Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Robert Owen, Charles Babbage, Adam Smith, image, นางสาวนธิตรา ปิ่ณทะศิริ…
Robert Owen, Charles Babbage, Adam Smith
โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen)
บิดาแห่งสหกรณ์โลก
ประวัติ Robert Owen ค.ศ. 1771-1858
โรเบิร์ต โอเวน (อังกฤษ: Robert Owen) เป็นชาวเวลส์ เกิดเมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2314 และถึงแก่กรรมเมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2401 รวมอายุ 87 ปี เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ เป็นที่รู้จักในฐานะ บิดาแห่งสหกรณ์โลก
โรเบิร์ต โอเวน เป็นนักปฏิรูปและนักอุตสาหกรรมชาวอังกฤษ และนับว่าเป็นผู้จัดการคนแรกที่เห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ ในสมัยก่อนช่วงเวลานี้ พนักงานในโรงงานถูกมองเหมือนเป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่งของโรงงาน แต่โรเบิร์ต โอเวน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานเชื่อว่าคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรได้รับการให้เกียรติ ดังนั้นโรเบิร์ต โอเวน จึงเป็นบุคคลแรกๆ ที่จัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้คนงาน เพิ่มอายุเกณฑ์ขั้นต่ำของเด็กที่ทำงาน จัดหาอาหารให้พนักงาน และลดเวลาการทำงานลงโดยโอเวนเชื่อว่าการที่ฝ่ายจัดการให้การดูแลใส่ใจพนักงานแล้วจะนำมาสู่ผลการทำงานที่ดีขึ้น
โรเบิร์ต โอเวน เสนอให้มีการจัดตั้งชมรมสหกรณ์ขึ้น โดยให้ทรัพย์สินต่างๆ ของชมรม เป็นของส่วนรวม เพื่อไม่ให้มีสภาพของนายทุนในสหกรณ์ แต่จัดตั้งไม่สำเร็จและไม่ได้รับการยอมรับ โอเวนจึงทดลองตั้งชมรมสหกรณ์ชื่อ นิวฮาร์โมนี (New Harmony) ขึ้นที่เมืองนิวฮาร์โมนี รัฐอินดีแอนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2368 และล้มเลิกไปในเวลาต่อมา เพราะไม่มีการคัดเลือกสมาชิก และไม่มีกิจกรรมที่คุ้มกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ในขณะนั้นยังมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครองและศาสนา
ชุมชนสหกรณ์สังคมนิยมของโรเบิร์ต โอเวน
โรเบิร์ต โอเวน เป็นนักมนุษยนิยมและสังคมนิยม เขาไม่อยากเห็นกรรมกร แรงงานเด็ก และแรงงานหญิงถูกเอาเปรียบ ไม่อยากเห็นผู้ด้อยโอกาสในสังคมถูกกดขี่ เขาจึงพยายามมองหาช่องทางที่จะสร้างระบบการผลิตที่ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
สหกรณ์ชุมชนโรงงานของโอเวนมีหลักปรัชญาในการดำเนินงาน 2 ประการใหญ่ๆ
- 1.สภาพการทำงานของลูกจ้างจะต้องดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
ของลูกจ้าง
- 2.จะต้องไม่มีการขูดรีดแรงงาน
ในแนวคิดและปรัชญาของ อาดัม สมิธ เขาเห็นว่า มูลค่าของผลผลิตคิดได้จากปริมาณแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตนั้น ๆ ปริมาณแรงงานวันได้จากจำนวนเวลาทำงาน เช่น ถ้าผลิตเสื้อ 1 ตัว ใช้เวลาทำงาน 1 วัน ก็หมายความว่า เสื้อตัวนั้นมีมูลค่าจริง (แท้จริง) 1 วันทำงาน ดังนั้น หากการผลิตกางเกง 1 ตัว ใช้เวลา 2 วัน ก็หมายความว่า กางเกง 1 ตัว แลกเสื้อได้ 2 ตัว เป็นต้น
โอเวนได้นำแนวคิดนี้มาทำคูปองแรงงาน หรือ “บัตรแรงงาน” ใครทำงานแผนกไหน ผลิตส่วนไหน ใช้เวลากี่ชั่วโมง “บัตรแรงงาน” ก็จะระบุไว้ เช่น ทำงานแผนกปั่นด้าย วันละ 8 ชั่วโมง เดือนละ 26 วัน ก็ได้บัตรแรงงาน 208 ชั่วโมง
- หลักการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน กลายมาเป็นบรรทัดฐานปกติของระบบการทำงานในองค์กรส่วนใหญ่ไปแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าแนวคิดการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการกำหนดหลักการนี้ก็คือ Robert Owen
- โดยเขาได้ตั้งสโลแกนในการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพไว้ว่า “Eight hours labour, Eight hours recreation, Eight hours rest–ทำงาน 8 ชั่วโมง, สันทนาการ 8 ชั่วโมง, พักผ่อน 8 ชั่วโมง” ซึ่งมันกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานมาจนถึงปัจจุบัน
Charles Babbage
ชาร์ลส์ แบบเบจ
บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
ประวัติ Charles Babbage ชาร์ลส์ แบบเบจ
ค.ศ. 1791-1871
Charles Babbage (26 ธันวาคม 1791 – 18 ตุลาคม 1871) เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญาวิเคราะห์ และเป็นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเขาเป็นคนแรก ที่มีแนวคิดเรื่องเครื่องคำนวณที่สามารถสร้างโปรแกรมหรือสั่งให้ทำงานได้เครื่องในจินตนาการของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาก็เสียชีวิตก่อนที่จะได้เห็นความฝันของเขาเป็นจริง
ปัจจุบันนี้ผลงานของเขาไว้ถูกเก็บและแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ลอนดอน ผลงานนั้นคือเครื่องคำนวณหาผลต่าง (Difference Engine) และเมื่อปี 1991 เครื่องหาผลต่างนี้ถูกสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ตามแบบที่ Babbage ได้ออกแบบไว้ แสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรจากแนวคิดของเขาทำงานได้จริงแล้ว
ในทางคณิตศาสตร์ แบบเบจเน้นศึกษาด้านแคลคูลัสเป็นพิเศษ. ปี ค.ศ. 1816 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fellow ของ Royal Society ปี ค.ศ. 1820 เค้าตั้งชมรมด้านดาราศาสตร์ขึ้น พร้อมๆ กับเริ่มทำงานวิจัยสำคัญของเขาในยุคต้น ที่ทำให้เขาโด่งดังมากคือ Difference Engine (ใช้ Newton's method of successive differences) ในปี ค.ศ. 1828 แบบเบจได้รับแต่งตั้งให้เป็น the Lucasian Chair of Mathematics at Cambridge
ผลงาน : เครื่องคำนวณหาผลต่าง differential machine และเครื่องวิเคราะห์ analytical machine
เครื่องคำนวณหาผลต่างของ Babbage นี้ทำงานโดยอาศัยเครื่องจักรกล (สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้) ประกอบด้วยฟันเฟืองหลาย ๆ ตัวเป็นตัวขับเคลื่อน เครื่องนี้ใช้ในการหาค่าของฟังก์ชันโพลิโนเมียล (Polynomial) ออกมาเป็นเป็นตาราง ซึ่งได้จากการวิเคราะห์ผลต่าง (สามารถหาค่าของฟังก์ชันลอการิทึม (logarithm function) และ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometric function) ได้ด้วยเนื่องจากฟังชันก์ทั้งสองนี้สามารถประมาณค่าโดยฟังก์ชันโพลิโนเมียลได้)
Adam Smith
อดัม สมิธ
Adam Smith อดัม สมิธ
- เกิด: มิถุนายน 2266, เคิร์กคาลดี้, สหราชอาณาจักร
- เสียชีวิตเมื่อ: 17 กรกฎาคม 2333, Panmure House, เอดินเบอระ, สหราชอาณาจักร
- การศึกษา: Kirkcaldy High School (พ.ศ. 2272–พ.ศ. 2280), เพิ่มเติม
- บุตร: เดวิด แอนน์, เซซิเลีย มาร์กาเร็ต
- รางวัล: ภาคีสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน, Fellowship of the Royal Society of Edinburgh
ประวัติและผลงานของ อดัม สมิธ
แนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงหลังของศตวรรษที่ 18 การที่แนวคิดของ อดัม สมิธ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ก็เพราะสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น กล่าวคือ ความเจริญเติบโตของการค้า การประดิษฐ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ซึ่งทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีขึ้น ทำให้คนในสังคมมีความเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถที่จะดูแลผลประโยชน์ของตนเองได้ดีกว่าคนอื่น
แนวคิดคลาสสิกของอดัม สมิธ
- สภาพเศรษฐกิจสังคมที่ทำให้เกิดแนวคิดคลาสสิก
การเติบโตของการค้าและเมือง แนวคิดมนุษยนิยมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีส่วนทำให้เกิดแนวคิดเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก แนวคิดหลักของเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก คือ แนวคิดเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตัว ทฤษฎีมูลค่า ทฤษฎีการกระจายรายได้ และกฎของเซย์
- กำเนิดแนวคิดคลาสสิก
ปัจจัยที่มีส่วนก่อให้เกิดแนวคิดสำนักคลาสสิก ปัจจัยที่สำคัญได้แก่ การเจริญเติบโตของการค้าและเมือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแนวคิดมนุษยนิยม
- แนวคิดหลักของสำนักคลาสสิก
แนวคิดหลักของเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก คือ แนวคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ทฤษฎีมูลค่า ทฤษฏีค่าจ้าง การสะสมทุน ทฤษฎีค่าเช่าและการลดน้อยถอยลงของผลได้ ทฤษฎีกำไร และกฏของเซย์
ปรัชญาทางสังคมและการเมืองของ อดัม สมิธ
ความคิดของ อดัม สมิธ เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวและบทบาทของรัฐ อาจไม่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน เพราะความแตกต่างทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ ของสมาชิกในสังคมหลายสังคม นำไปสู่ความขัดแย้งในด้านผลประโยชน์ จนผลประโยชน์ส่วนตัวไม่สามารถทำงานได้ และรัฐบาลจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นในฐานะเป็นผู้ประสานผลประโยชน์ และคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า
แนวคิดด้านความมั่งคั่งของประเทศ การคลังของรัฐ และการค้าระหว่างประเทศของ อดัม สมิธ
การแบ่งงานกันและสัดส่วนระหว่างจำนวนแรงงานที่ถูกใช้ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งของประเทศ รัฐบาลต้องนำรายได้เพื่อนำมาใช้จ่าย ในการทำหน้าที่ของรัฐบาล แหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐบาลคือภาษี จึงต้องมีหลักในการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสม การค้าระหว่างประเทศ คือการแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศคู่ค้าได้รับประโยชน์
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของ อดัม สมิธ
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ คือ การแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศ ทำให้แต่ละประเทศได้รับประโยชน์มากขึ้น แม้ว่าปัจจัยการผลิตเท่าเดิม เมื่อแต่ละประเทศผลิตสินค้าที่ตนถนัด คือใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ผลิตสินค้าที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุดก็จะผลิตสินค้านั้นได้มาก แล้วนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าของประเทศอื่นก็จะทำให้ได้สินค้ามากกว่าในกรณีที่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ผลิตสินค้าทุกชนิดเอง
แนวคิดเรื่องทฤษฎีมูลค่า และทฤษฎีการกระจายรายได้ของ อดัม สมิธ
1.ต้นทุนการผลิตประกอบด้วยค่าจ้าง กำไร และค่าเช่า เป็นตัวกำหนดมูลค่าของสิ่งของในระยะยาว
2.ค่าจ้างในระยะยาวของแรงงานจะเท่ากับค่าจ้างในระดับพอยังชีพ
3.กำไรในระยะยาวมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากประเทศมีการสะสมทุนมากขึ้น
4.ค่าเช่าเป็นผลตอบแทนหรือกำไรที่เกิดจากการผลิตบนที่ดิน และถูกกำหนดโดยราคาของผลิตผลบนที่ดินนั้น
จุดอ่อนของแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของ อดัม สมิธ
จุดอ่อนอันหนึ่งของแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของสมิธคือการให้ความสำคัญต่อด้านอุปทานมากเกินไปนั้น อดัม สมิธ ให้ความสำคัญต่อด้านอุปทานมากเกินไปนั้น จะเห็นได้จากทฤษฎีสำคัญหลายทฤษฎีของเขา เช่นทฤษฎีมูลค่า ซึ่งอธิบายว่าต้นทุนการผลิตเป็นตัวกำหนดมูลค่าของสิ่งของ โดยมิได้ให้ความสำคัญต่ออุปสงค์ หรือทฤษฎีค่าจ้าง ซึ่งอธิบายว่าค่าจ้างจะถูกกำหนดโดยค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของแรงงาน
ทฤษฎีมูลค่าของ อดัม สมิธ
ทฤษฎีมูลค่าเชิงแรงงานของ อดัม สมิธ มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีมูลค่าเชิงต้นทุนการผลิต ทฤษฎีมูลค่าเชิงแรงงาน จำนวนแรงงานที่ใช้ในการผลิตเป็นตัวกำหนดมูลค่าของสิ่งของ และในกรณีนี้แสดงว่าค่าจ้างเป็นเพียงต้นทุนการผลิตแต่เพียงอย่างเดียว คำอธิบายนี้ใช้ได้ในกรณีที่สังคมยังไม่เจริญ เทคนิคในการผลิตต่ำ แรงงานจึงเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญอย่างเดียว
ทฤษฎีค่าจ้างของ อดัม สมิธ
ทฤษฎีกองทุนค่าจ้างมีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตหรือความมั่งคั่งของประเทศ กองทุนค่าจ้างเกิดจากการสะสมทุนของนายทุน และมีอุปสงค์ต่อแรงงาน ดังนั้นยิ่งมีกองทุนค่าจ้างมากก็มีความต้องการแรงงานมาก ค่าจ้างจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และเมื่อมีการจ้างแรงงานมากก็จะทำให้สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น ทำให้เกิดการเจริญเติบโตและความมั่งคั่งของประเทศ
ทฤษฎีกำไรของ อดัม สมิธ
กำไรเป็นค่าตอบแทนต่อการใช้ทุน และต่อการเสี่ยงของนายทุน ในระยะยาวแล้วกำไรจะมีแนวโน้มลดลง ถ้ากำไรมีแนวโน้มลดลง ระบบเศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะการชะงักงันคือไม่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทางแก้ก็คือ จะต้องหาทางปรับปรุงความรู้ในด้านการผลิตหรือส่งทุนไปต่างประเทศเพื่อให้กำไรสูงขึ้น
ทฤษฎีค่าเช่าของ อดัม สมิธ
ในทรรศนะของ อดัม สมิธ ค่าเช่า คือ ผลตอบแทนต่อค่าใช้ที่ดินที่ผู้เช่าต้องจ่ายให้แก่เจ้าของที่ดินหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการผลิตแล้ว ค่าเช่าจึงถูกกำหนดโดยปริมาณและราคาของผลผลิตในที่ดิน ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์และทำเลของที่ดิน
-
-