Case GA 37 week 5 day : Neonatal jaundice
ข้อมูลผู้ป่วย
ทารกเพศหญิง อายุ 3 วัน
อาการสำคัญที่นำมารพ.
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
- เสี่ยงต่อสมองได้รับอันตรายเนื่องจากมีภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการส่องไฟรักษา
- ผู้ปกครองมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของบุตร เนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับโรคและการดูแล
ข้อมูลสนับสนุน
เป้าประสงค์
- เพื่อลดระดับบิลิรูบินในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ไม่เกิดอันตรายต่อสมองจากภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง
เกณฑ์การประเมินผล
- อาการตัวเหลืองลดลง
- ระดับบิลิรูบินในเลือดลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่า Microbilirubin (MB) สูงไม่เกิน 15 mg%
- ไม่มีอาการแสดงถึงการทําลายเซลล์สมองจนเกิดเป็นภาวะkernicterus ได้แก่ ซึม ไม่ดูดนม ร้องเสียงแหลม ชัก
กิจกรรมการพยาบาล
กิจกรรมผู้ดูแล
- ประเมินความรุนแรงการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง โดยการซักประวัติอาการที่บ่งชี้ว่าการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง และติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหาระดับบิลิรูบินในเลือด ติดตามค่า Hct/MB ตรวจ CBC, Reticulocyte count, DCT, G6PD test, blood group, Rh group เพื่อนำไปวางแผนการพยาบาลให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
- ประเมินระดับความเหลืองของทารกโดยใช้นิ้วกดบริเวณผิวหนัง จมูก หน้าผาก หน้าอก และหน้าแข้งเพื่อสังเกตสีผิวหนังของทารกว่ามีอาการเหลืองเพิ่มขึ้นหรือไม่หากมีอาการเหลืองเพิ่มขึ้นควรรีบรายงานแพทย์เพื่อให้ทารกได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะKernicterus โดยสังเกตอาการที่แสดงว่าเนื้อสมองถูกทำลาย ได้แก่ ทารกดื่มนมน้อย ซึม แขนขาอ่อนแรง ร้องเสียงแหลมและอุณหภูมิกายเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เพื่อเฝ้าระวังหากพบอาการควรรีบรายงานแพทย์ทันที
- ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำสารอาหารเพียงพอ โดยให้นม BM/N 30 ml Po x 8 feeds และปรับตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดบิลิรูบินออกจากร่างกาย
- ดูแลให้ได้รับการส่องไฟรักษา เพื่อช่วยลดระดับ bilirubin ในกระแสเลือดและลดอันตรายจากการที่ bilirubin ไปทำลายเซลล์สมองจนเกิดเป็นภาวะ kernicterus
6.สังเกตและบันทึกปริมาณ และสีของอุจจาระ และปัสสาวะอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะผิดปกติจากการตัวเหลือง และดูแลให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- บันทึกสารน้ำเข้า-ออก เพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำและดูแลให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชั่วโมงเพื่อติดตามความก้าวหน้าของโรคอย่างต่อเนื่องจนกว่าระดับบิลิรูบินจะลดลงเป็นปกติ
1.สังเกตอาการและอาการแสดงของ
ภาวะ Kernicterus ได้แก่ ทารกดื่มนมน้อย ซึม แขนขาอ่อนแรง ร้องเสียงแหลม และอุณหภูมิกายเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เพื่อให้การช่วยเหลือได้ทัน
- ดูแลทารกอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างทารกและผู้ดูแล
ข้อมูลสนับสนุน
S: -
O: on double phototherapy ตัวเหลือง พบค่า Hct 60% ค่า MB 19.6 mg% V/S แรกรับ T= 36.8, PR= 140 bpm, RR= 50 bpm
เป้าประสงค์
- เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการส่องไฟรักษา
เกณฑ์การประเมินผล
- ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการส่องไฟรักษา เช่น ไม่เกิดภาวะขาดน้ำ ไม่มีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ไม่มีอุจจาระเหลวสีเขียว ทารกไม่มีผิวแห้ง เป็นต้น
- ทารกได้รับการส่องไฟที่ถูกวิธี
- สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ BT = 36.8-37.2 oC, PR = 120-160 bpm, RR = 35-55 bpm, O2 sat ≥ 95%
กิจกรรมการพยาบาล
กิจกรรมผู้ดูแล
- สังเกตอาการที่แสดงถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว มีผื่นที่ผิวหนัง มีผิวแห้ง เพื่อให้การช่วยเหลือได้ทัน
- สังเกตอาการตัวเหลืองที่อาจจะเพิ่มขึ้นได้และเน้นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
- เตรียมพร้อมสำหรับการให้นมทารก เมื่อสภาวะของทารกพร้อมรับนมได้
- ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างทารกและผู้ดูแล
- ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกายที่มีการเปลี่ยนแปลงตามสาเหตุที่แตกต่างกัน เพื่อเฝ้าระวังและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
- ดูแลป้องกันอันตรายจากการได้รับแสงมากเกินไป และป้องกันอุบัติเหตุจากการแตกของแสงหลอดไฟ โดยให้ทารกนอนส่องไฟในตู้อบหรือ crib ที่มีแผงกระจกกันหลอดไฟไว้
- ประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว มีผื่นที่ผิวหนัง มีผิวแห้ง โดยการสังเกตและเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนในการช่วยเหลือทันท่วงที
- ดูแลดวงตาทารกให้ไม่ได้รับอันตราย จากการส่องไฟเพื่อป้องกันภาวะแทรก
ซ้อนของตา เช่น ตาบอด
- ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำสารอาหารเพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดสารน้ำเนื่องจากผิวหนังทารกสูญเสียน้ำจากการส่องไฟรักษา และอาจเสียน้ำจากการถ่ายเหลวจึงควรดูแลทารกดังนี้
- ดูแลไม่ให้ร่างกายทารกมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป และป้องกันผิวหนังเกิดผดผื่นจากการได้รับการส่องไฟรักษา
- ติดตามและเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การรักษาและนำไปวางแผนการพยาบาลต่อไป
- ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (Eye Patches) ทั้งสองข้างเพื่อป้องกันแสงทำลายจอตา ก่อนปิดตาควรดูหนังตาและปิดลูกตาให้สนิทก่อนเพื่อป้องกันแสงการระคายเคืองต่อแก้วตา (Cornea)
- ปิดไฟก่อนเปิดผ้าปิดตาทุกครั้ง
- ควรเปิดตาทุก 4 ชม. เปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม. และประเมินดูเยื่อบุตา เพื่อดูว่ามีการอักเสบหรือไม่และสังเกตอาการตาเหลือง
- ดูแลเช็ดทำความสะอาดและตรวจตาของทารกทุกวัน เพราะอาจมีการระคายเคืองจากผ้าปิดตาทำให้ตาอักเสบ
- ควรเปิดผ้าปิดตาระหว่างการให้นม เพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา กระตุ้นประสาทสัมผัสทางสายตา และความผูกพันระหว่างมารดากับทารก
- ประเมินอาการของภาวะขาดน้ำ โดยการสังเกต เช่น ทารกมีอุณหภูมิสูง ดูความตึงตัวของผิวหนัง มีกระหม่อมบุ๋มหรือไม่ เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป
- ดูแลให้ทารกได้รับน้ำมากกว่าปกติ เพราะการส่องไฟจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
- ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ได้แก่ 10%DN/S 1000 ml Sig IV rate 9 ml/hr ตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ดูแลให้ทารกได้รับนม BM/N 30 ml Po x 8 feeds ตามแผนการรักษา และกระตุ้นดูดนมทุก 2 ชั่วโมง หรือให้ตามความต้องการ
- ชั่งน้ำหนักทารกในเวลาเดียวกันและเครื่องชั่งเดียวกันวันละครั้ง
- บันทึกและสังเกตจำนวนครั้ง ลักษณะของอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำและดูแลให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
- ประเมินและสังเกตสีผิวทารกว่ามีสีน้ำตาลปนเทาหรือไม่ ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ ถ้าหยุดการส่องไฟสีผิวจะเป็นปกติ
- สังเกตผิวหนังว่ามีผื่นนูนในระหว่างส่องไฟหรือไม่
- ดูแลทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์หลังทารกถ่ายอุจจาระและปัสสาวะทุกครั้ง และทำการเปลี่ยนผ้าเมื่อเปียกชื้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัจจัยส่งเสริมการเกิดผื่นและการเกิดแผลกดทับได้
- ดูแลให้ทารกเปลี่ยนท่านอน พลิกตะแคงตัวทารกทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง และป้องกันการเกิดแผลกดทับ
ข้อมูลสนับสนุน
S: -
O: มารดาตั้งครรภ์เป็นครรภ์แรก บุตรมีอาการตัวเหลือง และได้รับการวินิจฉัยโรคเป็น Neonatal jaundice
เป้าประสงค์
- เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ปกครองเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของบุตรครั้งนี้
เกณฑ์การประเมินผล
- มีความวิตกกังวลลดลงจากการสอบถามและการแสดงสีหน้า พฤติกรรมของผู้ปกครอง
- ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นกับบุตรและการดูแลบุตรเพิ่มมากขึ้น
กิจกรรมผู้ดูแล
กิจกรรมการพยาบาล
- สังเกตอาการตัวเหลืองที่อาจจะเพิ่มขึ้นได้และเน้นความสำคัญของ การมาตรวจตามนัด
- ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างทารกและผู้ปกครอง เช่น การสัมผัสผิวกับผิว (skin to skin contact)
- สังเกตอาการที่ผิดปกติของทารกที่เกิดขึ้นและให้การดูแลอย่างเหมาะสมจากการให้ข้อมูลและจากการคำแนะนำตามหลัก D-METHOD ทั้งในขณะอยู่ที่โรงพยาบาลและเมื่อกลับบ้าน
- ร่วมมือกับพยาบาลเพื่อวางแผนการดูแลผู้ป่วย แสดงอารมณ์และความรู้สึก ซักถามปัญหาที่เกิดความสงสัย
- เปิดโอกาสให้บิดามารดาได้สร้างสัมพันธภาพกับบุตร โดยการสัมผัสจับต้องการสบตา การพูดคุย การอุ้ม การได้ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ หรือการเช็ดตัวให้ เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน
- เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองซักถามปัญหาและระบายความรู้สึกกลัวหรือ ไม่มั่นใจในการรักษาเพื่อค้นหาปัญหาและความรู้สึกเพิ่มเติมของ
ผู้ปกครอง
- ประเมินการรับรู้และวิธีการปรับตัวของผู้ปกครอง โดยการสังเกตและสอบถาม เพื่อใช้ในการวางแผนให้คำแนะนำ
9.สนับสนุนให้มารดาได้เลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง โดยนัดเวลาให้มารดามาให้นมตามเวลา ในกรณีที่ทารกสามารถรับประทานนมได้
- ประเมินความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค เพื่อประเมินว่าผู้ปกครองมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค หรือไม่โดยการสอบถาม
- สนับสนุนให้บิดามารดาได้เยี่ยมทารก อย่างสม่ำเสมอและอำนวยความสะดวกในการเยี่ยม และยืดหยุ่นเวลาเยี่ยมตามความเหมาะสม เพื่อเปิดโอกาสให้บิดามารดาและทารกได้สร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
- สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ปกครอง โดยพูดคุยและให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาล และเรื่องรักษาความลับของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความไว้วางใจ
- อธิบายให้บิดามารดาทราบถึงเหตุผล ที่ต้องแยกทารกมาเพื่อสังเกตอาการ และอธิบายแนวทางให้การดูแลรักษาเป็นระยะตลอดจนอาการของทารกเพื่อให้บิดามารดาคลายความวิตกกังวล
- ให้กำลังใจและปลอบโยนผู้ดูแล โดยการพูดหรือการสัมผัสอย่างนุ่มนวล เพื่อส่งเสริมให้ผู้ดูแลเกิดความรู้สึกที่ดี
- ให้คำแนะนำการดูแลทารกขณะส่องไฟอย่างถูกวิธีโดย
พยาบาลคอยดูแลให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำอย่าใกล้ชิด
- ให้คำแนะนำในการดูแลทารกที่บ้านเมื่อทารกอาการดีขึ้น ตามหลัก D-METHOD เพื่อลดความวิตกกังวล ดังนี้
- ประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้ปกครองเกี่ยวกับโรค ที่เกิดขึ้นกับภาวะสุขภาพทารกหลังให้ข้อมูลภาวะสุขภาพทารก
- อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรค วิธีการรักษาและการรักษา รวมทั้งอธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ในการดูแลทารกตามความจำเป็น ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ให้แก่ผู้ปกครองทราบ เพื่อลดความวิตกกังวล
D : ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (neonatal jaundice) หรือภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง(hyperbilirubinemia) เป็นภาวะที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออื่นๆ ของทารกเหลืองมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้ทารกแรกเกิดมีภาวะตัวเหลืองผิดปกติจะเสี่ยงต่อสมอง พิการได้
E : จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม บรรยากาศถ่ายเท สงบ ไม่มีสิ่งรบกวน
T : แนะนำการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น สะดือมีกลิ่น
เหม็นมีเลือดหรือมี หนอง ทารกซึมไม่ดูดนม มีอาการคลื่นไส้อาเจียนท้องเสียท้องอืด ร้องกวนไม่ทราบสาเหตุ ปากลิ้นเป็นฝ้าขาว หูบวมแดงมีนํ้าไหลออกจากหู มีไข้ชีเกร็ง มีอาการเหนื่อยหอบปลายมือปลายเท้าเขียว ตาอักเสบมีขี้ตา เป็นต้น หากพบอาการผิดปกติเกิดขึ้น ให้มาพบแพทย์ได้ทันทีหลังจากให้คําแนะนําต่างๆ ญาติผู้ป่วยรับฟัง และเข้าใจเป็นอย่างดี
H : การดูแลทารกหลังคลอด เรื่องการรักษาความสะอาดของร่างกาย การเช็ดตาและสะดือ การอาบน้ำทารก การได้รับวัคซีน การตรวจคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน การส่งเสริมพัฒนาการทารกการให้แม่ให้นมทารกที่ถูกวิธี
O : แนะนำให้มาตรวจตามนัดทุกครั้ง
D : กระตุ้น/ส่งเสริมให้น้ำนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนมแม่มีคุณค่า เพียงพอ และสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามิน ไขมัน แร่ธาตุต่างๆครบจะทำให้ทารกเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง เวลาป้อนนมเสร็จควรทำความสะอาดบริเวณแก้มทั้ง 2 ข้างให้สะอาด
อื่นๆ : ดูแลให้ทารกได้รับวัคซีนตามวัย แรกเกิดควรได้รับ BCG และ HBV1การดูแลแผลที่ฉีดให้เช็ดบริเวณแผลให้สะอาดและแห้งเสมอด้วยน้ำต้มสุก
- ถอดเสื้อผ้าออกและพลิกตัวให้อยู่ในท่าหงายหรือท่านอนคว่ำทุก 3-4 ชั่วโมง ่เพื่อให้ทารกได้รับแสงทั่วทั้งตัว
- ไม่ทาแป้งน้ำมันหรือโลชัน ่ เพราะอาจมีส่วนผสมของสารบางอยางที่ทำให้เกิดการสะท้อนของแสง
- ปิดตาด้วย Eyes pad เพื่อป้องกนการระคายเคืองของแสงต่อตา
- สังเกตลักษณะอุจจาระเพราะทารกอาจจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวสีเขียวปนเหลืองจากบิลิรูบินและน้ำดี
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของหลอดไฟ ให้ทารกนอนตรงกลางของแผงไฟในระยะห่าง 30 -45 เซนติเมตร กั้นผ้าไว้รอบแสงไฟ
- เจาะเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือด 4 ชั่วโมงหลังส่องไฟและทุก
24 ชั่วโมงจนกว่าระดับบิลิรูบินในเลือดปกติ
- ตรวจร่างกายดูการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังว่ามีผดผื่นหรือผิวสีบรอนซ์หรือไม่
- บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชั่วโมง และรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นตลอดเวลา
- ได้รับการดูแลช่วยเหลือเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการส่องไฟ เช่น ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว มีผื่น เป็นต้น
พยาธิสภาพภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (์Neonatal jaundice or hyperbilirubinemia)
❗ ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia) หมายถึงภาวะที่มีระดับบิลิรูบินสูงในซีรั่ม (Serum Bilirubin ) สูงกว่า 5 มิลิกรัม/เดซิลิตร เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด ซึ่งอาจเป็นเหลืองปกติจากสรีระวิทยา ( physiological jaundice) หรือภาวะเหลืองผิดปกติจากพยาธิสภาพ (pathological jaundice) เมื่อทารกมีค่าบิลิรูบินในซีรั่มเกิน 5 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะปรากฏอาการตัวเหลืองให้เห็นที่ผิวหนัง เปลือกลูกตาและเล็บอาการเหลืองที่ปรากฏจะเริ่มจากบริเวณใบหน้าเข้าหาลำตัวไปสู่แขนขาที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าระดับบิลิรูบินที่สูงมากอาจทําให้สมองพิการและเสียชีวิตได้
ชนิดของภาวะบิลิรูบินในเลือดสูงหรือภาวะตัวเหลือง
สาเหตุ
- มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติจากภาวะต่างๆจากการที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง ได้แก่
- มีการกําจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อนํ้าอุดตัน
- มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มร่วมกับการกําจัดบิลิรูบินได้น้อยลง ได้แก่ ภาวะติดเชื้อในครรภ์และหลังคลอดการเกิดก่อนกำหนดและภาวะ RDS
- มีการแตกของเม็ดเลือดแดงจากการที่หมู่เลือดของมารดากบของทารกไม่เข้ากัน
- ความผิดปกติของเยื่อหุ้มของเม็ดเลือดแดงทําให้เม็ดเลือดแดงอายุสั้นกวาปกติ
- มีความผิดปกติของเอนไซม์ในเม็ดเลือดแดงทําให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกวาปกติ ได้แก่ ภาวะพร่องเอนไซม์ G-6PD
- มีเลือดออกในร่างกาย เช่น การมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะเลือดออกในสมองทําให้มีบิลิรูบินในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
- ภาวะเลือดแดงเกิน ( polycythemia ) จากทารกในครรภ์มีการขาดออกซิเจนเรื้อรัง
- มีการดูดซึมกลับของบิลิรูบินจากลําไส้เพิ่มขึ้นจากภาวะต่าง ๆ
- ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูงจากพยาธิสภาพ
- ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูงทางสรีรภาพ
- อัตราการสร้างบิลิรูบิน ทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบินที่สูงขึ้น
- การทําหน้าที่ของตับยังไม่สมบูรณ์
- มีการดูดซึมบิลิรูบินกลับจากกลไกของการเผาผลาญบิลิรูบินทําให้การสะสมของบิลิรูบินเพิ่มขึ้น
- มีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าปกติ
- มีการขับบิลิรูบิออกได้น้อยหรือไม่ได้ทําให้การดูดซึมบิลิรูบินจากลําไส้กลับเพิ่มขึ้น
- มีความล่าช้าในการเปลี่ยนบิลิรูบิน
- 3 วันหลังคลอดผ่าตัดคลอดน้ำเดิน 12 ชั่วโมง 30 นาทีก่อนคลอด ทารกมีอาการตัวเหลือง พบ MB มีค่าสูง = 19.6 mg/dl ค่า Hct = 60% จึงให้ Admit SNB
- มารดาอายุ 30 ปี G1P0-0-0-0, GA 37+5 wk วันที่รับผู้ป่วย 8 มกราคม 2564 เวลา 04.23 นาที คลอดทารกเพศหญิง C/S due to 2nd anest of dilatation วันที่ 8 มกราคม 2564 เวลา 15.01 นาที น้ำหนักแรกเกิด 3,312 g คะแนน Apgar’s score 8-9-10 เจาะตรวจค่า Hct 60% และค่า MB ได้ 19.6 md/dl (เกณฑ์ปกติ 15 md/dl) วินิจฉัยแรกรับ Neonatal Jaundice (ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด) วันที่ 11 มกราคม 2564 เวลา 10.10 นาที จึงให้ Admit SNB แล้วon Phototherapy
O:
- พบค่า Hct 60% ค่า MB 19.6 mg%
- ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ Reticulocyte count พบว่า WBC 9.5 (ต่ำ)ค่า MCH/RDW 35.9/16.6 (สูง)
- BW แรกเกิด 3,312 g BW แรกรับ 3,094 g ลดลง 218 g แสดงว่าทารกอาจดูดนมได้น้อยลงหรือไม่ดูดนม
S: -
- ตัวเหลือง
- ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับอย่างสม่ำเสมอทุก 24 ขั่วโมง โดยการใช้แบบประเมิน Barden Q < 18 เสี่ยงเกิดแผลกดทับ เพื่อให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม
- สังเกตผิวหนังว่าถูกกดทับหรือมีแผลไหม้หรือไม่
- ตั้งแผงไฟให้อยู่ระดับพอดี สูงจากตัวทารกไม่เกิน 45 ชั่วโมง และให้ทารกนอนใน crib อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ให้ตัวทารกห่างจากแสงไฟประมาณ 12-16 นิ้ว และถอดเสื้อผ้าทารกออกให้มากที่สุด
- ประเมินลักษณะตาของทารก โดยการดูและสังเกตว่ามีความผิดปกติของดวงตาหรือไม่ เช่น เกิดการบาดเจ็บที่ดวงตาอาจทำให้ตาบอดได้ เพื่อดูแลและให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
อัญชรา ดอนกลอย. (2558). การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลือง. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2564, จาก file:///C:/Users/Acer/Downloads/Documents/11.pdf
อารีรัตน์ ระวังวงศ์. (ม.ป.ป.). การดูแลทารกตัวเหลืองอย่างมีประสิทธิภาพ. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2564, จาก https://hpc11.go.th/information/7.1/3.9/39.pdf
คณาจารย์สาขาวิชาการพยาบาลเด็ก. (2564). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 10830259 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะสุขภาพเบี่ยงเบน. ชลบุรี: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
จันทรมาศ เสาวรส. (2562). ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด: ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม. ราชาวดีสาร, 9(1), 103-107. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์.