Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการปรับตัวของรอย, มโนทัศน์หลักในทฤษฎีการปรับตัวของรอย - Coggle Diagram
ทฤษฎีการปรับตัวของรอย
กระบวนทัศน์หลักเกี่ยวกับทฤษฎี
ภาวะสุขภาพ
สภาวะและกระบวนการที่ทำให้บุคคลมีความมั่นคงสมบูรณ์
การที่บุคคลจะมีการปรับตัวได้ดีหรือไม่ดีนั้น
ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ ระดับความรุนแรงของสิ่งเร้ากับระดับความสามารถในการปรับตัวของบุคคล
สิ่งแวดล้อม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวบุคคลทั้งภายในและภายนอกมีผลกระทบต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของบุคคล
รอยได้เรียกสิ่งแวดล้อมว่าเป็นสิ่งเร้า มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ สิ่งเร้าตรง สิ่งเร้าร่วม สิ่งเร้าแฝง
เพื่อบรรลุซึ่งการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต
บุคคล
คนหรือมนุษย์ที่เป็นผู้รับบริการ
การปรับตัวของบุคคลกระทำเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระบบ
การพยาบาล
เป็นการช่วยเหลือที่ให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน
มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีการปรับตัวที่เหมาะสมของบุคคลและการจัดการสิ่งแวดล้อม
เพื่อบรรลุซึ่งการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต
ทฤษฎีการปรับตัวของรอยกับกระบวนการพยาบาล
ขั้นตอนที่ 1การประเมินสภาวะ ( Assessment )
ประเมินองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัว (Assessment of influencing factors)
ตามปกติสิ่งเร้าตรงจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดปัญหาจึงมักมีเพียงสาเหตุเดียว ส่วนสิ่งเร้าร่วมและสิ่งเร้าแฝงมักมีหลายสาเหตุร่วมกัน
ประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วย
(Assessment of behaviors)
ที่เป็นปฏิกริยาตอบสนองของผู้ป่วยต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้า
พฤติกรรมของผู้ป่วยอาจจะได้มาจากการสังเกต การสัมภาษณ์และการตรวจวัดอย่างมีระบบเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน
ขั้นตอนที่ 2การวินิจฉัยการพยาบาล
( Nursing diagnosis)
1.ปัญหาซึ่งคุกคามชีวิตของบุคคล
2.ปัญหาซึ่งกระทบกระเทือนการเจริญเติบโตของบุคคล
3.ปัญหาซึ่งกระทบกระเทือนต่อบุคคลหรือกลุ่มชนที่เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อและต่อเนื่อง
4.ปัญหาซึ่งกระทบกระเทือนขีดความสามารถของบุคคลที่จะบรรลุผลสำเร็จ
เป็นขั้นตอนย่อยที่ 3 ตามแนวคิดของรอย
โดยการระบุปัญหาหรือบ่งบอกปัญหาจากพฤติกรรมที่ประเมินได้ในขั้นตอนที่1และระบุสิ่งเร้าที่เป็นสาเหตุของปัญหา
เมื่อได้ปัญหาและสาเหตุแล้วจะสามารถให้การวินิจฉัยการพยาบาลได้
ขั้นตอนที่ 3การวางแผนการพยาบาล
( Nursing plan )
ตามแนวคิดของรอยขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ 4 คือการกำหนดเป้าหมายการพยาบาล (Goal setting)
พยาบาลจะกำหนดเป้าหมายการพยาบาลหลังจากที่ได้ระบุปัญหาและสาเหตุแล้ว
จุดมุ่งหมายของการพยาบาลคือการปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปสู่พฤติกรรมที่เหมาะสม
ส่วนพฤติกรรมที่เหมาะสมแล้วต้องคงไว้หรือส่งเสริมให้ดีขึ้น
การตั้งเป้าหมายการพยาบาลนั้นอาจจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นๆได้
ขั้นตอนที่ 4การปฏิบัติการพยาบาล
( Nursing Intervention )
ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลเป็นขั้นตอนที่ 5 ตามแนวคิดของรอย
เน้นจัดการกับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการปรับตัว
โดยทั่วไปมักจะมุ่งปรับสิ่งเร้าตรงก่อนเนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหา
ขั้นต่อไปจึงพิจารณาปรับสิ่งเร้าร่วมหรือสิ่งเร้าแฝง และส่งเสริมการปรับตัวให้เหมาะสม
ขั้นตอนที่ 5การประเมินผล (Evaluation)
โดยดูว่าการพยาบาลที่ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่
ถ้าผู้ป่วยยังคงมีปัญหาการปรับตัวอยู่ พยาบาลต้องประเมินตามขั้นตอนที่ 1.1 และ 1.2 ใหม่อีกครั้ง
เพื่อให้ได้ข้อมูลและ สิ่งเร้าเพิ่มเติม จนกระทั่งเป้าหมายการพยาบาลทุกอย่างบรรลุผลตามที่ตั้งไว้
มโนทัศน์หลักในทฤษฎีการปรับตัวของรอย
พฤติกรรมการปรับตัว ( Adaptive mode )
การปรับตัวด้านร่างกาย
( Physiological Mode )
การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์
( Self - concept Mode )
เป็นการปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคงทางด้านจิตใจ เกิดจากการเรียนรู้และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบทบาท เวลาและสถานการณ์
อัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย ( Physical self )
เป็นความรู้สึกและการรับรู้ของบุคคลที่มีต่อสภาพด้านร่างกายและสมรรถภาพในการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆของตนเอง
ด้านรับรู้ความรู้สึกด้านร่างกาย
( Body sensation ) เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับสภาวะและสมรรถภาพของร่างกาย
ด้านภาพลักษณ์ของตนเอง ( Body image ) เป็นความรู้สึกที่มีต่อขนาดรูปร่าง หน้าตา ท่าทางของตนเอง
อัตมโนทัศน์ส่วนบุคคล ( Personal self )
เป็นความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง หรืออุมคติ ความคาดหวังในชีวิต
อัตมโนทัศน์ด้านความมั่นคงในตนเอง
( Self - consistency )
อัตมโนทัศน์ด้านความคาดหวัง
( Self – ideal / expectancy)
อัตมโนทัศน์ด้านศีลธรรม จรรยา
( Moral ethical self )
การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่
( Role function mode )
การปรับตัวด้านนี้เป็นการตอบสนองด้านสังคมของบุคคลเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางสังคม
บทบาทปฐมภูมิ ( Primary role )
เป็นบทบาทที่มีติดตัว เกิดจากพัฒนาการช่วงชีวิต
บทบาททุติยภูมิ ( Secondary role)
เป็นบทบาทที่เกิดจากพัฒนาการทางด้านสังคมการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
บทบาทตติยภูมิ ( Tertiary role )
เป็นบทบาทชั่วคราวที่บุคคลมีอิสระที่จะเลือกเพื่อส่งเสริมให้บรรลุซึ่งเป้าหมายบางอย่างของชีวิต
ถ้าไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะเกิดความบกพร่องในการแสดงบทบาทหน้าที่ ได้ใน 4 ลักษณะ
ไม่ประสบผลสำเร็จในบทบาทใหม่ที่บุคคลได้รับ
( Ineffective role transition )
เป็นพฤติกรรมที่มีการแสดงถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทของตนเองได้
การแสดงบทบาทไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง
( Role distance )
เป็นภาวะที่บุคคลแสดงบทบาททั้งทางด้านกายและใจ แต่ไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง
ความขัดแย้งในบทบาท ( Role conflict )
เป็นภาวะที่บุคคลไม่สามารถแสดง
บทบาทของตนเองได้อย่างเต็มที่ตามที่ควรจะเป็น
ความล้มเหลวในการแสดงบทบาท ( Role failure )
เป็นภาวะที่ไม่สามารถ
ปฏิบัติกิจกรรมได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ควรจะทำ
การปรับตัวด้านการพึ่งพาระหว่างกัน (Interdependence)
เป็นการตอบสนองความต้องการของบุคคลที่มีความต้องการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
สัมพันธภาพกับระบบสนับสนุน ( Supportive system ) เป็นบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
สัมพันธภาพกับบุคคลใกล้ชิด ( Significant others ) เป็นบุคคลมีความสำคัญต่อตนเองมากที่สุด
เป็นวิธีการตอบสนองด้านร่างกายต่อสิ่งเร้าโดยสะท้อนให้เห็นการทำงานระดับเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ
บุคคลเป็นระบบการปรับตัว
( Human as Adaptive System )
1.สิ่งนำเข้า ( Input )
สิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมหรือจากตัวบุคคล และระดับการปรับตัวของบุคคล
อาจจะมีระดับยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามา
2.กระบวนการ ( Process )
เป็นกลไกที่ภายในตัวบุคคลที่มีการทำงานเป็นระบบและให้ผลลัพท์ออกมา
กลไกการควบคุม ( Regulator Mechanism )
เป็นกลไกการควบคุมที่เกิดขึ้นในระบบตามธรรมชาติ
กลไกการปรับตัวพื้นฐานของบุคคล
กลไกการรับรู้ (Cognator mechanism )
เป็นกลไกที่เกิดจากการเรียนรู้นั่นคือการทำงานของจิตและอารมณ์
4 กระบวนการ ได้แก่ การรับรู้ การเรียนรู้ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา
กลไกการควบคุมและกลไกการรับรู้จะทำงานควบคู่กัน
ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมการปรับตัวทั้งหมดออกมา 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอัตมโนทัศน์ ด้านบทบาทหน้าที่ และการพึ่งพาระหว่างกัน