฝังตัวอ่อน
ยาในกลุ่มนี้
ulipristal
รับประทานครั้งเดียว 30 มก. ภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
mifeprisone (RU486)
รับประทานครั้งเดียว 600 มก. ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
ผลข้างเคียงน้อย
ข้อควรรู้ในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถใช้ในการทำแท้งได้
ยาคุมฉุกเฉินมีผลข้างเคียงสูงมาก
การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้ง อาจส่งผลต่อการท้องนอกมดลูกได้ในอนาคต
การกินยาคุมฉุกเฉินควรกินให้เร็วที่สุดหลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ภายใน 24 ชม.
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ข้อห้ามในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม
ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น ตับแข็ง โรคตับเฉียบพลัน ไปจนถึงมะเร็งตับ
ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีการทำงานของไตและหลอดเลือดผิดปกติ
ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปี และสูบบุหรี่จัด เป็นโรคไขมันในเลือดสูงและมีภาวะอ้วน
ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดที่มีอาการเตือน
วิธีคุมกำเนิดโดยใช้ฮอร์โมนแบบ อื่นๆ
ที่นอกเหนือจากการฉีดและการรับประทาน
การฝังยาคุมกำเนิด
แพทย์จะฝังหลอดยาเล็กๆยาวประมาณ 3 ซม.แบบจำนวน1หลอดหรือ2หลอด(แล้วแต่ชนิดของยา) เข้าใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน ยาฝังคุมกำเนิดจะมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ถึง3-5ปี แล้วแต่ชนิดของยา
ตัวยาสำคัญเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน เลโวนอร์เจสเตรล และเอโทโนเจสเตรล
การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมกำเนิดชนิดฝัง
1.ยับยั้งการตกไข่
2.ลดปริมาณมูกปากมดลูกและทำให้มูกปากมดลูกข้นหนืดจึงขัดขวางการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ
ลดการโบกพัดของขนอ่อนในท่อนำไข่
4.ลดขนาดและลดจำนวนต่อมซึ่งทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งที่เยื่อบุมดลูก
5.ทำให้ corpus luteum ในรังไข่ (หากมีการตกไข่เกิดขึ้น) สลายเร็วเกินโดยยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
6.ทำให้เยื่อบุมดลูกฝ่อ
สิ่งเหล่านี้ทำให้สภาวะภายในมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว (หากสามารถปฏิสนธิได้) จึงไม่เกิดการตั้งครรภ์
การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด
คือการใช้แผ่นแปะที่มีฮอร์โมนคุมกำเนิดอยู่ในแผ่นที่มีขนาด 4x4 ซม. แปะที่บริเวณสะโพก ท้องน้อย ต้นแขน หรือแผ่นหลังส่วนบน
แต่ไม่ควรแปะบริเวณเตานม
โดยจะต้องเปลี่ยนแผ่นทุกสัปดาห์เป็นเวลา3สัปดาห์และเว้น1สัปดาห์ไม่ต้องแปะแผ่น ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีประจำเดือน
หากต้องการมีบุตร สามารถหยุดได้ทันที ภาวะตกไข่ธรรมชาติจะเริ่มกลับมาภายใน 1 – 2 รอบเดือน หลังจากหยุดแปะแผ่นยา
แผ่นแปะยาคุมกำเนิดจะประกอบด้วยฮอร์โมน2ชนิดคือ ยาในกลุ่มเอสโตรเจนสังเคราะห์ และยาในกลุ่มโปรเจสติน
หลักการการป้องกันของวิธีนี้ก็คือ การช่วยป้องกันการตกไข่ ป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิผ่านเยื่อเมือกบริเวณปากช่องคลอดเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ที่บริเวณโพรงมดลูกและในท่อนำไข่ได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการรับประทานยาคุมชนิดเม็ด
: