Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Hyperkalemia with septic shock with DKA with CKD end state, Septic Shock,…
Hyperkalemia with septic shock with DKA with CKD end state
Diabetes mellitus
ประเภทของเบาหวาน
DM type 2
มีความผิดปกติที่เบต้าเซลล์ของตับอ่อน
ทำให้มีการสร้างและหลั่งอินซูลินได้น้อยลง
ทำให้มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
โรคเบาหวานชนิดที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ
DM type 1
เกิดจากไอส์เล็ทเบต้าเซลล์ของ ตับอ่อนถูกทำลาย มีผลให้การสร้างและการหลั่งอินซูลินลดลงหรือสร้างอินซูลินไม่ได้
ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าไป
ในเนื้อเยื่อเพื่อเผาผลาญให้เกิดพลังงานได้
จึงทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานแบ่งเป็น 2 ชนิด
ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน
Hypoglycemia
ภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม
ต่อเคซิลิตร
จะส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ
ทำให้มีการหลั่ง
ฮอร์โมนอิฟิเนฟริน (Epinephrin)
และ นอร์อิฟิเนฟริน (Norepinephrin) เพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
มือสั่น รู้สึกร้อน คลื่นไส้
เหงื่อออก ชา หรือรู้สึกหิว
ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังเย็นขึ้น
อุณหภูมิกายต่ำ สมองมึนงง ปวดศีรษะ ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง
สับสน สมาธิลดลง ตาพร่ามัว พูดช้า
ระดับความรู้สึกลดลงจนถึง หมดสติและชัก
ทำให้การทำงานของสมองบกพร่องอย่างถาวรและถึงแก่เสียชีวิตได้
Hyperglycemia
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
Hyperglycemic yperosmolar non- ketotic syndrome (HHNS)
เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างมาก คือ มากกว่า 600 มิลลิกรัมต่อเคซิลิตร ร่วมกับมีภาวะขาดน้ำที่รุนแรง
DM type 2
น้ำตาลจึงถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
ซึ่งจะดึงน้ำและอิเล็คโตรลัยท์ออกมาด้วย
K
อาการและอาการแสดง
ป้สสาวะมากและบ่อยกระหายน้ำ มีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
ทำให้มีการรับรู้สติเปลี่ยนแปลง ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ซึม สับสน หรืออาจหมดสติได้
(Diabetic ketoacidosis :
(DKA)
ทำให้เกิดภาวะน้ำตาล
ในเลือดสูงระดับรุนแรง
เกิดภาวะกรดเมตะบอลิค (Metabolic acidosis)
มีกรดดีโตน
คั่งในร่างกาย
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย คลื่นไส้
อาเจียน
หายใจหอบลึก ซึมลง หมดสติ และ ช็อก
ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
2.ภาวะแทรกช้อนชนิดเรื้อรัง
2.1 ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่
(Macrovascular complications)
ความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น
หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ในระบบไหลเวียนทั่วร่างกาย
เกิดการแข็งและหนาตัว (A therosclerosis)
ขาคความยืดหยุ่น
ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ อุคตัน
การไหลเวียนของเลือดลดลง
2 more items...
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease [CAD]
หลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease [CVA)
หลอดเลือดสมอง
เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราว (Transient ischemic attack [TIA)
หลอดเลือดส่วนปลาย
หลอดเลือดที่มาเลี้ยงขาและเท้า
ตีบแข็งของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเท้า
ทำให้มีอาการปวดน่องเวลาเดินไกล ๆ และถ้าเป็นรุนแรง มีการอุดตันของหลอดเลือดจนเกิดการเน่าตายของเนื้อเยื่อและต้องถูกตัดขาไปในที่สุด
2.2 ภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็ก
หรือหลอดเลือดฝอย (Microvascular complications)
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง
ออกซิเจนของเม็ดเลือดแคงจะต่ำลง
ร่างกายจึงขาดออกซิเจน
มีการขยายของหลอดเลือดฝอยและ
หลอดเลือดดำขนาดเล็ก
มีปริมาณเลือดไหลผ่านเพิ่มมากขึ้น
เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด
เพื่อชดเชยภาวะที่เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
ทำให้มีการอุดตันของหลอดเลือดฝอย
1 more item...
ภาวะแทรกช้อนของระบบประสาท
เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาท
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง จากเบาหวาน ชนิดที่ 1,2
หลอดเลือด
ฝอยที่เลี้ยงเส้นประสาทมีการหนาตัวและอุดตัน
ทำให้เส้นประสาทบริเวณนั้น ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้เส้นใยประสาท (axon) และส่วนปลอกหุ้มประสาท(myeline) ถูกทำลาย
2 more items...
การเสื่อมของหน่วยไตจากโรคเบาหวาน (Diabetic nephropathy)
เกิดจากมีการหนาตัวขึ้นของผนังหลอดเลือดแดงฝอยส่วนนอกของโกเมอรูลัส (Glomerular basement membrane) และการขยายขนาดของเนื้อเยื่อเมซานเกียล (Mesangial tissue)
ทำให้ความสามารถในการซึมผ่าน ของหลอดเลือดสูงขึ้น
ประสิทธิภาพการกรองปัสสาวะเลื่อมลง
โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ (Microalbuminuria) ประมาณ 30-300มิลลิกรัมต่อวัน
ทำให้หน่วยกรองของไตค่อย ๆ เสียไปเรื่อย ๆ
1 more item...
โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease : CKD)
อัตราการกรองทั้งหมดลดลง
และการขับถ่ายของเสียลดลง
ปริมาณครีตินินและ ยูเรียไนโตรเจน ในเลือดสูงขึ้น
หน่วยไตไม่สามารถดูดกลับเกลือแร่ต่างๆ
ได้ ทำให้สูญเสียเกลือแร่ออกจากร่างกาย
สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ ได้แก่
อีริโทรโพอิติน (erythropoietin) ช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เรนิน (renin) ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ระดับคงที่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างเพียงพอ
วิตามินดี ช่วยควบคุมระดับเกลือแร่แคลเซียม และฟอสฟอรัสในร่างกาย ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง
ระยะของไตเรื้อรังแบ่งออกเป็น 5 ระยะ
ระยะที่ 1 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 90 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย 1.73 เมตร' หมายถึง การมีความผิดปกติของไต แต่ค่าอัตราการกรองของไตยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรืออาจต่ำลงเล็กน้อย ในระยะนี้ยังไม่พบอาการแสดงที่ผิดปกติ แต่บางรายอาจตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะได้
ระยะที่ 2 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 60 - 89 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย 1.73 เมตร หมายถึง การมีความผิดปกติของไต เมื่อค่าอัตราการกรองของไตลดลงเล็กน้อยโดยทั่วไปผู้ป่วยจะยังคงมีอาการปกติ ความดันโลหิตอาจเริ่มสูงขึ้นในระยะนี้ จะเริ่มพบความผิดปกติในผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ
ระยะที่ 3 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 30 - 59 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย 1.73 เมตร หมายถึง การมีความผิดปกติของต ค่าอัตราการกรองของไตลดลงปานกลาง พบภาวะความดันโลหิตสูง และอาจตรวจพบภาวะซีด แคลเซียมในเลือดต่ำ และฟอสเฟต
ระยะที่ 4 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 15 - 29 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย 1.73 เมตร หมายถึง การมีความผิดปกติของไต และค่าอัตราการกรองของไตลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยมักมือาการ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร บวม ความจำแย่ลง
ระยะที่ 5 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย 1.73 เมตร ทำให้มีความผิดปกติเกือบทุกระบบของร่างกาย ร่างกายเสียสมดุล น้ำ และ อิเล็กโตรไลต์ ผู้ป่วยมีอาการยูรีเมีย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คัน คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก เป็นตะคริว นอนไม่หลับ อาจเกิดภาวะหัวใจวายเนื่องจากน้ำเกิน และภาวะความดันโลหิตสูงได้
ผลกระทบจากภาวะไตวาย
การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิค (metabolic alteration)
1.1 ยูเรียและครีตินิน
ระดับของยูเรียไนโตรเจน และครีตินินในกระแสเลือดสูง
ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
อาเจียน ท้องเดิน ซีด เลือดออกในลำไส้
1.2 โซเดียม
มีภาวะปัสสาวะออกมาก
อาเจียนหรือท้องเสีย ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
ทำให้เกิดอาการ เช่น ความดันโลหิตต่ำ
ซึม อ่อนแรง
กระตุก และหมดสติ
ทำให้เพิ่มจำนวนน้ำและเลือดความดันโลหิตสูง
อาจทำให้หัวใจวาย และน้ำท่วมปอด
1.3 โปตัสเชียม
การขับโปตัสเซียม
ออกทางปัสสาวะลดลง
อาการแสดงของระดับโปตัสเซียมในเลือดสูง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชีพจรช้า กล้ามเนื้อ
อ่อนแรงโดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ถ้ารุนแรงอาจมีอันตรายถึงชีวิต
การเปลี่ยนแปลงภาวะสมดุลกรด-ด่าง
ไตทำหน้าที่ในการขับไฮโดรเจนอิออนออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
เกิดการสร้างแอมโมเนียโดยหลอดไตส่วนต้นลดลง
การกรองฟอสเฟต
ผ่านได้น้อยลง
มีการรั่วของไบคาร์บอเนตที่หลอดไตส่วนต้น
การขับไฮโดรเจนอิออนลดลง
อาการ
ทำให้เกิด ภาวะกระดูกกร่อน ภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ในรายที่มีอาการมากจะมีอาการ หายใจหอบลึก หายใจเร็วลึก
(kussmaul respiration) ซึม และหมดสติในที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของระบบเลือด
ภาวะโลหิตจาง
มีการสร้างอีริโธปอยอิติน (erythropoietin) ลดลง
ทำให้การผลิตเม็ดเลือดแดง น้อยลง
ภาวะต่อมพาราไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากไป (secondary hyperparathyroidism)
มีการขาดสารอาหารบางชนิดได้แก่ เหล็ก โฟเลต และวิตามินบี 12 ที่เกิดจากภาวะทุพโภชนาการ
ภาวะยูรีเมีย การขาดเหล็กและโฟลิค
เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ
ภาวะเลือดออกง่าย
เกล็ดเลือดมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
ปริมาณ
เกล็ดเลือดน้อยลงจากภาวะยูรีเมีย
ภาวะต้านทานโรคต่ำ
พบมี WBC ลดลง ค่า Lymphocyte ลดลงทั้งชนิด TB cell ลดลง
Monocyte ทำงานลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานลดลง
hyperkalemia
แบ่งออกเป็น 3ระดับ
Mild hyperkalemia (5-6 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร)
ให้การรักษาโดยเน้นไปที่การขับโพแทสเซียมออกจาก
ร่างกายโดยการใช้ยา furosemide และ resin
Moderate hyperkalemia (6-7 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร)
ให้การรักษาโดยเน้นการเก็บโพแทสเซียมเข้าสู่เซลล์ ด้วยการใช้กลูโคส
ร่วมกับอินซูลิน โซเดียมไบคาร์บอเนต และยา salbutamol
Severe hyperkalemia (มากกว่า 7 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร)
หรือมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เน้น การรักษาโดยการต้านฤทธิ์ของโพแทสเซียมที่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจโดยใช้ยา calcium
Septic Shock
Endotoxin เข้ากระแสเลือด
ระบบ Immuneกระตุ้น Biochemical and cellularmediators
เพิ่ม permeabilityของหลอดเลือดฝอย
การไหลเวียนลดลง
เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
การกำซาบลดลง
สมองขาด O2
Hypoxia
DEATH
หัวใจวาย
หายใจ
ไตวาย
อวัยวะล้มเหลว MOF
Pleual effusion
หายใจเร็วขึ้น
มีไข้หนาวสั่น
หลอดเลือดส่วยปลายขยาย
BP ลดลง
HR ลดลง
cap Refil ลดลง
หัวใจถูกกด
Endothelianถูกทำลาย
หลอดเลือดหดเกร็ง
ผู้ป่วยชายอายุ 60 ปีมีโรคประจำตัว
เป็นโรคเบาหวาน มา 8 ปี
ผู้ป่วยชายอายุ 60 ปีมี
โรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน มา 8 ปี
case : DTX = 624%
Case : ดูซึมลง
พูดคุยสับสน
Case : ดูซึมลง
พูดคุยสับสน หายใจเหนื่อย
หอบลึก 48 ครั้ง/นาที
Dx.DKA
ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็น
โรคความดันโลหิตสูง
case : CKD end state
case : CKD end state
รักษาโดยการทำ Hemodialysis
Case : ดูซึมลงพูดคุยสับสน หายใจเหนื่อยหอบลึก 48 ครั้ง/นาที
case : Chest x-rays : Infilltration both lungs.
ผลการตรวจห้องปฏิบัติการ
WBC 14,200 cell /cu.mm N 78.5%,
L 16.2% M 3.4%
Dx. hyperkalemia
07:00 พบ Supraventricular tachycardia (SVT)
07:55 พบ Supraventricular tachycardia (SVT)