Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 - Coggle Diagram
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
มาตรา 3 บรรดากฏหมาย กฏ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งอื่นในส่วนที่ได้บัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
การประกันคุณภาพการศึกษาภานใน หมายความว่า การประเมินผลและติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดยหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่ในการกำหับดูแลสถานศึกษานั้น
การประกันคุณภาพภายนอก หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา หรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษษของสถานศึกษา
ผู้สอน หมายความว่า ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่างๆ
ครู หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าหลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
คณาจารย์ หมายความว่าบุคลากรซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีของรัฐและเอกชน
ผู้บริหารสถานศึกษา หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน
ผู้บริหารการศึกษา หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาแต่ละแห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน
บุคลากรทางการศึกษา หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมทั้งผู้สันบสนุนกรศึกษาซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ
มาตรฐานการศึกษา หมายความว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพ ที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็ฯหลักในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพทางการศึกษา
สถานศึกษา หมายความว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอำนาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา
การศึกษาตลอดชีวิต หมายความว่า การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง
กระทรวง หมายความว่า กระทรวงศึกษาธิการ
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
การศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายความว่า การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา
การศึกษา หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจรฺิญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฏกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
หมวด 1 บททั่วไป ความมุ่งหมายและหลักการ
มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลุกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบบประชาธิไตย รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฏหมาย ความเสมอภาค และศักดิืศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวามทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมปัญญา และความรู้สากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความคิดริเริ่มร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
มาตรา 8 การศึกษายึดหลักดังนี้
ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร้างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
มาตรา 9 การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลัก ดังนี้
มีการกระจายอำนาจไปสู่เขต สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในทางปฏิบัติ
มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
มาตรา 13 บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีสิทธิประโยชน์ ดังนี้
เงินอุดหนุนจากรัฐสำหรับหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูลที่ครอบครัวจัดให้
การลดหย่อนหรือการยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาที่กฏหมายกำหนด
การสนับสนุนจากรัฐ ให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดู และการให้การศึกษาแก่บุตร หรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล
มาตรา 14 บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถานประกอบการ และสถานบันสังคมอื่น มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้
เงินอุดหนุนจากรัฐสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การลดหย่อนภาษีหรือการยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฏหมายกำหนด
การสนับสนุนจากรัฐ ให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดู บุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบ
มาตรา 12 นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถานประกอบการ และสถานบันสังคมอื่น มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นไปตามที่กำหนดในกฏกระทรวง
มาตรา 11 บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรได้รับการศึกษาภาคบังคับ และตลดจนให้ได้รับการศึกษานอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับตามความพร้อมของครอบครัว
มาตรา 10 การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันมนการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาให้แก่บุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียน หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองๆได้ ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธฺิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ โดยต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสม และต้องคำนึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น
หมวด 6 มาตราฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
มาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก ให้มีการประเมินภายนอกอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกห้าปี
มาตรา 50 ให้สถานศึกษารวบรวบข้อมูลที่เกี่ยวข้อวกับการดำเนินงานของสถานศึกษา ตามคำรองขอของ สมศ.
มาตรา 48 ให้มีการประกันภายในสถานศึกษา โดยมีการจัดทำรายงานรายปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด
มาตรา 51 กรณีที่ผลการประเมินภายนอกไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ให้ สมศ. ทำข้อเสนอแนะปรับปรุงต่อหน่วยงานต้นสังกัด หากมืได้กระทำตามให้ สมศ. รายงานต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาตรา 47 ให้มีระบบประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วยการประกันภายใน และภายนอก
หมวด 5 การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ
ส่วนที่ 1 การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ
มาตรา 35 องค์ประกอบของคณะกรรมการตามมาตร 34 ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และผู้ทรงคุณวุฒิ
มาตรา 36 สถานศึกษาสามารถดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็ฯของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา
มาตรา 34 คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนามาตรฐานและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหน้าที่พิจารณาเสนอแผนนโยบาย แผนพัฒนา มาตรฐานและหลักสูตรการอาชีวศึกษาทุกระดับ การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา โดยคำนึงคุณภาพและความเป็นเลิศด้านวิชาชีพ
คณะกรรมการการอุดมศึกษา มีหน้าที่พิจารณาเสนอแผนนโยบาย แผนพัฒนา มาตรฐานการอุดมศึกษา การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระ และความเป็นเลิศทางวิชาการของสถานศึกษา
มาตรา 37 การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษา แต่ถ้าหากไม่สามารถบริหารจัดการได้ กระทรวงอาจจะมีการจัดให้ดังต่อไปนี้
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ
การจัดการศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาที่ให้บริการในหลายเขตพื้นที่การศึกษา
มาตรา 33 สภาการศึกษามีหน้าที่
พิจารณาเสนอนโยบายและแผนในการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
ดำเนินการประเมินผลการจัดการศึกษา
พิจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา
ให้ความเห็นหรือคำแนะนำเกี่ยวกับกฏหมายและกฏกระทรวง
พิจารณาเสนอแผนการศึกษา
มาตรา 38 คณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอำนาจในการกำกับดูแล จัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษา ประสานงาน ส่งเสริมสับสนุนการศึกษา
มาตรา 32 การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงมีองค์กรหลัก 4 องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น้ฐาน คณะกรรมการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการอุดมศึกษา
มาตรา 39 กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไปไปยังคณะกรรมการ และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาโดยตรง
มาตรา 31 กระทรวงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม กำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนุบสนุนทรัพยากรทางการศึกษา ส่งเสริมประสานงานการศาสนา ศิละปะ วัฒนธรรม รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา
มาตรา 40 ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา และสถานศึกษาอาชีวศึกษาของแต่ละสถานศึกษาเพื่อทำหน้าที่กำกับ และส่งเสริมสับสนุนกิจการของสถานศึกษา
ส่วนที่ 2 การบริหารและการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มาตรา 41 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิในการจัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อม ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่น
มาตรา 42 ให้กระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประสานงานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา
ส่วนที่ 3 การบริและการจัดการศึกษาของเอกชน
มาตรา 43 การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชนให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกำกับติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ
มาตรา 44 ให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล และมีคณะกรรมการบริหารประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้รับใบอนุญาต ผู้แทนการปกครอง ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนครู ผู้แทนศิษย์เก่า และผู้ทรงคุณวุฒิ
มาตรา 45 สถานศึกษาเอกชนสามารถจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภท
มาตรา 46 รัฐต้องให้การสนับสนุนด้านเงินอุดหนุน การลดหย่อนภาษีหรือการยกเว้นภาษี
หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา
มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจราณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่กันไป
มาตรา 27 ให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดหลักสูตรแกนกลางทางการศึกษา และสถานศึกษาขั้นพื้นบานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์
มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ
มาตรา 28 หลักสูตรการศึกษาระดับต่างๆ ต้องเหมาะสมตามแต่ละระดับโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ
หลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องพัฒนาวิชาการ วิชาชีพขั้นสูง และค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาสังคม
สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องพัฒนาให้สมดุลทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ฝึกทักษะ กระบวนการคิด กาจัดการ การประยุกต์ใช้ความรู้
จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานความรู้ต่างๆอย่างสมดุล ปลูกฝังค่านิยมคุณธรรม
ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดสภาพแวกล้อมในห้องเรียน บรรยากาศ สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน
จัดเนื้อหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความต้องการของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาทุกสถานที่
มาตรา 29 ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการจัดกรศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญา และวิทยาการต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชน และสับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาชุมชน
มาตรา 23 การจัดการศึกษาต้องเน้นความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม
ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิละปะวัฒนธรรม และด้านภาษา
ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา
ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ
ความรู้เกี่ยวกับตนเอง และควมสัมพันธ์กับสังคม
มาตรา 30 สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งกรส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา
มาตรา 22 ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
หมวด 8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
มาตรา 61 ให้รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ตามความเหมาะสมและจำเป็น
มาตรา 62 ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษา
มาตรา 60 รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษา
จัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป
จัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำให้สถานศึกษาเอกชน
จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของรัฐและเอกชน
จัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการ และงบลงทุนให้สถานศึกษาของรัฐตามแผนนโยบาย และภาระกิจของสถานศึกษา
จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษให้เหมาะสม
จัดสรรทุนการศึกษาในรูปแบบของกองทุนกู้ยืมเงิน
จัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เเหมาะสมแก่ผู้เรียน
มาตรา 59 สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล มีอำนาจในการปกครอง ดูแลบำรุงรักษา ใช้ และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางการศึกษา ทั้งที่เป็นราชพัสดุ และทรัพย์สินอื่น
มาตรา 58 มีการระดมทรพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สินทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน และสถาบันสังคมอื่นมาจัดการศึกษา
หมวด 7ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
มาตรา 56 การผลิตและพัฒนาคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา การพัฒนามาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ และการบริหารงานบุคคลของข้าราชการและพนังงานของรัฐเป็นนิติบุคคล
มาตรา 57 ให้หน่วยงานทางการศึกษาระดมทรพยากรบุคคลในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษษโดยนำความรู็ ประสบการณ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษา
มาตรา 55 ให้มีกฏหมายว่าด้วยเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และมีกองทุนส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
มาตรา 54 ให้มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยยึดหลัการกระจายอำนาจบริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา
มาตรา 53 องค์กรวิชาชีครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาเป็นองค์กรอิสระภายใต้การบริหารขแงสภาวิชาชีพ มีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออก และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแลการปฎิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณ และการพัฒนาวิชาชีพ
มาตรา 52 มีการส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทา
งการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็ฯวิชาชีพชั้นสูง
หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มาตรา 67 รัฐส่งเสริมการวิจัย พัฒนา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้
มาตรา 66 ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มาตรา 65 มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐ
มาตรา 64 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีการศึกษาอื่น
มาตรา 69 รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริมและประสานงานวิจัย การพัฒนาการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยี
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปแบบอื่น
หมวดที่ 3 ระบบการศึกษา
มาตรา 17 ให้การศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก
มาตรา 18 การจัดการศึกษาปฐมวัย และการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้จัดในสถานที่ต่อไปนี้
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
โรงเรียน
ศูนย์การเรียน
มาตรา 16 การจัดการศึกษาในระบบมีสองระดับ
การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา
การศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีสองระดับ
ระดับต่ำกว่าปริญญา
ระดับปริญญา
มาตรา 19 การจัดการศึกษษระดับอุดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออื่น
มาตรา 20 การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ เอกชน สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ
มาตรา 15 การจัดการศึกษา 3 รูปแบบ
การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่ยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมายรูปแบบ วิธีการสอน ระยะเวลาการศึกษา การวัดและประเมินผล ที่เป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาแน่นอน โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบคคลแต่ละกลุ่ม
การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อหรือแหล่งความรู้อื่นๆ
การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตรระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ที่เป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาแน่นอน
มาตรา 21 กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษษเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานนั้น โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ