Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วัณโรค Tuberculosis (TB) วัณโรค_ค้นหาด้วย_Google_2561_03_09_20_49_06,…
วัณโรค Tuberculosis (TB)
วัณโรค เป็นการติดเชื้อที่เกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง มีผลให้น้ำแทรกซึมในปอดหรือเกิดการเกิด granuloma เกิดผังผืดหรือเป็นโพรงภายในเนื้อปอด ประมาณการว่าทั่วโลกมีประชากรที่ตายด้วยโรควัณโรคประมาณ 3,000,000 คนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นในกลุ่มที่เคยติดเชื้อแล้วอาการกำเริบขึ้นใหม่ส่วนผู้ป่วยรายใหม่มีอาการจากสุขภาวะไม่ดี ขาดสารอาหารอยู่ในที่แออัด ผู้อพยพ ผู้สูงวัยและในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สาเหตุ
วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Microbacterium tuberculosis เป็น Acid-fast aerobic bacillus รูปร่างเป็นแท่งและมีแคปซูลหุ้ม เชื้อวัณโรคไม่ทำให้เกิดหนองเชื้อวัณโรคเป็นแบคทีเรียที่มีแคปซูลหุ้มติดต่อได้ทางเสมหะไอจามอวัยวะทุกส่วนในร่างกายสามารถติดเชื้อนี้แต่มักติดเชื้อที่ปอดเเละต่อมนำ้เหลืองมากที่สุด
ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคมีอยู่ 2 ประเภท
คือ วัณโรคแฝง และ วัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบ คนที่มีวัณโรคแฝงจะไม่แสดงอาการและวัณโรคชนิดนี้จะไม่แพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น อย่างไรก็ดี วัณโรคแฝงอาจกลายมาเป็นวัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกัน ในขณะที่วัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบนั้นทําให้ผู้ป่วยมีอาการของวัณโรค และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
-
-
การวินิจฉัย
การ X-ray ปอด ผลเอกซ์จะพบลักษณะคล้ายกัน (nodule) เเละมีนํ้าเเทรกซึม จะพบบริเวณยอดปอด เเละส่วนหลังของ lobe บน ในผู้สูงวัยมักจะพบใน lobe ล่างเละมีนํ้าเเทรกซึม การตรวจย้อมเชื้อเเละเพาะเลี้ยงเชื้อจากเสมหะจะช่วยวินิจฉัยโรคได้เเม่นยำที่สุด เเละควรเก็บเสมหะในตอนเช้า การตรวจชนิดใหม่ คือ การตรวจด้วยเทคนิค nucleic acid amplification (NAA)
ลักษณะทางภาพรังสีทรวงอก
พบว่าปอดกลีบบนไม่ว่าด้านซ้ายหรือด้านขวาเป็นตำแหน่งที่วัณโรคพบบ่อยที่สุดสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเนื่องมาจากว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีแรงดันออกซิเจนสูงกว่าบริเวณอื่น และนอกจากนี้ยังเชื่อว่าการเป็นวัณโรคในผู้ป่วยกลุ่มนี้น่าจะเกิดจากreactivationมากกว่าreinfection ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ป่วยเคยได้รับเชื้ออมาก่อนหน้านี้แล้ว วัณโรคสามารถพบในตำแหน่งอื่นๆได้อีก ได้แก่ บริเวณ superior segment ของ lower lobe, middle lobe, lingular segment เป็นต้น ส่วนภาวะที่เรียกว่า primary tuberculosis นั้น คือการเกิดวัณโรคขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อในครั้งแรกและร่างกายไม่มีภูมิต้านทานดีพอในการควบคุมเชื้อ เช่น ผู้ป่วย AIDS ทำให้พบความผิดปกติที่ lower lobe ของปอดซึ่งเป็นบริเวณที่เชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นนและก่อโรคในที่สุด โดยมักจะพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอดโตขึ้นด้วย
วัณโรคปอดสามารถให้ลักษณะทางรังสีปอดได้หลายแบบขึ้นอยู่กับ Pathogenesis ของการเกิดโรค มีลักษณะทางภาพรังสีบางประการที่ค่อนข้างจำเพาะต่อวัณโรคปอด เช่น การพบโพรง (cavity) ในเนื้อปอดโดยเฉพาะโพรงที่เกิดบริเวณ upper lobe ซึ่งมักจะไม่พบว่ามี air-fluid level อย่างที่เห็นใน lung abscess ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และโดยมากผู้ป่วยที่มีโพรงแผลจากภารังสีทรวงอกมักจะตรวจพบเชื้อวัณโรคจากการย้อมเสมหะ ดังนั้นหากตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคจากการย้อมเสมหะควรนึกถึงภาวะอื่นไว้ด้วยเช่น ถ้าเป็นผู้ป่วยสูงอายุและมีประวัติสูบบุหรี่อาจจะต้องนึกถึงมะเร็งปอด หรือถ้าผู้ป่วยเป็น immune-compromise host อาจต้องนึกถึงเชื้อที่เป็นสาเหตุอื่นๆด้วยเช่น fungal infection Nocardiosis Mellioidosis เป็ นต้น นอกจากลักษณะทางภาพรังสีดังกล่าวข้างต้นแล้ว เราอาจพบลักษณะทางภาพรังสีอื่นๆได้อีกเช่น อาจจะพบความผิดปกติแบบ reticulo-nodular ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นบริเวณ upper lobe ทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน แต่ในผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงอาจพบลักษณะทางภาพรังสีแบบนี้กระจายทั่วไปทั้ง 2 ข้างได้ และบางครั้งอาจจะเห็นเป็นแบบ Miliary ดังในรูปที่ ในกรณีนี้การตรวจเสมหะอาจไม่พบเชื้อวัณโรคเพราะรอยโรคส่วนใหญ่อยู่ในส่วนที่เป็น interstitial tissue เพราะฉะนั้นการพบภาพรังสีปอด ในลักษณะนี้ แพทย์ผู้ดูแลไม่ควรเข้าใจผิดว่าการที่ผลย้อมเสมหะเป็นลบนั้นแสดงว่าไม่เป็นวัณโรค ดังนั้นในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าวนี้อาจจะจำเป็นที่ต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันต่อไป แต่หากอยู่ในที่ๆไม่สามารถตรวจเพิ่มเติมได้เช่น ไม่สามารถทำการส่องกล้องหลอดลมได้ การให้การรักษาแบบวัณโรคไปก่อนและมีการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดก็เป็นหนทางหนึ่งที่ทำได้ในเวชปฏิบัติแต่ต้องทำความเข้าใจกับผู้ป่วย
-
การทดสอบ tuderculin test หรือ Mantoux test คือ กาฉีดเชื้อที่เจือจางขนาด 0.1 มล. ในชั้นผิวหนัง ถ้าผลเป็นบวกเเสดงว่าเคยได้รับเชื้อ หรือกำลังติดเชื้อ หรือเคยฉีดวัคซีน BCG (Bacillus Calmette-Guerin)
พยาธิสรีรวิทยา
พยาธิสรีรวิทยา
หลังจากที่ได้รับเชื้อ จะมีประมาณร้อยละ 5 ที่พัฒนาจนกลายเป็นโรคภายใน 1 ปี ส่วนที่เหลือจะเกิดโรคได้ในภายหลัง เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย Macrophage ภายในถุงลมจะเข้ามากินและล้อมรอบเชื้อไว้ เป็น granulomas (เป็นโปรตีนที่สร้างขณะที่มีการอักเสบ) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเจริญและแพร่กระจาย ห่อหุ้มบริเวณที่มีเซลล์จากการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดเป็นพังผืด มีเเคลเซียมมาเกาะ ส่วนนี้เรียกว่า Ghon Tubercles ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของวัณโรค เชื้อโรคจะสามารถอยู่ในลักษณะนี้ได้เป็นปี(dormant stage) ถ้าร่างกายอ่อนแอเชื้อจะถูกกระตุ้นให้เจริญใหม่อีกครั้ง
-
-
การรักษา
-
ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด 6 เดือนโดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิดเช่น isoniazid , rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
isoniazid (INH)
-
เภสัชจลนศาสตร์
มีทั้งชนิดกินและชนิดฉีดยา ถูกดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร ยากระจายตัวได้ดีในร่างกายยาผ่านเมทาบอลิซึมในตับได้ เมตาบอไลท์ที่หมดฤทธิ์แล้วถูกขับออกทางไต แต่ไม่ต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยโรคไต
การใช้ทางคลินิค
ใช้เป็นยาเดี่ยว (prophylaxis) เพื่อป้องกันวัณโรคในผู้ป่วยที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อหรือใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาวัณโรค
กลไกการดื้อต่อยา
ปัจจุบันเชื้อวัณโรคดื้อต่อยา INH มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเกิดจาก mutation ของ KatG gำne ทำให้ขาดเอนไซม์ catalase-peroxidase ซึ่งเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยา
การเกิด Mutation ของเอนไซม์enoyl-ACPก็ทำให้เชื้อดื้อยาเช่นกัน
ปฏิกิริยาระว่างยา
ถ้ากิน INH พร้อมยาลดกรด จะทำให้การดูดซึม INH น้อยลง ยา INH ยับยั้ง P450 ทำให้เมตาบอลิซึมอย่างอื่นที่ต้องใช้ P450 น้อยลงจนทำให้ระดับยาตัวอื่นในพลาสมาเพิ่มขึ้นจนอาจเกิดพิษได้ เช่น phenytoin,benzodiazepines เเละ warfarin
ผลข้างเคียง
พิษต่อระบบประสาทเนื่องจากยาทำให้ขาดวิตามินบี 6 อาการขาดวิตามินบี 6 เช่น ชาปลายมือปลายเท้าเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ
-
-
ปฏิกิริยาการแพ้ เช่น มีไข้ มีผื่น
ยา INH ผ่านรกได้ทำให้ทารกเกิดปลายประสาทอักเสบซึ่งป้องกันโดยให้วิตามินบี 6 เสริมในระหว่างตั้งครรภ์
-
rifampicin
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้ง DNA-defendant RAN polymerase ทำให้ยับยั้งการสังเคราะห์ RNA โดย rifampicin มีความจำเพาะต่อเอนไซม์นี้ของแบคทีเรียมากกว่าของคนทำให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตได้
การใช้ทางคลินิค
rifampin ใช้รักษาวัณโรคและใช้ในโลกอื่นๆเช่นใช้ป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจาก hemoptysis influenza และ Nesisseria meningitides
กลไกการดื้อต่อยา
กิดการเปลี่ยนแปลงของเชื้อที่ทำให้ยาซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลงหรือเกิดการ mutation ของเอนไซม์ DNA-polymerase ทำให้ biding site ของเอนไซม์เปลี่ยนแปลงจนยาจับได้น้อยลง
ผลข้างเคียง
ปัสสาวะและสารคัดหลั่งต่างๆ เช่นเหงื่อ น้ำตา มีสีแดง มีอาการคล้ายหวัดเช่น ครั่นเนื้อ ครั่นตัว รู้สึกหนาวเหมือนมีไข้ปวดกล้ามเนื้อ
-
-
-
pyrazinamide
การใช้ทางคลินิค
ช้ในการกำจัดเชื้อโรคที่หลบซ่อนอยู่ในเซลล์ macrophage เพราะบริเวณดังกล่าวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนซึ่งเหมาะสมต่อการออกฤทธิ์ของ
-
กลไกการดื้อต่อยา
การดื้อยา pyrazinamide เกิดจากการ mutation ที่ pnc A gene ซึ่งเป็น gene ที่ code เอนไซม์ mycobacterial pyrazinamida ทำให้ pyrazinamide ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็น Active form ได้
-
กลไกการออกฤทธิ์
-
-
กลไกการออกฤทธิ์ของยานี้ยังไม่ทราบชัดหลักฐานว่าเกิดจากการจากยาขัดขวางการใช้ nicotinamide เป็น cofacter ในกระบวนการ dehydrogenation ของเชื้อ mycobacteria
ผลข้างเคียง
พิษต่อตับ : ไม่อยากอาหาร อาเจียน อ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดท้อง ปัสสาวะมีสีเข้มอุจจาระมีสีซีด เป็นไข้
-
ข้อควรระวัง
-
ควรระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานการจัดการโรคเบาหวานนั้นอาจยากมากขึ้นจำเป็นต้องเฝ้าระวังและวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ
-
-
ethambutol
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการเจริญของเชื้อโดยยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อโรคในกลุ่ม mycobacterium โดยเฉพาะ Mycobacterium tuberculosis
การใช้ทางคลินิค
มักใช้เป็นการรักษาหลักร่วมกับยารักษาวัณโรคอื่นๆ เช่น Isoniazid(H), Rifampicin(R)นการรักษาวัณโรคโดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยาของเชื้อช่วยให้ผลในการรักษาดีขึ้นยานี้ไม่เหมาะสมที่จะใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเพราะอาจเกิดพิษต่อประสาทต
กลไกการดื้อต่อยา
Resistance ต่อ ethambutal เกิดจากการ mutation ของ gene ที่ code เอนไซม์arabinosyferase ควรให้ erhamhbutol ร่วมกับยาอื่นเพื่อป้องกันการดื้อยา
ผลข้างเคียง
การใช้ยา Ethambutol อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อาเจียน ไม่อยากอาหาร ปวดท้อง รู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนแรง เป็นต้น
-
-
-
เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำหากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิดและให้รักษาต่อไปอีก 4 เดือน
-
ภาวะแทรกซ้อนของวัณโรค
ภาวะแทรกซ้อนของวัณโรค มักเกิดขึ้นจากการรักษาที่ล่าช้า หรือการรักษาที่ไม่ต่อเนื่อง โดยอาการของภาวะแทรกซ้อนอาจไม่รุนแรง หรือรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้ในผู้ป่วยวัณโรค ได้แก่ ไอเป็นเลือด ฝีในปอด ภาวะน้ำในช่องหุ้มปอด อาการปวดบริเวณหลัง ข้อต่อกระดูกอักเสบ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับตับและไต และโรคหัวใจ จากการที่เชื้อวัณโรคกระจายไปที่อวัยวะอื่น ๆ
การป้องกันวัณโรค
-
การได้รับวัคซีนบีซีจี (BCG) ก็สามารถช่วยป้องกันวัณโรค ซึ่งวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ต้องฉีดให้เด็กแรกเกิด และเป็นวัคซีนที่เจ้าหน้าที่ต้องฉีดเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานในสถานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือต้องคอยดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่อายุต่ำกว่า 35 ปี ประสิทธิภาพในการป้องกันอยู่ที่ประมาณ 80% และมีระยะเวลาในการป้องกันยาวนาน 10-15 ปี
-
-
-