Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดการจัดการสมัยใหม่ ( Modern Management ) - Coggle Diagram
แนวคิดการจัดการสมัยใหม่
( Modern Management )
ทฤษฎีวิทยาการจัดการ (Management Science Theory)
เน้นบทบาทของผู้บริหารสำคัญที่การตัดสินใจเป็นหลัก เพราะถ้าผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องด้วยข้อมูลต่าง ๆ จะทำให้องค์การทำงานได้อย่างไม่ผิดพลาด
การนำตัวเลขหรือคณิตศาสตร์เชิงปริมาณมาใช้ประกอบการพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดก่อนการตัดสินใจ
ผู้คิดทฤษฎีนี้คือ เฮอร์เบิร์ก เอ ไซมอน (Herbert A. Simon)
การวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ มีการใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาเก็บรวบรวมข้อมูล
ทฤษฎีระบบ (System theory)
กระบวนการ (Process) เป็นขั้นตอนในการทำงาน รูปแบบกิจกรรมการผลิตเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การอธิบายรายละเอียดของลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติงงาน
ผลผลิต (Output) เป็นส่วนประกอบของระบบองค์การซึ่งเกี่ยวกับสินค้า บริการและผลผลิตอื่น ๆ เช่น ศักยภาพของพนักงานที่พัฒนาขึ้น เป็นต้น และสิ่งอื่นที่ถูกผลิตโดยองค์การ
ปัจจัยนำเข้า คือ ทรัพยากรที่ใส่เข้าไปจะถูกแปรสภาพตามกระบวนการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การปัจจัยนำเข้าคือ 6 Ms ได้ กำลังคน หรือพนักงาน (Manpower) เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ (Machines) วัตถุดิบ (Materials) ตลาด (Markets) ซึ่งก็คือลูกค้าเงินทุน (Money) วิธีการ หรือกระบวนการ (Methods)
การป้อนกลับ (Feedback) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสภาพ และผลลัพธ์เกี่ยวกับกิจกรรมขององค์การ ข้อมูลเหล่านี้ใช้เพื่อปรับปรุงปัจจัยนำเข้าและกระบวนการแปรสภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจมากขึ้นซึ่งการป้อนกลับจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดตามเป้าหมายที่ต้องการ
ผู้ศึกษาทฤษฎีนี้ คือ นอร์เบิร์ต เวียร์เนอร์ (Norbert Wiener)
สภาพแวดล้อม (Environment) หมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกหรือภายในซึ่งมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในองค์การ
ทฤษฏีการบริหารโดยวัตถุประสงค์
(Management by objective)
การมอบหมายงานและหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ผู้ใต้บังคับบัญชางานขั้นนี้เป็นการแจ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับรู้ถึงขอบเขตของอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่และสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ในการทำงานด้วยตัวเอง โดยมอบความไว้วางใจและความเป็นอิสระในการทำงานให้ ทั้งนี้จะต้องชี้แจ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบถึงงานหลักและมาตรฐานงานที่ต้องการ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายรวมขององค์การ โดยผู้บังคับบัญชาพร้อมที่จะให้คำปรึกษาหารือเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาต้องการ
ตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานอย่างมีระบบงานในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบว่า การดำเนินงานที่ได้กำหนดไว้ก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใด และมีสิ่งใดที่ควรปรับปรุงแก้ไขให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้
การกำหนดวัตถุประสงค์และการวางแผน เป็นหลักการสำคัญอันดับแรกคือ การกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การ โดยผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชากำหนดวัตถุประสงค์ร่วมกัน
การประเมินผลงาน เป็นการประเมินผลงานที่เน้นวัตถุประสงค์ และผลงานเป็นสำคัญโดยมีหลักและวิธีการประเมินผลงานที่สำคัญ
ผู้คิดทฤษฏีนี้ คือ ปีเตอร์ เอฟ ดรั๊กเกอร์ (Peter F. Drucker
ทฤษฎี Z (Theory Z)
ขั้นตอนที่ 1 ทำการศึกษาโครงสร้างของระบบการบริหารงานแบบญี่ปุ่น และการบริหาร งานแบบอเมริกัน แล้วนำโครงสร้างทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน เพื่อค้นหาข้อแตกต่างระหว่าง 2 ระบบนี้ เพื่อจะได้ทราบว่า ในระบบอเมริกันยังขาดลักษณะอะไรบ้าง จึงจะทำให้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือเหมือนกับระบบญี่ปุ่น
ขั้นตอนที่ 2 ทำการศึกษาบริษัทที่สำคัญ ๆ ในอเมริกา เพื่อค้นหาว่าจะนำสิ่งที่เรียนรู้อะไรบ้างจากระบบญี่ปุ่นมาใช้ได้แล้วกำหนดแนวทางหรือวิธีการบริหารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันผลการศึกษาพบว่าโครงสร้างทั้งสองระบบไม่แตกต่างกันจึงได้หันมาศึกษาวิธีการบริหารงานของบริษัทต่างๆซึ่งพบว่าทั้งสองระบบมีลักษณะที่แตกต่างกัน
ผู้ศึกษาทฤษฎีนี้คือ วิลเลี่ยม โออุชิ (William G. Ouchi)
ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์
(The contingency theory)
การบริหารเป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิดและยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจและรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม
ผู้บริหารจะต้องพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด
คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงานโดยใช้ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย
การบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เน้นให้ผู้บริหารรู้จักใช้การพิจารณาความแตกต่าง ที่มีอยู่ในหน่วยงาน เช่นความแตกต่างระหว่างบุคคลความแตกต่างระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์วิธีการกระบวนการและการควบคุมงานความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์การ ความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ เป็นต้น
ผู้ที่กำหนดทฤษฎีนี้คือ เฟรด อี ฟีดเลร์ (Fred E. Fieldler)