DHF
(Dengue hemorrhagic fever)

ข้อมูลส่วนบุคคล

  • ผู้ป่วยเพศ ชาย อายุ: 14 ปี 4 เดือน 24 วัน
  • เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนาพุทธ
  • สถานภาพการสมรส: โสด
  • ระดับการศึกษา: มัธยมศึกษาปีที่ 3
  • อาชีพ: นักเรียน
  • ที่อยู่ปัจจุบัน: 25 หมู่ 4 ต.บางกระเจ็ด อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
  • ภูมิลำเนา: จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • วันที่รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล: 16 ตุลาคม 2561
  • วันที่รับผู้ป่วยไว้ในการดูแล: 18 ตุลาคม 2561
  • วันที่ผู้ป่วยพ้นจากความดูแล: 19 ตุลาคม 2561
  • การวินิจฉัยโรค : DHF (Dengue hemorrhagic fever)
  • สิทธิรักษา : สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ภาวะสุขภาพ

  • อาการสำคัญ


    ✏ แพทย์นัดเจาะเลือดที่คลินิก พบผลเลือดผิดปกติ จึงมาโรงพยาบาล


  • ประวัติความเจ็บป่วยปัจจุบัน


    ✏ 3 วันก่อนมาโรงพยาบาล ไข้สูงลอย หนาวสั่น กินได้น้อย อาเจียน ปวดเมื่อยตัว ไม่มีเลือดออกตามตัว มารดาได้ทำการเช็ดตัวลดไข้และให้ยา Paracetamol ไป 2 เม็ด


    ✏ 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ไข้ลดลง แต่ยังปวดศีรษะ อาเจียน มารดาจึงพาไปพบแพทย์ที่คลินิก


    ✏ วันนี้ แพทย์นัดเจาะเลือดที่คลินิก พบผลเลือดผิดปกติ จึงมาโรงพยาบาล

  • ประวัติความเจ็บป่วยในอดีต
    ✏ ผู้ป่วยเคยประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มเมื่อปีที่แล้ว เกิดแผลถลอกเล็กน้อย
  • ประวัติความเจ็บป่วยในครอบครัว
    ✏ ปฏิเสธการเจ็บป่วยในครอบครัว ไม่มีโรคทางพันธุกรรม และไม่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็น DHF (Dengue hemorrhagic fever)
  • ประวัติการได้รับอาหาร
    ✏ ช่วงก่อนการเจ็บป่วยผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มากและรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ไม่มีอาหารที่ไม่ชอบ แต่จะชอบรับประทานพวกไก่ทอด และพิซซ่ามากที่สุดระหว่างการเจ็บป่วยผู้ป่วยรับประทานได้น้อยลง
  • ประวัติการได้รับภูมิคุ้มกัน
    ✏ ได้รับวัคซีนครบตามกำหนดอายุและไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนเสริม ดังนี้
    ⭐ วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) และวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (HB1) เมื่อแรกเกิด
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB1) และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV1) เมื่ออายุ 2 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB2) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV2) และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV1) เมื่ออายุ 4 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB3) และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV3) เมื่ออายุ 6 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR1) เมื่ออายุ 9 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (LAJE1) เมื่ออายุ 1 ปี
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP4) และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV4) เมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (LAJE2) และวัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR2) เมื่ออายุ 2 ปี 6 เดือน
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP5) และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV5) เมื่ออายุ 4 ปี
    ⭐ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (dT) เมื่อตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ผลการตรวจร่างกาย (ที่ผิดปกติ)

  • สัญญาณชีพ : T = 37.3 องศาเซลเซียส PR = 86 ครั้ง/นาที RR = 20 ครั้ง/นาที BP = 110/70 มิลลิเมตรปรอท
  • ผิวหนัง : มีรอยผื่นแดงกระจายตามส่วนต่างๆของร่างกาย
  • ทรวงอก :พบผิวหนังมีผื่นแดง
  • หน้าท้อง : หนังบริเวณหน้าท้องมีผื่นสีแดงกระจายอยู่ทั่วหน้าท้อง ฟังเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Bowel sound) ได้ 5 ครั้ง/นาที การเคาะหน้าท้องได้เสียงโปร่ง คลำไม่พบก้อนหรือบริเวณกดเจ็บ ไม่พบตับหรือม้ามโต
  • ทางเดินปัสสาวะ : ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ปริมาณน้อย ปัสสาวะไม่แสบขัด

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ที่ผิดปกติ)

วันที่ 17 ตุลาคม 2561

วันที่ 16 ตุลาคม 2561

วันที่ 18 ตุลาคม 2561

  • WBC
  • Hematocrit
  • Platelet count
  • Monocyte
  • Basophil
  • MCV
  • MCH

วันที่ 19 ตุลาคม2561

2,350 image
44
28,000 image
3
0
70 image
24 image

3,760 image
42
14,000 image
18 image
3 image
69 image
24 image

4,700 image
39
12,000 image
13 image
1
70 image
24 image

ค่าปกติ

  • 5,000-10,000 cells/cumm
  • M 40-50, F 36-45 g/dL
  • 140,000-400,000 cell/mm^3
  • 3.4-9.0 %
  • 0.1-1.5 %
  • 80.0-99.0 fl
  • 27.0-31.0 pg

CBC

Electrolyte

  • Sodium
  • Chloride
  • Total CO2

134 image
97 image
21 image

-
-
-

-
-
-

-
-
-

  • 136-145 mmol/L
  • 98-107 mmol/L
  • 22-29 mmol/L

Liver Function test (LFT)

  • Total Protein
  • Globulin
  • Direct bilirubin
  • AST (SGOT)
  • Alkaline Phosphotase

2,660 image
41
33,000 image
11 image
3 image
69 image
24 image

6.3 image
2.2 image
0.3 image
50 image
174 image

-
-
-
-
-

-
-
-
-
-

-
-
-
-
-

  • 6.6-8.7 g/dL
  • 2.7-3.5 g/dL
  • 0-0.2 mg/dL
  • 0-40 U/L
  • 35-129 U/L

Urine Analysis

  • Protein
  • Urobilinogen
  • Bilirubin

-
-
-

-
-
-

-
-
-

1+
2+
1+

  • Negative
  • Negative
  • Negative

ปัญหาและกิจกรรมการพยาบาล

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
2. มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากกระบวนการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “วันแรกๆที่มาโรงพยาบาลปวดท้องมาก แต่ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว อ้วกไปครั้งเดียวเพราะแม่บอกให้กินข้าวเยอะๆ เมื่อวานถ่ายเป็นสีดำ แต่วันนี้ยังไม่ถ่าย”
  • O: การตรวจร่างกาย พบว่า มีรอยผื่นแดงกระจายตามส่วนต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ที่ผิวหนัง ทรวงอก และบริเวณหน้าท้อง
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 16 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 33,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 17 ตุลาคม2561
    Platelet count = 28,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 18 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 14,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 19 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 12,000 cell/mm^3
    วัตถุประสงค์: ผู้ป่วยไม่มีเลือดออกทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย
    กิจกรรมการพยาบาล
  • สังเกตลักษณะ จำนวน และตำแหน่งเลือดออกภายนอกร่างกาย (External bleeding) เช่น จุดเลือดออกตามร่างกาย เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
  • สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีเลือดออกภายในร่างกาย (Internal bleeding) เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ (Melena) ปัสสาวะมีเลือดปน (Haematuria) อาเจียนเป็นเลือด
  • ระมัดระวังเรื่องการฉีดยา การเจาะเลือด การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำควรเลือกหัวเข็มขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง หากจำเป็นควรใช้เข็มเบอร์เล็ก คม และเมื่อดึงเข็มออกแล้วต้องกดไว้นานประมาณ 3-5 นาที
  • ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร (Soft diet) งดอาหาร ดำ แดง น้ำตาล เพราะถ้าผู้ป่วยอาเจียนอาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • งดการแปรงฟัน เพื่อป้องกันการมีเลือดออกตามไรฟัน
  • ดูแลป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยท้องผูก เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกบริเวณทวารหนัก ขณะอุจจาระ โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2,500 - 3,000 ซีซี
  • หากผู้ป่วยมีการสูญเสียเลือดให้ทำการบันทึกปริมาณเลือดที่สูญเสียไปด้วย
  • ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Platelet count และ Hematocrit

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1. เสี่ยงต่อภาวะช็อก เนื่องจากการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือด

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “ฉี่วันละประมาณ 5-6 ครั้ง ไม่แสบขัด ปัสสาวะออกน้อย ไม่มีเลือดไม่มีหนองปน ปวดหัวเล็กน้อย ไม่หลงลืม รู้สึกตัวดี”
  • O: สัญญาณชีพ T = 37.3 องศาเซลเซียส PR = 86 ครั้ง/นาที RR = 20 ครั้ง/นาที BP = 110/70 mmHg
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า Platelet count ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 33,000 cell/mm^3 เหลือ 12,000 cell/mm^3 , AST (SGOT) = 50 U/L , Alkaline Phosphotase = 174 U/L
    วัตถุประสงค์: ป้องกันการเกิดภาวะช็อก
    กิจกรรมการพยาบาล
  • สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นเร็ว Pulse pressure แคบ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่มีปัสสาวะ
  • ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อก โดย keep BP > 90/60 mmHg, RR > 20 /min และ PR > 120 /min
  • ติดตามค่า Hct q 6 hr keep 36-44% ® 40% เพื่อเฝ้าระวังการรั่วของพลาสมา/ระยะช็อก
  • บันทึกสารน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชั่วโมง ประเมินลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะ สีปัสสาวะ กลิ่น ปริมาณ พร้อมทั้ง Keep urine output ³ 200 ml/hr
  • ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%DNSS 1000 ml IV rate 40 ml/hr เพื่อป้องกันภาวะช็อกและทดแทนปริมาณพลาสมาที่รั่วออกไป
  • ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Platelet count, Hematocrit, AST (SGOT) Alkaline Phosphotase และ Urine Specific gravity

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
3. เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ เนื่องจากมีการสูญเสียน้ำจากการอาเจียน

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “ ฉี่วันละประมาณ 5-6 ครั้ง ไม่แสบขัด ปัสสาวะออกน้อยไข้ลดลง ปวดหัวเล็กน้อย แต่ไม่เวียนหัว มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน 1 ครั้ง”
  • O: การตรวจร่างกาย พบว่า ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ปริมาณน้อย
    -ผลการตรวจ UA พบว่า Urine-Color = Amber , Protein = +1, Urobilinogen = 2+, Bilirubin = +1
    วัตถุประสงค์: ป้องกันภาวะขาดน้ำ
    กิจกรรมการพยาบาล
  • ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกาย เพื่อติดตามภาวะไข้
  • สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะขาดน้ำ เช่น ซึม กระสับกระส่าย กระหม่อมหน้าบุ๋ม ตาลึกโหล๋ ปากและผิวหนังแห้ง ปริมาณปัสสาวะลดลง เป็นต้น
  • ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%DNSS 1000 ml IV rate 40 ml/hr เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำของร่างกาย
  • ดูแลให้ได้รับยา Dimenhydrinate 50 mg IV prn q 6 hr เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ผลข้างเคียง ปาก คอ หรือจมูกแห้ง ตาพร่าเบลอ ง่วงนอน
  • ดูแลให้ได้รับยา Motilium 1×3 po ac เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผลข้างเคียง ปวดบริเวณหน้าอก อาการชัก ท้องเสียตื่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ (Force oral fluid) อย่างน้อยวันละ 2,500 - 3,000 ซีซี เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • คอยดูแลให้จิบ ORS บ่อยๆ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
  • ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Specific gravity

นางสาวอภิญญา พุ่มพวง รหัสนิสิต 62010006 นิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 3 กลุ่ม 01-2

อ้างอิง

  • กระทรวงสาธารณสุข. (2561). กำหนดการให้วัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2561. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2564. เข้าถึงได้จาก http://odpc9.ddc.moph.go.th/vaccine/manual/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5_2561.pdf
  • คณาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. (2555). แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสำหรับผู้ป่วยนอก ในหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2564. เข้าถึงได้จาก http://medinfo2.psu.ac.th/commed/web/pdf/5/dengue.pdf
  • นฤมล ธีระรังสิกุล, ศิริยุพา สนั่นเรืองศักดิ์ และ จิรกุล ครบสอน. (2564). บทที่ 4 การพยาบาลเด็กป่วยโรคติดเชื้อ เอกสารประกอบการ สอนรายวิชา 10830259 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะสุขภาพเบี่ยงเบน. ชลบุรี: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • MGR online. (2562). ดื่มน้ำปริมาณเท่าไหร่ ถึงดีต่อร่างกาย?. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564. เข้าถึงได้จาก https://mgronline.com/infographic/detail/9620000105918

ฉบับข้อวินิจฉัยเดิม

ฉบับแก้ไขข้อวินิจฉัย

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1. เสี่ยงต่อภาวะช็อก เนื่องจากการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือด

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “ฉี่วันละประมาณ 5-6 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่ฉี่ปัสสาวะออกน้อย ไม่มีเลือดไม่มีหนองปน ปวดหัวเล็กน้อย ไม่หลงลืม รู้สึกตัวดี”
  • O: สัญญาณชีพ T = 37.3 องศาเซลเซียส PR = 86 ครั้ง/นาที RR = 20 ครั้ง/นาที BP = 110/70 mmHg
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า Platelet count ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 33,000 cell/mm^3 เหลือ 12,000 cell/mm^3 , AST (SGOT) = 50 U/L , Alkaline Phosphotase = 174 U/L
    วัตถุประสงค์: ป้องกันการเกิดภาวะช็อก
  • สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นเร็ว Pulse pressure แคบ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่มีปัสสาวะ เป็นต้น
  • ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อก โดย keep BP > 90/60 mmHg, RR > 20 /min และ PR > 120 /min
  • บันทึกสารน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชั่วโมง ประเมินลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะ สีปัสสาวะ กลิ่น ปริมาณ พร้อมทั้ง Keep urine output ³ 200 ml / 8 hr
  • ติดตามค่า Hct q 6 hr keep 36-44% ® 40% เพื่อเฝ้าระวังการรั่วของพลาสมา/ระยะช็อก
  • ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%DNSS 1000 ml IV rate 40 ml/hr เพื่อป้องกันภาวะช็อกและทดแทนปริมาณพลาสมาที่รั่วออกไป
  • ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Platelet count, Hematocrit, AST (SGOT) Alkaline Phosphotase และ Urine Specific gravity

image

image

image

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
2. มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากกระบวนการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “วันแรกๆที่มาโรงพยาบาลปวดท้องมาก แต่ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว เมื่อวานถ่ายเป็นสีดำ แต่วันนี้ยังไม่ถ่าย”
  • O: การตรวจร่างกาย พบว่า มีรอยผื่นแดงกระจายตามส่วนต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ที่ผิวหนัง ทรวงอก และบริเวณหน้าท้อง
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 16 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 33,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 17 ตุลาคม2561
    Platelet count = 28,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 18 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 14,000 cell/mm^3
    -การตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 19 ตุลาคม 2561
    Platelet count = 12,000 cell/mm^3
    วัตถุประสงค์: ผู้ป่วยไม่มีเลือดออกทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย
    กิจกรรมการพยาบาล
  • สังเกตลักษณะ จำนวน และตำแหน่งเลือดออกภายนอกร่างกาย (External bleeding) เช่น จุดเลือดออกตามร่างกาย เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
  • สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีเลือดออกภายในร่างกาย (Internal bleeding) เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ (Melena) ปัสสาวะมีเลือดปน (Haematuria) อาเจียนเป็นเลือด
  • ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง การวัดความดันเลือดไม่ควรใส่ความดันใน Cuff สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เส้นเลือดแตกได้ง่าย
  • งดการแปรงฟัน เพื่อป้องกันการมีเลือดออกตามไรฟัน
  • ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร (Soft diet) งดอาหาร ดำ แดง น้ำตาล เพราะถ้าผู้ป่วยอาเจียนอาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ดูแลป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยท้องผูก เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกบริเวณทวารหนัก ขณะอุจจาระ โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-11แก้ว/วัน หรือ 1,900 - 2,600 ซีซี
  • ป้องกันอุบัติเหตุหรือการกระทบกระแทกที่อาจทำให้เสียเลือดได้ เช่น การตกเตียง การหกล้ม การเดินชนโต๊ะ
  • ระมัดระวังเรื่องการฉีดยา การเจาะเลือด การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำควรเลือกหัวเข็มขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง หากจำเป็นควรใช้เข็มเบอร์เล็ก คม และเมื่อดึงเข็มออกแล้วต้องกดไว้นานประมาณ 3-5 นาที
  • หากผู้ป่วยมีการสูญเสียเลือดให้ทำการบันทึกปริมาณเลือดที่สูญเสียไปด้วย
  • ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Platelet count และ Hematocrit

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
**3. เสี่ยงต่อภาวะขาดสารน้ำและสารอาหาร เนื่องจากร่างกายได้รับสารอาหารและสารน้ำไม่เพียงพอ

  • S: ผู้ป่วยบอกว่า “ ฉี่วันละประมาณ 5-6 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่ฉี่ปัสสาวะออกน้อย ปวดหัวเล็กน้อย แต่ไม่เวียนหัว มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน 1 ครั้ง”
  • O: การตรวจร่างกาย พบว่า ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ปริมาณน้อย
    -ผลการตรวจ UA พบว่า Urine-Color = Amber , Protein = +1, Urobilinogen = 2+, Bilirubin = +1
    วัตถุประสงค์: ได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    กิจกรรมการพยาบาล
  • ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกาย เพื่อติดตามภาวะไข้
  • บันทึกลักษณะและปริมาณของอาเจียน เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียน
  • บันทึกสารน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะ สีปัสสาวะ กลิ่น ปริมาณ
  • ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%DNSS 1000 ml IV rate 40 ml/hr เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำของร่างกาย
  • ดูแลให้ได้รับยา Dimenhydrinate 50 mg IV prn q 6 hr เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ผลข้างเคียง ปาก คอ หรือจมูกแห้ง ตาพร่าเบลอ ง่วงนอน
  • ดูแลให้ได้รับยา Motilium 1×3 po ac เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผลข้างเคียง ปวดบริเวณหน้าอก อาการชัก ท้องเสียตื่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ (Force oral fluid) อย่างน้อยวันละ 8-11แก้ว/วัน หรือ 1,900 - 2,600 ซีซี เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • คอยดูแลให้จิบ ORS บ่อยๆ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
  • ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Specific gravity