Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาปฏิชีวนะและยาต้านจุลชีพ - Coggle Diagram
ยาปฏิชีวนะและยาต้านจุลชีพ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะต่อแบคทีเรีย
ขัดขวางการสร้างโปรตีนในเซลล
ขัดขวางการสร้างกรดนิวคลีอิค
ขัดขวางการทํางานของเยื่อหุ้มเซลล
ทําให้ขบวนการสร้างโปรตีนของแบคทีเรียผิดปกติ
ขัดขวางการสร้างผนังเซลล์
ยาต้านแบคทีเรีย
1.Penicillins
กลไกการออกฤทธิ์
ผ่านผนังเซลล์แบคทีเรียแล้วไปจับกับ penicillin-binding proteins (PBP)
ซึ่งอยู่บน cytoplasmic membrane
ยับยั้งเอนไซม์ transpeptidase ซึ่งเป็
นเอนไซม์PBP ทําให้ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์(cell wall)
ทําให้เซลล์แบคทีเรียแตกสลาย (lysis)
กลไกการดื้อต่อ penicillins
1.การสร้าง β-lactamase เพื่อทําลายยา
ยาไม่มีผลต่อแบคทีเรียที่ไม่มีผนังกั้นเซลล์
โดยปกติยา penicilins จะไม่เข้าสมอง ยกเว้นเมื่อ เกิดการอักเสบ
ประโยชน์ในการใช้
1.penicillins มีผลต่อแบคทีเรียแกรมบวกเป็นส่วนใหญ่ เชื้อที่ไวต่อยาได้แก่
streptococci
2.(streptococcus pneumoniae) ใช้penicillin เป็นยาตัวเลือกอันดับ 1
แต่ปัจจุบันพบเชื้อนี้ดื้อต่อยา penicillin มากกว่า 70%
3.(Neisseria meningitides) ใช้ยา penicillin เป็นตัวเลือกอันดับ 1
แต่ยาไม่มีผลต่อ Neisseria gonorrhoeae
4.(clostridium perfringens) และบาดทะยัก
(clostridium tetani)
5.spirochetes เช่น syphilis, leptospirosis
6.เชื้ออื่นๆ เช่น Listeria, enterococci, diphtheria, antrax
เภสัชจลนศาสตร์
การดูด ซึมยาจะน้อยลงเมื่อ รับประทานพร้อมอาหาร
ควรกินยาตอนท้องว่าง (1 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร)
-ยาจับกับโปรตีนในอาหารทําให้การดูด ซึมน้อยลง
ยาส่วนใหญ่ถกูขับในรูปเดิมที่ไมเ่ปลี่ยนแปลงทางปัสสาวะ โดยการกรอง (glomerular filtration) และการขับออกทางท่อไต (tubular secretion)
การดูดซึมจากทางเดินอาหารไม่แน่นอน ขึ้นกับปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร และความสามารถของยาในการทน
กรด
ยกเว้น nafcilin และ ampicillin ถูกทําลายที่ตับและขับออกทางน้ำดี
ผลข้างเคียง
ปฏิกิริยาแพ้ (hypersensitivity reactions) มีอาการผื่น ลมพิษคัน ไข้ข้อบวม และหลอดลมหดเกร็ง ช็อค ผู้ป่วยที่แพ้มีโอกาสแพ้
ชัก (seizure) อาจเกิดได้ในผู้ป่วยที่มีไตบกพร่อง และทารกแรกเกิดที่การทํางานของไตไม่สมบูรณ์
อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย (diarrhea), คลื่นไส้(nausea)
เลือดจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic anemia)
ไตอักเสบ (nephritis)
พิษจาก cations ถ้าให้ยาในขนาดสูงมากอาจทําให้ภาวะคั่งของ sodium หรือ potassium ได้
2.ยา penicillins ที่สามารถต้านเชื้อ staphylococcus
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มนี้ทนต่อเอนไซม์ β-lactamase จึงเรียกอีกอย่างว่า β-lactamase-resistant penicillins
ประโยชน์การนําไปใช
-ควรใช้เฉพาะการรักษาการติดเชื้อ staphylococci ซึ่งสร้าง β-lactamase และเป็นเชื้อที่ไวต่อ methicillin
-มีขอบเขตการต้านแบคทีเรียแคบ
-ในกรณีที่ผลเพาะเชื้อพบว่าเชื้อ staphylococcus aureus ดื้อต่อ methicillin แสดงว่า
ยากลุ่มนี้ทั้งหมดใช้ไม่ได้ผล ทางเลือกคือใช้ vancomycin
ผลข้างเคียง
เหมือนกับ natural penicillins
Methicillin ทําให้เกิดไตอักเสบจึงเลิกใช้ยานี้ในคนแล้ว
Methicillin กับ Nafcillin อาจทําให้เม็ดเลือดขาวชนิด granulocytes ต่ำ(granulocytopenia) โดยเฉพาะในเด็ก
Oxacillin อาจทําให้ตับอักเสบ (hepatitis)
Penicillins ที่มีขอบเขตการต้านเชื้อที่ขยายออกไป (extended-spectrum penicillins) หรือเรียกว่า aminopenicillins
ประโยชน์การนําไปใช้
ใช้เป็นตัวเลือกแรกในการรักษาหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน,ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน,และหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
โรคแผลในกระเพาะอาหารใช้ amoxicillin ร่วมกับ clarithromycin และ
proton pump inhibitor เพื่อ กำจัดเชื้อ Helicobacter pylori
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection, UTI) ที่เกิดจากเชื้อ proteus E coli หรือ enterococci
การติดเชื้อ Salmonella โดยเป็นตัวเลือกรองจากcephalosporin รุ่นที่ 3
กลไกการออกฤทธิ์
ยา aminopenicillins เมื่อ ใช้ร่วมกับยายับยั้งเอนไซม์β-lactamase
ใช้ยาเหล่านี้ร่วมกันโดยเป็นยาผสม
Amoxicillin+clavulanic acid (Aumentin®)
Ampicillin+sulbactam (Unasyn®)
ผลข้างเคียง
เหมือนกับ penicillins
การใช้ ampicillin ในผู้ป่วยโรค mononucleosis อาจทําให้เกิดผื่น
Ampicillin อาจทําให้เกิดผื่น pseudomembranous colitis
4.Penicillins ที่สามารถต้านเชื้อ Pseudomonas
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มนี้ถูกทําลายโดย β-lactamase จึงมักใช้เป็นยาผสมร่วมกับยาต้าน β-lactamase
ticarcillin+clavulanic acid (Timentin®) และ piperacillin+tazobactam
ยากลุ่มนี้ถูกทําลายโดยกรดในกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ใช้เป็นยากิน แต่เป็นยาฉีดกล้ามเนื้อและหลอดเลือดดํา
ยามีผลต่อเชื้อแบคทีเรียแกรมลบทรงแท่งเช่น Enterobacter และ Pseudomonas
ปอดอักเสบ (pneumia) จากการติดเชื้อ Proteus, E. coli, Enterobacter หรือ Klebsiella pneumoniae
ทางเดินปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อกลุ่มเดียวกับโรคปอดอักเสบข้างบน
ผลข้างเคียง
ยับยั้งการทํางานของเกร็ดเลือด (Platelet dysfunction)
การแพ้ยา ยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อ Pseudomonas arieruginosa
ตัวเลือกที่ 1 (1st-line choice) ได้แก่ (ticarcillin หรือ piperacillin) ร่วมกับ (tobramycin หรือ
ciprofloxacin)
ตัวเลือกที่ 2 (2nd-line choice) ได้แก่ (cefepime หรือ ceftazidime) ร่วมกับ tobramycin
ตัวเลือกที่ 3 (3rd-line choice) ได้แก่ (imipenem หรือ aztreonam) ร่วมกับ tobramycin
การเลือกใช้ยาต้องพจิารณายาตัวเลือกที่ 1 ก่อนเสมอ
การพยาบาล
ก่อนเริ่ม dose แรก ควรถามประวัติการแพ้ยาก่อน
ตรวจสอบวิธีการใช้ยา วิถีทาง ให้ชัดเจน
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ควรเลือกกล้ามเนื้อที่ใหญ่และหนา ต้องฉีดให้ลึก
การฉีดเข้าเส้นเลือดดําควรเลือกเส้นที่ใหญ่พอสมควร
.เตรียมเครื่องใช้สําหรับการช่วยเหลือฉุกเฉินให้พร้อมเสมอ
ไม่ควรผสมกับยาอื่นพร้อมกัน
.Penicillin G เมื่อผสมกับน้ํากลั่นแล้วจะคงทนได้นาน 1 วันในอุณหภูมิห้องแต่จะอยู่ได้นาน 1
.Penicillin ที่ผสมกับ 5% Dextrose ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง
Cephalosporins
กลไกการออกฤทธิ์
จับกับ peniciilin binding protein (PBP)
แล้วยับยั้ง transpeptidase ใน PBP
กระตุ้นเอนไซม์ autolysin ทําให้แบคทีเรียย่อยสลายตัวเองมากขึ้น
ผลข้างเคียง
การแพ้ยา
พิษต่อไต
Disulfiram-like reactions
Coombs’test ให้ผลบวก
Hypothrombinemia
Cephalosporins แบ่งเป็ น 4 รุ่น ได้แก่
Cephalosporins รุ่นที่ 1
ยากินได้แก่ cephalexin (keflex®) และ cephadroxil มีฤทธิ์
ครอบคลุมแบคทีเรีย
ไม่เข้าสมอง
นิยมให้ก่อนผ่า ตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ยาไม่ครอบคลุมเชื้อ enterococci
Cefazolin ออกฤทธิ์นาน ยาเข้ากระดูกได้ดี
แบคทีเรียแกรมบวกทรงกลม
Cephalexin เป็นยาต้นแบบของ cephalosporin รุ่นที่ 1 ที่เป็นยาชนิดกิน
Cephalosporins รุ่นที่ 2
ยากินได้แก่ cefaclor, cefuroxime axetil, loracarbef และ
cefprocil ยาฉีดได้แก่ cefotetan, cefoxitin และ cefuroxime
การครอบคลุมแบคทีเรีย คล้าย cephalosporin ร่นุ ที่ 1 และขยายขอบเขตสู่แบคทีเรียแกรมลบมากขึ้น
Cefoxitin และ cefotetan ยังใช้รักษาการติดเชื้อผสม anaerobes (Bacteroides fragilis)และ aerobes
Cefaclor ใช้รักษาการติดเชื้อ Hemophilus influenzae, Moraxella catarrhalis
Cefuroxime เป็ นยาต้นแบบ (prototype) ของ cephalosporins ร่นุ ที่ 2 มีทั้งชนิดกินและฉีด
ยานี้ทนต่อ β-lactamase ส่วนใหญ่ไม่เข้าสมอง
Cephalosporins รุ่นที่3
ยากินได้แก่ cefixime, cefpodoxime, cefdinir, ceftibuten
ยาฉีดได้แก่ cefoperazone, cefotaxime, ceftazidime, ceftizoxime และ ceftriaxone
ครอบคลุมแบคทีเรียแกรมลบหลายชนิด ทั้งทรงกลมและแท่ง แต่ครอลคลุมแบคทีเรียแกรมบวกน้อย
มีผลต่อเชื้อแกรมลบหลายชนิด
การติดเชื้อ Pseudomonas ใช้ ceftazidime หรือ cefoperazone
การติดเชื้อ Burkholderia (Pseudomonas) pseudomallei ที่ทําให้เกิดโรค melioidosis
ใช้ยา ceftazidime
ส่วนใหญ่เข้าสมองได้ยกเว้น cefoperazone
Cefoperazone ถูกทําลายได้ง่ายโดย β-lactamase จึงมักใช้ร่วมกับ β-lactamase inhibitor
Ceftriaxone และ cefotaxime เข้าสมองได้ดีใช้รักษาโรคเยื่อห้มุ สมองอักเสบ
Ceftriaxone มคี่าครึ่งชีวิตยาวที่สดุ ในกล่มุ cephalosporin ทั้งหมด
ใช้ ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามเพียงครั้งเดียว
ใช้ ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามเพียงครั้งเดียว
หรือ cefixime หรือ cefpodoxime กินครั้งเดียวเพอื่ รักษาโรคหนองในซึ่งเกิดจากเช้ือ Neisseria
gonorrhoeae ในทางเดินปั สสาวะ
Cephalosporins ร่นุ ที่ 4
ยามีฤทธิ์ขยายขอบเขตต่อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบมากข้ึน เมอื่ เทียบกับร่นุ ที่ 3
-แต่ยาไม่ครอบคลุมเชื้อ MRSA,Enterococcus faecalis, Bacteroides fragilis และ Listeria
monocytogenes
Carbapenems
-มีกลไกการออกฤทธิ์เหมือน penicillins ในปัจจุบันยายังทนต่อ β-lactamase
มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย (bactericidal)
-มีโครงสร้างคล้าย penicillins
-ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ imipenem เป็ นยาต้นแบบ meropenem และ ertapenem
เป็นยาต้านแบคทีเรียกลุ่ม β-lactams ที่ได้มาจากการสังเคราะห์
Imipenem
การยับยั้งเอนไซม์นี้ทําให้ยา Imipenem มีผลรักษาการติดเชื้อในทางเดินปั สสาวะ
ลดพิษต่อไต
พบเอนไซม์ที่proximal tubules ในไต
Imipenem ถูกทําลายอย่างรวดเร็วโดย dehydropeptidase ในไต
แต่ยกเว้น (MRSA)
-meropenem และ ertapenem ไม่ถูกทําลายด้วยเอนไซม์
มีผลฆ่าแบคทีเรียกว้างมาก
ยาถูกขับออกทางปัสสาวะ ต้องปรับลดขนาดยาในผู้ป่ วยไตวาย
ผลข้างเคียง
ชัก (seizures) โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไต
รบกวนระบบทางเดินอาหาร (คล่ืนไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง)
-เม็ดเลือดขาวชนิดeosinophilsมาก(eosinophilia)
เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophils ต่า (neutropenia)
-เกิดการแพ้(ถ้าผู้ป่วยแพ้penicillinsก็อาจแพย้าน้ีด้วย)
การพยาบาล
1.ซักประวัติการแพย้า
2.ถ้าฉีดเข้ากล้ามเน้ือจะปวดมากหากจาํเป็นต้องฉีดควรฉีดให้ลึกท่ีกล้ามเน้ือใหญ่
การฉีดเข้าหลอดเลือดดาํพบว่ามีการอักเสบบริเวณรอยฉีดยา อาจหลีกเลี่ยงโดยการเจือจางยาให้มากและฉีดหรือหยดช้าๆ
Cephalotin เมื่อผสมแล้วยาจะคงทนอยู่ได้ประมาณ 6 ช่ัวโมงในอุณหภมู ห้อง การหยดทาง หลอดเลือดดาํควรให้หมดในเวลาไมเ่กิน24ชั่วโมงโมงในกรณีท่ีผสมแล้วใช้ไมห่มดควรเก็บไว้ ในต้เูย็นจะคงทนอยู่ได้ประมาณ48ชั่วโมง
Monobactam
กลไกการออกฤทธ์ิ
-เหมือนpenicillinsและยาน้ีเป็นยากลุ่ม
ยาน้ีไม่จับกับpenicillin-bindingproteins
Aztreonam ทนต่อ β-lactamase ยาน้ีไม่มี cross-allergenicity กับ penicillins ดังน้ันผู้ ท่ีแพ้ penicillins สามารถใช้ยาน้ีได้
Aztreonam
ใช้เป็ นยาฉีด (IV, IM)
-ยาถกูขับทางปัสสาวะ
ยามีผลฆ่าแบคทีเรีย (bacteriacidal)
ยาไม่มีผลต่อแบคทีเรียแกรมบวก และ anaerobes แต่มีผลต่อแบคทีเรียแกรมลบหลายชนิด
นิยมใช้ยาน้ีในการรักษาการติดเช้ือแบคทีเรียแกรมลบทรงแท่ง เช่น Pseudomonas, Klebsiella, Serratia เป็ นต้น
Aztreonam ทนต่อ β-lactamase
ไม่มี cross-allergenicity กับ penicillins ดังน้ันผู้ที่แพ้ penicillins สามารถใช้ยาน้ีได้
ผลข้างเคียง
-ผื่น(skinrash)
-เอนไซมจ์ากตับสงูในเลือด
รบกวนทางเดินอาหาร
Glycopeptides
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งกระบวนการpolymerizationของสายpeptidoglycan
-ยามีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย(bacteriacidal) แกรมบวกทุกชนด
ผลข้างเคียง
ไข้หนาวส่ัน (Fever and chills)
ช็อก จากการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดาํ เร็วเกินไป
Red man’s syndrome ซึ่งมีอาการหน้าแดง ความดันเลือดตํ่า โดยเฉพาะเมื่อฉีดยาเร็วๆ เช่ือว่าเกิด จากการกระต้นุ การหลังhistamine
-พิษต่อหู(ototoxicity)
-พิษต่อไต(nephrotoxicity)ซึ่งพบน้อย
ยาอืนๆทียับยั้งการสร้างผนังเซลล์
Bacitracin
ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ โดยไปยับยั้งการเสียหมู่ฟอสเฟต (dephosphorylation) ของ bactropenol pyrophosphate
-ยาไมถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารในบางครั้งเพื่อกำจัดเชื้อ
ผลข้างเคียง
-ผื่นคลื่นไส้อาเจียน
-เป็นanalogของD-Ala
กลไกการออกฤทธ์ิ
ยับยั้งการสังเคราะห์ peptidoglycan
ยามีผลต่อเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ แต่นิยมใช้รักษาวัณโรคซึ่งเกิดจาก เชื้อ Mycobacterium tuberculosis ท่ีดื้อ ต่อยาต้านวัณโรคตัวเลือกแรก (first-line-drugs)
ผลข้างเคียง
-พิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง
-อาจทาํให้เกิดส่ัน(tremors)
ชัก (seizures)
สับสน (confusion)
ปวดศีรษะ
มีอาการโรคจิต (psychosis)
Fosfomycin
กลไกการออกฤทธิ
ยับยั้ง enol pyruvate trnasferase ในแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อเอนไซม์น้ีในคน มีต่อแบคทีเรียแกรมลบ เช่น E. coli, Klebsiella และ Serratia -ยาถกูขับออกทางเดินปัสสาว
-ยามผีลน้อยมากต่อแบคทีเรียแกรมบวก
ผลข้างเคียง : พบน้อย ได้แก่ ปวดศีรษะ อาเจียน อุจจาระร่วง
ยายับยั้ง β-lactamase (β-lactamase inhibitors)
กลไกการออกฤทธ์ิ
ยับยั้ง β-lactamase ชนิด (class ) A
แต่ไม่มีผลต่อ β-lactamase ชนิด B, C และ D เม่ือให้ยาเหล่าน้ีอย่างเดียวจะไม่มีผลต่อแบคทีเรียแต่ต้องใช้ ร่วมกับβ-lactamsเช่นpenicillinsปัจจบุันใช้ยาเหล่าน้ีผสมกับยายับยั้งการสร้างผนังเซลล์อ่ืนๆเช่น amoxicillin+clavulanate (Augmentin®) เป็ นยากิน
ampicillin+sulbactam (Unansyn®) เป็ นยาฉีด piperacillin+tazobactam (Zosyn®) เป็ นยาฉีด ticarcillin+clavulanate (Timentin®) เป็ นยาฉีด
ยาต้านแบคทีเรียยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนในแบคทีเรียออกฤทธ์ิโดยจับกับไรโบโซม 70s ของแบคทีเรียท่ีตาํแหน่งต่างๆ
-สาํหรับคนจะมีเซลล์แบบeukaryoticซ่ึงมไีรโบโซม80s (ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ 60s และ 40s )
-แต่ในแบคทีเรียจะมี ไรโบโซม 70s (ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ 50s และ 30s) -ยาเหล่าน้ีจึงมีพษิเฉพาะต่อแบคทีเรียเท่านั้นเรียกว่าselectivitytoxicity หมายเหตุ : s ย่อมาจาก Svedburg unit of sedimentation coefficient
Aminoglycosides
กลไกการออกฤทธิ
-ยามผีลต่อแบคทีเรียแกรมลบโดยยาผ่านเนื้อชั้นนอก(outermembrane)ทางโปรตีนยาจะถูกเข้าเซลล์ โดยกระบวนการ active transport ซึ่งอาศัยออกซิเจน
-ทาํให้ยาผ่านเยื่อcytoplasmicเข้าสู่cytoplasmแล้วยาจับกับไรโบโซมหน่วยย่อย30sอย่างถาวร -ทาํ ให้มรการยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนในระยะเร่ิมต้น (initiation step)
-ทำให้เกิดความผิดพลาดในการอ่าน mRNA (mRNA misreading)
-aminoglycoside มีฤทธ์ิฆ่าแบคทีเรีย (bacteriacidal)
เภสัชจลนศาสตร์
1.มีขั้วมากเพราะมีประจุบวกมากในโมเลกลุเป็นเบสและละลายในนํ้าทาํให้ไม่ถูกดูดซึมจาก ทางเดินอาหาร จึงนิยมให้ทางหลอดเลือดดำ
2.ยากระจายตัวได้ดีในร่างกายแต่ไม่เข้าสมองและไมสะสมในไขมันยาสะสมอย่างมากในไตและ [endolymphในหูชั้นในทาํให้ยามพิษต่อไตและหู
ยาถกู ขับออกจากร่างกายในรูปไม่เปลี่ยนแปลงทางปั สสาวะ ต้องปรับลดขนาดยาในผู้ป่วยท่ีมี ความบกพร่องของไต 4.ยาaminoglycosideเป็นยาฉีด(IV)เพราะยาไมถ่กูดดูซึมโดยการกินยกเว้นneomycin ซึ่งไม่สามารถให้โดยการฉีดได้เพราะมีพิษต่อไตมากแต่ใช้เป็นยาทาผิวหนังและกินเพื่อทำลาย เชื้อในลาํไส้ก่อนการผ่าตัด
ประโยชน์ทางการใช้
ใช้รักษาการาติดเช้ือแกรมลบท่ีมาจากทางเดินอาหาร เช่น Escherichia coli, Enterobacter และ Klebsiella ยายังมฤี ทธ์ิต้า Pseudomnas aeruginosa ยา aminoglycosidesมกัให้ร่วมกับβ-lactamsทาํให้เสริมฤทธ์ิกัน(synergism)
เชื้อแกรมลบท่ีดื้อต่อ gentamicin อาจตอบสนองต่อ amikacin 3.ยาaminoglycosideไมม่ผีลต่อBurkholderiapseudomalleiและไมค่รอบคลมุ เชื้อanaerobes เพราะการขนส่งยาเข้าเซลล์แบคทีเรียต้องอาศัยออกซิเจน
ฤทธ์ิต้านแบคทีเรียข้ึนกับความเข้มข้นของยาในเลือด ไม่ขึ้นกับคกับเวลา และยามี postantibiotic effect
กลไกการดื้อยา aminoglycosides
เกิดจากเอนไซม์ trasferase ซึ่งสร้างโดยเชื้อ gene ท่ีคุมการสร้างเอนไซมน์ ถูก ถ่ายทอดสู่
การลดการขนส่งยาเข้าแบคทีเรีย 3.การเปลี่ยนโครงสร้างของไรโบโซมหน่วยย่อย30sจนทาํให้ยาจับได้ไม่ดี
ผลข้างเคียง
1.พิษต่อไต(nephrotoxicity)พบบ่อยในgentamicinและtobramycinโดยปกติไม่ถาวร แต่ถ้าให้ยาต่อไปนานๆ : อาจทาํ ให้เกิด acute tubular necrosis จนไตเสื่อมถาวร ซึ่งพบ บอ่ยในผูส้งูอายุ 2.พิษต่อหู(ototoxicity)พบบอ่ยในamikacinและเกิดถาวรเนื่องจากยามพิษต่อ vestibular nerve และ auditory nerve ทำให้เวียนหัวและหหู นวกตามลำดับต่อหูหนวกจะ เกิดมากข้ึนเมื่อใช้ร่วมกับยาขับปั สสาวะกล่มุ loop diuretics