Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer), peptic-ulcer - Coggle Diagram
แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer)
สาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร
สาเหตุคือ กรดและน้ำย่อย ที่หลั่งออกมาทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
เชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร - Helicobacter pylori หรือเอช ไพโลไร - H. pylori
แผลกระเพาะอาหารส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อแกรมลบ รูปร่างเป็นเกลียวมีหนวดซึ่งสามารถเจริญเติบโตในเยื่อบุกระเพาะอาหารชั้น mucous layer เชื้อจะผลิตสาร urease สารนี้เปลี่ยนยูเรีย (urea) ให้เป็นแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนียจะบัฟเฟอร์ กับกรดในกระเพาะอาหารเพื่อทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เชื้อสามารถเจริญเติบโตได้ เชื้อจะเข้าทำลายผนังเยื่อ บุกระเพาะอาหารและทำให้เกิดกระบวนการอักเสบเรื้อรังของกระเพาะอาหาร และพัฒนาเป็นแผลใน กระเพาะอาหารในที่สุด นอกจากนี้การติดเชื้อเรื้อรังยังสามารถพัฒนาให้เกิดเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารอีกด้วย
เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ทำให้แผลหายช้า หรือทำให้แผลที่หายแล้วเกิดเป็นซ้ำได้อีก รวมทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีก 3-5 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ติดเชื้อดังกล่าว
โดยปกติภายในช่องกระเพาะอาหารจะมีค่า pH ต่ำ แต่ mucus cell จะหลั่งสารเมือก ฟอสโฟไลปิด และไบคาร์บอเนตซึ่งเป็นสารด่าง ทำให้พื้นผิวกระเพาะอาหารมีค่า pH สูงขึ้น เนื้อเยื่อกระเพาะอาหารจึงไม่ถูกทำลาย จากกรดในกระเพาะอาหาร ป้องกันการทำลายที่เกิดจากการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ยา แอลกอฮอล์ และเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีสาร prostaglandins ช่วยปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยสารนี้กระตุ้นการหลั่งสารเมือก และไบคาร์บอเนตช่วย การไหลเวียนเลือดบริเวณเยื่อเมือก ความผิดปกติที่ทำให้เกิดการทำลายความสมดุลดังกล่าวจะก่อให้เกิดแผล เป็บติค เมื่อแผลกินลึกถึงผนังกระเพาะอาหารในชั้นที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงทำให้มีเลือดออกจากทางเดิน อาหารส่วนต้น
การใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เป็นเวลานาน เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน
การกินยาประเภท NSAIDs /aspirin ยาเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อเมือกในกระเพาะอาหารโดยตรง และยังไประงับการหลั่งสาร prostagrandin ทำให้การหลั่งของสารเมือก/ ไบคาร์บอเนตและการไหลเวียน เลือดบริเวณเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารลดลง ทำให้เกิดแผลจากการทำลายของกรดในกระเพาะอาหาร
การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์
การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะไประคายเคืองผนังกระเพาะอาหารโดยตรงและทำ ให้เกิดการอักเสบของผนังกระเพาะอาหาร (gastritis) บุหรี่ทำให้การไหลเวียนเลือดในระบบทางเดินอาหาร ลดลงทำให้การหายของแผลช้าลงและยังทำให้เกิดการกลับมาเป็นซ้ำสูงขึ้น
ความเครียด
อาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
อาการของแผลในกระเพาะอาหาร
พบบ่อยที่สุดคือ ปวดท้อง หรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือท้องช่วงบน มักเป็นเวลาท้องว่างหรือเวลาหิว หรือปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากหลับไปแล้ว
อาการปวดจะเป็นมากขึ้นหลังทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
อาการปวดมักเป็นๆ หายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ และหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก
บางรายไม่ปวดท้อง แต่จะมีอาการอืดแน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายในท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือกลางท้องรอบสะดือ ท้องอืดหลังกินอาหาร มีลมมาก ท้องร้องโครกคราก
อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยหลังอาหาร หรือช่วงเช้ามืด
อาจมีน้ำหนักลด ซีดลง
การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (peptic ulcer) ประกอบด้วยแผลที่เกิดในกระเพาะอาหาร (gastric ulcers) และแผลที่เกิดในลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcers
แผลในกระเพาะอาหาร เมื่อรักษาแผลหายแล้วยังมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก หากมีอาการควรไปพบแพทย์ อาจต้องทำการส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาต่อไป และควรตรวจเช็คร่างกายประจำปี เพื่อหาความผิดปกติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อีก
ภาวะแทรกซ้อนของแผลในกระเพาะอาหาร
ภาวะแทรกซ้อนพบได้ประมาณร้อยละ 25-30
เลือดออกในกระเพาะอาหาร พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำเหลว หรือหน้ามืด หรือมาด้วยภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เกิดจากเสียเลือดจากแผลเปปติกทีละน้อยอย่างเรื้อรัง
กระเพาะอาหารทะลุ มีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลันรุนแรง หน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมาก
กระเพาะอาหารอุดตัน ผู้ป่วยจะอิ่มเร็ว อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการใช้ยาแก้ปวด การตรวจร่างกาย และทำการทดสอบต่างๆ
การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน - Esophago-Gastro-Duodenoscopy : EGDDuodenoscopy : EGD และตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ H. pylori
ทดสอบการติดเชื้อ H. pylori นอกไปจากการส่องกล้อง ทำได้หลายแบบ เช่น ทางลมหายใจ ทางอุจจาระ หรือทางเลือด
การป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
หลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อเอช ไพโลไร ซึ่งติดต่อผ่านการบริโภคอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ป้องกันโดยการกินอาหารที่สะอาดปรุงสุก ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือให้สะอาด
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะมีผลให้เยื่อบุกระเพาะอ่อนแอ ทำให้แผลหายช้า และเกิดแผลกลับเป็นซ้ำได้บ่อยมาก
งดการใช้ยาแก้ปวดแอสไพริน และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ - NSAID
ผ่อนคลายความเครียดและวิตกกังวล พักผ่อนให้เพียงพอ
กินยาลดกรด หรือยารักษาแผลกระเพาะอาหารติดต่อกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ รวมทั้งให้ยากำจัดเชื้อ เอช ไพโลไรด้วย
ถ้ามีอาการของภาวะแทรกซ้อน ปวดท้องรุนแรง หรือเบื่ออาหารน้ำหนักลดลงมาก ควรรีบไปพบแพทย์
แผลในกระเพาะอาหารจะกลายเป็นมะเร็งได้
โรคแผลในกระเพาะอาหารจะไม่กลายเป็นมะเร็ง นอกจากจะเป็นแผลชนิดที่เกิดจากมะเร็งของกระเพาะอาหารเองตั้งแต่เริ่มแรกโดยตรง
เนื่องจากอาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารจะคล้ายกันมาก ไม่สามารถแยกจากกันได้โดยการซักประวัติหรือตรวจร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับการส่องกล้องกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยในการวินิจฉัย
อาการที่บ่งชี้ว่าอาจมีโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก
ถ่ายอุจจาระดำหรืออาเจียนเป็นเลือด
ซีดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาเจียนมาก
เป็นติดต่อกันเป็นวันในคนสูงอายุ หรืออายุมากกว่า 45 ปี ที่เริ่มมีอาการครั้งแรกของโรคกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่มีอาการมานานแล้วมีการเปลี่ยนแปลงของอาการ เช่น ปวดท้องรุนแรงขึ้น
ในภาวะต่างๆ เหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์