Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคจิตเภท (Schizophrenia) - Coggle Diagram
โรคจิตเภท (Schizophrenia)
อาการด้านบวก
ความรู้ที่บุคคลรอบข้างควรปฏิบัติต่อผู้ป่วย
บุคคลรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว บุคคลใกล้ชิด สังเกตอาการ พูดคุยแบบเปิดใจ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับรู้มุมมองที่แตกต่างออกไปและช่วยลดความเครียดได้
ทําความเข้าใจความรู้สึก
ไม่ควรมองว่าภาวะที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยไร้เหตุผล
ทำความเข้าใจอารมณ์ละความรู้สึกของผู้ป่วย
ช่วยเหลือเต็มที่
หากผู้ป่วยไม่ต้องการไปหาหมอก็ไม่ควรฝืนบังคับ
เคารพการตัดสินใจ
ไม่ตัดสินใจแทนผู้ป่วยควรให้ผู้ป่วยได้คิดและตัดสินใจเอง
แนะนำสายด่วนหากผู้ป่วยไม่พูดคุยเปิดใจผู้ใกล้ชิดอาจ
ความผิดปกติของพฤติกรรม (behavioral disorganization)
ต่อคนรอบข้าง
การพยาบาล
ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
แบบประเมิน SAFE-D
ดูแลให้ผู้ป่วยสวมเสื้อ SAFE และติดป้ายชื่อที่มีสัญลักษณ์สีแดงในช่อง A
พยาบาล/ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการสับสน มึนงงมาก สามารถผูกมัดได้
ลงบันทึกการสังเกต/การเยี่ยมผู้ป่วย
การพยาบาล
ติดสัญญาณเรียกไว้ที่เตียง
ดูแลใกล้ชิด ให้ผู้ป่วยอยู่ในสายตาตลอด
หากมีปัญหาในการทรงตัว จัดหาอุปกรณ์ช่วยเดิน มีเจ้าหน้าที่ช่วยประคอง
มีปัญหาการได้ยิน ญาตินำเครื่องช่วยฟังมาให้
ช่วยดูแลกิจวัตร งดการอาบน้ำตามลำพัง
แนะนำผู้ป่วยให้ค่อยๆ เปลี่ยนท่าเพราะอาจเกิดหน้ามืด
ดูแลให้ได้รับยาทางจิตเวช
กรณีที่ได้ยาฉีด
แนะนำให้ผู้ป่วยพัก ประมาณ 30-60 นาทีหรือ
จนกว่าจะประเมินได้ว่าเดินได้โดยปลอดภัย
รายงานแพทย์ ถ้ามีฤทธิ์ข้างเคียงจากยามาก
กรณีที่รักษาด้วยไฟฟ้า
หลังทำจะมีอาการสับสน
ช่วยทำกิจวัตรทั้งหมด จนกว่าประเมินแล้วไม่มีความเสี่ยง
จัดสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัย
เป็นพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปจากปกติ
ร้องตะโกนโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น
จะมีพฤติกรรมวุ่นวาย พลุ่กพล่าน กระวนกระวาย
ไม่ใส่ใจตนเอง มีการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม สกปรก
การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่กำลังกระทำอยู่โดยที่การกระทำนั้นยังไม่สิ้นสุด
อาการหลงผิด (delusion
)
ประเมินพฤติกรรมการทำร้ายตนเองและบุคคลรอบข้าง
ใช้แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง OAS
การพยาบาล
แสดงการยอมรับอาการ โดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าไม่เป็นความจริง
ไม่แสดงกิริยาที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความสงสัยหรือไม่มั่นใจ
การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยรักษาคำพูดให้ข้อมูลอย่างชัดเจน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ยอมรับผู้ป่วยโดยการเรียกชื่อให้ถูกต้อง รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
ประเมินอาการหวาดระแวงทุกครั้งที่มารับบริการ
สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว
ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย
bizarre delusion
เป็นความหลงผิดที่แปลกประหลาด เช่น เชื่อว่าตนสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้
erotomanic delusion
เป็นความหลงผิดว่ามีคนมาหลงรักตนและมักเป็นคนที่มีสถานภาพสูงกว่า
jealous delusion
เป็นความหลงผิดว่าคู่ครองนอกใจ
grandiose delusion
เป็นความหลงผิดคิดว่าตนเองมีความสำคัญ
อาการประสาทหลอน (hallucination)
1.auditory hallucination มีหูแว่วได้ยินเสียงจากภายนอกอาจเป็นเสียงรูปแบบต่างๆหรือเสียงคนคุยกัน
2.visual hallucination มีภาพหลอนโดยอาจเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรืออย่างอื่น
3.olfactory hallucination ได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นไหม้
4.gustatory hallucination รู้สึกว่าลิ้นได้รับรสแปลกๆ เช่น รสโลหะ
5.tactile hallucination มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ตามตัว หรือรู้สึกแปลกๆตามผิวหนัง
การรักษา
การรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์
วิธีนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการประสาทหลอนมาจากสภาวะทางจิตใจการได้พูดคุยกับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญได้ดี ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยผู้ป่วยพัฒนากลยุทธ์การรับมือกับอาการประสาทหลอนได้
การใช้ยารักษา
การรักษาอาการประสาทหลอนขึ้นอยู่กับสาเหตุทั้งหมดของผู้ป่วย เช่น หากผู้ป่วยมีอาการประสาทหลอนจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก แพทย์จะให้ยาที่ลดอาการประสาทหลอนลง
การส่งเสริมผู้ป่วยให้มีการรับรู้ตามความเป็นจริง
ประเมินอาการประสาทหลอนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยว่าเกี่ยวข้องกับระบบรับสัมผัสใด
หากพบอาการกำลังแสดงประสาทหลอน ควรบอกสิ่งที่เป็น จริงกับผู้ป่วยขณะนั้น
แสดงการยอมรับอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยการรับฟังและไม่ โต้แย้ง
หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยจะมีแนวโน้ม ตีความหรือการรับรู้ผิด
เรียกชื่อผู้ป่วยให้ชัดเจนใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล และกระตุ้นให้ ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
การพูดแบบไม่มีระเบียบแบบแผน (disorganized speech)
พูดไม่ต่อเนื่อง เช่น พูดรัวเร็ว พูดแล้วหยุดชะงัก พูดอ้อมค้อม
การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคจิตเภท
ด้านการสื่อสาร
โดยพูดกับผู้ป่วยอย่างไพเราะ ไม่ตำหนิไม่ขู่
ฝึกการสื่อสารเพื่อรับยา
การตอบสนองต่อท่าทางของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
เวลาลูกไม่อาบน้ำ บอกว่าใครมาบ้านจะเหม็นสาบ
ถ้าลูกฮึดฮัด โต้เถียง แม่บอกว่า ขอโทษ
เตือนผู้ป่วยให้กินยาโดยใช้คำพูดว่า กินยาหรือยังลูก
เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เอื้ออาทร
คนป่วยทำผิดอย่าตำหนินิ่งเสีย หายโมโหค่อยบอก
ขอสัญญาว่าต่อไปจะปฏิบัติตัวอย่างไรแทนการตำหนิผู้ป่วย
จะเอาอะไรให้บอก สอบถามให้ผู้ป่วยพูดปัญหา
ให้ขอความช่วยเหลือ โดยการเสนอตัวให้ความช่วยเหลือสม่ำเสมอ
นอนหลับมั้ย/ เครียดมั้ย/ อยู่ว่างๆ เบื่อมั้ย/ลูกตื่นได้แล้ว สายแล้ว
กิจกรรมการพยาบาลผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสร้างสัมพันธ์ภาพ
สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (one to one relationship) โดยเน้นการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อถือ ทุกครั้งที่พบกับผู้ป่วย
2.ยอมรับผู้ป่วยโดยการเรียกชื่อให้ถูกต้อง รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ ไม่หัวเราะในพฤติกรรมผู้ป่วย
3.การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยรักษาคำพูดให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการจ้องมอง
4.แสดงการยอมรับอาการประสาทหลอน หรือหวาดระแวงของผู้ป่วยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าไม่เป็นความจริง แต่แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งได้โดยใช้เทคนิคการให้ความจริง (presenting reality) ในขณะการสนทนา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจว่าความคิดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นและหวาดระแวงน้อยลง
5.ไม่แสดงกิริยาที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความสงสัยหรือไม่มั่นใจ ระมัดระวังการกระซิบต่อหน้าผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทา หรือระแวง
การปฏิบัติการพยาบาลในการส่งเสริมการสื่อสาร
3.พยาบาลต้องนำเทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดมาใช้ เช่น ในกรณีที่พูดหลายเรื่องพยาบาลควรให้ผู้ป่วยหยุดพูดเป็นครั้งคราว และกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้อธิบายสิ่งที่เขาพูดไปกรณีผู้ป่วยไม่พูดหรือไม่โต้ตอบ พยาบาลควรใช้การตีความหรือการคาดเดาจากภาษาท่าทางของผู้ป่วย และกระตุ้นุ้ป่วยโดยการวิเคราะห์ความรู้สึกของผู้ป่วย
4.เมื่อสัมพันธภาพดำเนินมาสักระยะ พยาบาลควรชักชวนผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งกิจกรรมระยะแรกควรเป็นกิจกรรมที่ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว มีสมาชิกลุ่มไม่มากเกินไป กระตุ้นให้ผู้ป่วยสื่อสารมากขึ้น และพยาบาลควรร่วมกิจกรรมกลุ่มพร้อมผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอบอุ่นสบายใจเมื่อเห็นคนที่คุ้นเคย
2.พยาบาลควรสร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ จัดเวลาเข้าไปพบและพูดคุยกับผู้ป่วยสม่ำเสมอ ถึงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับและยังเป็นที่ต้องการของผู้อื่น พยาบาลควรสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างชัดเจน เช่นสื่อสารกับผู้ป่วยด้วยประโยคสั้นๆเข้าใจง่าย
5.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยกระตุ้นให้ ผู้ป่วยทำกิจกรรมกับสมาชิกอื่นที่ผู้ป่วยพอใจ และพยาบาลควรให้กำลังใจหรือแรงเสริมเมื่อเห็นผู้ป่วยในกิจกรรม
1.พยาบาลควรประเมินลักษณะการสื่อสารของผู้ป่วยว่ามีความบกพร่องอย่างไร เช่น พูดหลายเรื่องผสมกันจนคนฟังไม่เข้าใจ
6.พยาบาลต้องตระหนักว่า พฤติกรรมแยกตัว ชอบอยู่คนเดียว
การออกเสียง เช่น พูดตะกุกตะกัก พูดติดอ่าง พูดไม่ชัด
พูดในลักษณะที่หัวข้อวลีหรือประโยคที่กล่าวออกมาไม่สัมพันธ์กัน
อาการหวาดระแวง (Paranoid)
ความหมาย
ภาวะผิดปกติทางความคิดที่ทำให้เคลือบแคลงสงสัยหรือระแวงผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีคนจ้องทำร้ายอยู่ตลอดเวลา
การจำแนกความหวาดระแวง
โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)แบ่งได้ตามลักษณะความคิด
Erotomanic type
Persecutory type,
Somatic type
Grandiose type
Jealous type
โรคจิตเภทชนิดหวานระแวง (Schizophrenia : paranoid)
บุคลิกภาพผิดปกติชนิดหวาดระแวง
บุคลิกภาพที่ไม่ไว้วางใจผู้อื่น
สัมพันธภาพกับผู้อื่นไม่ดี
ไม่มีเพื่อนสนิท
หลงผิดและประสาทหลอน
กลุ่มอาการหลงผิดที่มีสาเหตุทางกาย
ประเมินอาการหวาดระแวงจากการทำร้ายตัวเองและบุคคลรอบข้าง
ลักษณะของความหวาดระแวง
ไวต่อการกระตุ้นและระมัดระวังตัวมาก
มีอารมณ์ก้าวร้าว ผลุนผลันและรุนแรง
ไม่ยืดหยุ่น ไม่สนใจต่อเหตุผลของผู้อื่น
ใช้กลไกทางจิตแบบ Denial และ Projection
ปฏิเสธการมีสัมพันธ์กับผู้อื่น มองผู้อื่นในแง่ร้าย
มักมีความคิดหลงผิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ (Grandeur idea delusion) ร่วมด้วย
มีความคิดสงสัย ไม่แน่ใจ คอยสังเกตพฤติกรรมและการกระทำของคนอื่น
8.มักมีอาหารประสาทหลอนทางหู (Auditory hallucination) ร่วมด้วย
สามารถให้การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยลดความหวาดระแวงลง
3.ผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวงในบางสิ่ง การให้ความจริงกับผู้ป่วยจะกระทำได้ต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยรับได้ การให้เหตุผลเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยอาจไม่เชื่อถือ พยาบาลอาจจะต้องแสดงพฤติกรรมให้ผู้ป่วยแน่ใจด้วย
ให้ผู้ป่วยมีกิจกรรม ลดเวลาที่ผู้ป่วยอยู่คนเดียว ซึ่งอาจทำให้มีความคิดหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเดิม ๆ
2.สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (One to one relationship) โดยเน้นการสร้างความวางใจและความเชื่อถือ
ผู้ป่วยหวาดระแวง มักจะมีความโกรธ ก้าวร้าวควบคู่ไปด้วยเสมอ ควรใช้วิธี โอนอ่อนผ่อนปรนอดทนในสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออก และให้ผู้ป่ายทำกิจกรรมที่ระบายความก้าวร้าว
1.ยอมรับในพฤติกรรมหวาดระแวง ไม่โต้แย้ง ต่อต้าน และประเมินระดับความรุนแรงของอาการ
ผู้ป่วยหวาดระแวงจะมีความเคลือบแคลงสงสัย พยาบาลต้องคอยสังเกตและระมัดระวังการก่อความวุ่นวาย การทำร้ายผู้อื่นและถ้าผู้ป่วยสามารถข้าร่วมกิจกรรมได้ ควรชมเชยเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจ และภาคภูมิใจในตัวเอง
การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผย จริงใจ รักษาคำพูด ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาหลีกเลี่ยงการมองเห็นจ้อง หรือระมัดระวังการกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทาให้ร้ายหรือระแวง
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตเวชเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอิสระได้
การบำบัดมุ่งเน้นการปรับตัวต่อความเจ็บป่วย และการสามารถทำหน้าที่/มีคุณค่าในการดำรงชีวิตประจำวัน
คำนึงแหล่งสนับสนุนหรือการประคับประคองทุกรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคจิตเภท
การค้นหาและเสริมศักยภาพที่เป็นกลไกแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรมชาติของผู้ป่วยโรคจิตเภท
การให้ความสำคัญกับครอบครัวในการเข้าร่วมกระบวนการรักษา
การสร้างความจริงใจ สัมพันธภาพ และความเห็นอกเห็นใจ
Giving General lead
Reflecting
Using Broad Opening Statement
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตสังคมมีความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทแต่ละราย
มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของโรคโดยเฉพาะสาเหตุความผิดปกติของการทำงานของสมอง
สามารถประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดต่างๆ
กระตุ้นและส่งเสริมพลังอำนาจ การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยโรคจิตเภท ครอบครัวและชุมชน
สาเหตุ
ภาวะกังวลใจและอาการซึมเศร้า
อาจเคยมีอาการภาพหลอนเกิดขึ้นโดยปกติจะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ หรือระยะเวลาที่เกิดขึ้นของอาการมีความเกี่ยวข้องกับภาวะอารมณ์เเละความรู้สึกผู้ป่วยในช่วงเวลาหนึ่ง
ภาวะถอนพิษสุรา
เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาพหลอนเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในคนผู้ที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับภาวะถอนพิษสุราขั้นรุนเเรงที่ทำให้เกิดอาการเพ้อได้
โรคจิตเภท
เกิดจากความผิดปกติทางจิตที่ทำให้คนไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง
โรคเกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัส
ผู้ที่เคยมีอาการหูเเว่วหรือเห็นภาพผิดปกติอาจเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับภาวะหลอนประสาทซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสมองและระบบประสาทสัมผัสที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นหรือการได้ยินเสียงที่ส่งข้อมูลไปประมวลผลที่สมอง
การใช้ยา
เกิดจากการใช้ยาที่เรียกว่า ยาหลอนประสาททำให้เกิดภาพหลอนขึ้น โดยจะเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของสมองและทำให้เกิดการประมวลผลเกิดความคิดที่ผิดปกติ
สาเหตุอื่นๆ
ในบางกรณีอาการเห็นภาพหลอนอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือการใช้ยาที่เข้าไปกระตุ้นทำให้เกิดภาวะประสาทหลอนได้