Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้สูงอายุเพศ หญิง อายุ 81 ปี, ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับน้อย,…
ผู้สูงอายุเพศ หญิง อายุ 81 ปี
ข้อมูลผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุชื่อ นางจิตรประภา มั่นคั่ง อายุ 81 ปี เพศ หญิง สถานภาพสมรส หม้าย
สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ อาชีพ ผู้สูงอายุ
ระดับการศึกษา ปวส. มหาวิทยาลัยบูรพา รายได้ บุตรมอบเงินให้ 30,000 บาท/เดือน
ภูมิลำเนาเดิม จังหวัดชลบุรี ที่อยู่ปัจจุบัน 195/1 ถนนสุขุมวิท ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพผู้สูงอายุ
โรคประจำตัวและการรักษา โรคเบาหวาน(Diabetes mellitus: DM) : เข้ารับการรักษาคลินิกหมอชัชวาลศรีราชา) และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension: HT) และโรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia: DLP) เข้ารับการรักษาและรับยาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลพระราม 9
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต : มีประวัติการผ่าตัดทางหน้าท้องเนื่องจากภาวะท้องนอกมดลูก เกิดอุบัติเหตุหกล้มภายในบ้าน มีประวัติแพ้ยา Penicillin มีผื่นคันขึ้นบริเวณใบหน้า และให้ประวัติแพ้ นมวัว รับประทานแล้วมีอาการท้องเสีย
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : ไม่มีข้อมูล
ข้อมูลเกี่ยวกับแผนสุขภาพ
แบบแผนการขับถ่าย
เคยมีอาการท้องผูก ใช้ยามา Magesto-F ในการช่วยย่อยอาหารและใช้ยาสมุนไพรมะขามแขก โดยจะรับประทานก่อนเข้านอน 1 เม็ด
ผู้สูงอายุขับถ่ายปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง มีสีเหลืองปกติ ไม่มีอาการแสบขัด เริ่มมีปัสสาวะราดเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
ขับถ่ายอุจจาระ 1-2 ครั้ง/วัน เป็นประจำ ลักษณะเป็นก้อนปกติ
ผลการประเมินโดยการใช้แบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ แปลผล มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่รุนแรงน้อย
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ
ผู้สูงอายุบอกว่าแพ้นมวัว และรับประทานเครื่องดื่มทำจากแป้งธัญพืชทุกเช้ามาเป็นเวลา 10 ปี โดยจะมีถั่ว 7 ชนิด ผสมกับข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต และข้าวสาลี ต้มรวมกัน นำไปบดใส่ถุงแล้วแช่แข็งทิ้งไว้ จากนั้นนำมาผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว รับประทานคู่กับแครอทและฟักทองอย่างละ 10 ชิ้น แล้วตามด้วยกาแฟ 1 แก้ว
ผู้สูงอายุซื้ออาหารถุงรับประทานบ้าง แต่ส่วนมากจะประกอบอาหารเองโดยมีผู้ดูแลช่วยในการประกอบอาหาร
รับประทานวันละ 3 มื้อ มื้อเช้าเวลา 09.00 น. – 10.00 น. มื้อกลางวันเวลา 14.00 น. และมื้อเย็นเวลา 18.00 น
รับประทานได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากต้องรับประทานอาหารรสจืดเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้มีความรู้สึกอยากอาหารลดน้อยลง
ดื่มน้ำอุ่นผสมคอลลาเจนทุกวันหลังตื่นนอน และดื่มน้ำในปริมาณ 1500-2000 ซีซีในแต่ละวัน
ผลการประเมินโดยใช้แบบประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment: MNA) ได้ 11 คะแนน แปลผล มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
แบบแผนการพักผ่อนและการนอนหลับ
ปกตินอนหลับวันละ 8-9 ชั่วโมง (นอนตอน 24:00 น. ตื่น 9:00-10:00 น)
ผู้สูงอายุบอกว่าตนเองนอนหลับยาก ปกติหลังรับประทานอาหารเย็นจะขึ้นชั้น 2 ดูทีวีตลอด จะลงมานอนชั้น 1 ประมาณ 23.00 น. เริ่มนอนหลับ 00.00 น. แต่ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางดึก ช่วง 03.00 น. ให้ประวัติว่าใช้ยานอนหลับที่ลูกสาวนำมาให้
ผู้สูงอายุสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อนเข้านอน
มีความรู้เกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิร่างกายขณะนอนหลับ คือ ใส่เสื้อคลุม ถุงเท้า ผ้าพันคอ ห่มผ้านวม ให้รู้สึกอุ่น เปิดแอร์อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส
คะแนนประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) = 10 คะแนน ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี
แบบแผนการรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ
หากมีการเจ็บป่วยเล็กน้อยจะใช้สถานบริการสุขภาพแถวบ้าน และหากเกิดภาวะฉุกเฉินจะเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งผู้สูงอายุจะเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเองโดยการขับรถยนต์ส่วนตัว
ผู้สูงอายุให้ประวัติแพ้ยานมวัวและแพ้ยา Penicillin
ผู้สูงอายุมีการรับรู้สภาวะสุขภาพของตัวเอง ว่ามีโรคประจำตัวได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องที่แหล่งบริการสุขภาพ 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระราม 9, คลินิกหมอชัชวาล (ศรีราชา) และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา
แบบแผนสติปัญญาและการรับรู้
ผู้สูงอายุมีระดับการศึกษา ปวส. มหาวิทยาลัยบูรพา เคยประกอบอาชีพครู ผู้รับเหมา และนักบัญชี
การมองเห็น : ใส่แว่นบางครั้ง เช่น ตอนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ แต่เมื่อถอดแว่นก็สามารถมองเห็นสิ่งอื่นๆ ได้ชัด
การได้ยิน : ทำการทดสอบการได้ยินโดยการให้ผู้สูงอายุถูนิ้วห่างจากหูประมาณ 1 นิ้ว ผู้สูงอายุได้ยินเสียงดังทั้งสองข้างเท่ากัน
การรับสัมผัส/ความสุขสบาย : เมื่อก่อนผู้สูงอายุมักจะปวดแขนและไหล่ ต้องให้ผู้ดูแลบีบนวดน้ำมันทุกคืน ช่วงหลังผู้สูงอายุออกกำลังกายเป็นประจำ จึงปฏิเสธการปวดและชาบริเวณร่างกาย
ความจำ : สามารถเล่าเรื่องในอดีตได้แต่มีหลงๆลืมๆบ้าง เช่น ลืมชื่อยาที่รับประทาน คือยาระบายที่ใช้ประจำ (มะขามแขก)
ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุผู้สูงอายุปกติ เรียนระดับสูงกว่าประถมศึกษา มีคะแนนมากกว่าจุดตัด คือ คะแนนรวม 25 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมจากเครื่องมือนี้
ผลการประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depress Scale: TGDS)
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลการประเมิน มีคะแนน = 4 คะแนน ประเมินผล คือ ปกติ
แบบแผนการรับรู้ตนเองและอัตมโนทัศน์
ความรู้สึกผิดปกติของตนเองที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย : ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย คิดว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ และพยายามปล่อยวาง
ความรู้สึกต่อตนเองในด้านต่าง ๆ : เป็นคนมั่นใจในตนเอง เป็นคนดุ คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิต และมีลูกๆดูแล สามารถพอทำอะไรได้หลายๆอย่าง
วิธีการเผชิญและแก้ไขปัญหา : ผู้สูงอายุมีแบบแผนการเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ถ้าแก้ปัญหานั้นไม่ได้จะปล่อยวาง
แบบแผนบทบาทและสัมพันธภาพ
สัมพันธภาพในครอบครัว : ผู้สูงอายุอาศัยอยู่ในบ้านตนเองกับผู้ดูแล (รับจ้าง 1 คน) ลูกสาวคนที่ 2 ทำงานอยู่เยอรมัน ส่วนลูกๆ คนอื่นแต่งงานย้ายออกไปอยู่กับครอบครัว แต่ลูกๆ มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้สูงอายุ ในบ้านมีกล้องวงจรปิดที่สามารถใช้สื่อสารได้ จึงมีการสื่อสารและสนทนากับลูกๆ ทุกวัน
การเปลี่ยนแปลงบทบาทและสัมพันธภาพในครอบครัวเมื่อเจ็บป่วย : ผู้สูงอายุเป็นคนเข้มแข็ง เป็นหม้ายมา 4 ปี สามีเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด หลังจากนอนติดเตียงเป็นเวลา 10 ปี ด้วย stroke มีลูกสาว 4 คน ลูกคนที่ 2 ทำงานอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ส่วนคนอื่นๆ แต่งงานและย้ายออกไปอยู่กับครอบครัว รายได้แต่ละเดือนได้รับจากลูกอย่างเพียงพอ อยู่บ้านเดิมกับผู้ดูแล ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนเดิมที่เคยดูแลสามีมาก่อน เมื่อต้องไปโรงพยาบาล ถ้าเป็นโรงพยาบาลพระราม 9 ลูกจะเรียกรถแท็กซี่มารับที่บ้าน แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลใกล้บ้านจะขับรถยนต์ไปเอง
บทบาทในครอบครัว : ผู้สูงอายุเป็นเจ้าบ้าน มีผู้ดูแลเป็นผู้อาศัย
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
10.2 วิธีการเผชิญและแก้ไขความเครียด
เมื่อรู้สึกเครียดจะมีการออกกำลังกาย ปฏิบัติธรรม อ่านหนังสือเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ
10.3 บุคคลที่คอยให้ความช่วยเหลือ
ถ้ามีปัญหาจะแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่ถ้าแก้ปัญหานั้นไม่ได้จะปล่อยวาง
10.1 ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด ไม่ค่อยมีความเครียดหรือวิตกกังวล
ผลการประเมินตามแบบประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-๕) ผลการประเมิน มีคะแนน = 3 คะแนน ประเมินผล คือ เครียดน้อย
แบบแผนค่านิยมและความเชื่อ
11.2 สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ : การนับถือศาสนาพุทธและเชื่อในเรื่องของพระคุ้มครอง
11.3 ความเชื่อเกี่ยวกับทางด้านสุขภาพ : เชื่อว่าเจ็บป่วยเป็นเรื่องปกติของชีวิต
11.1 การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา : ปฏิบัติธรรมทุกวันพระที่บ้าน สวดมนต์ นั่งสมาธิ สวดมนต์ก่อนออกจากบ้านเพราะมีความกังวลในเรื่องของความปลอดภัยในระหว่างการขับรถ เป็นการขอพรให้พระคุ้มครองดูแล
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
ผลการประเมินโดยการใช้แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน ได้คะแนนเท่ากับ 6 แปลผลได้เสี่ยงต่อการหกล้ม
ผู้สูงอายุมีความสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐานได้ และออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน โดยจะเดินวันละ 30 ก้าว 20 รอบ พร้อมกับแกว่งแขน 500 ครั้ง แต่ถ้าวันไหนที่ไม่สามารถไปออกกำลังกายได้ ผู้สูงอายุจะออกกำลังกายบนเตียง โดยการบริหารข้อเท้า แขน และขา ้
แบบแผนเพศสัมพันธ์
9.2 ปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ : ผู้สูงอายุได้รับการผ่าตัดมดลูก เนื่องจากท้องนอกมดลูกในครรภ์ที่ 5 ปัจจุบันสามีเสียชีวิต 4 ปีแล้ว ไม่เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ ประจำเดือนหมดช่วงอายุประมาณ 50 ปี ไม่มีอาการแสดงของวัยหมดประจำเดือน
9.3 พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสมกับเพศ : ผู้สูงอายุมีการออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ รักษาความสะอาดของร่างกาย ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
9.1 การมีเพศสัมพันธ์ : ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากสามีเสียชีวิต
จำนวนสมาชิกภายในครอบครัว : 6 คน
หัวหน้าครอบครัว : นางจิตรประภา มั่นคั่ง
สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัว : มีสัมพันธภาพในครอบครัวดี
รายได้เฉลี่ยครอบครัว : 43,000 บาท/เดือน แหล่งรายได้ : บุตรทำงาน
สิ่งแวดล้อมในบ้าน
•สภาพภายในบ้านและสิ่งแวดล้อมภายนอก : ผู้สูงอายุมีบ้าน 2 ชั้นมีพื้นที่หลังบ้าน มีต้นไม้และผักกินได้รอบบ้าน
• สิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน : โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องกรองน้ำ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
•แหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ : ผู้สูงอายุใช้เครื่องกรองน้ำดื่ม
•ลักษณะของส้วมที่ใช้: ผู้สูงอายุใช้ส้วมเป็นแบบชักโครก
•การกำจัดขยะและสิ่งปฏิกูล : ผู้ดูแลมีหน้าที่ในการกำจัดขยะ
• สัตว์เลี้ยงที่มี : ผู้สูงอายุมีสุนัข 2 ตัว พันธุ์โกลเด้น และพันธุ์บางแก้ว
•สภาพที่ตั้งที่อยู่อาศัย : ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
• การคมนาคม : ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
ลักษณะชุมชน
จำนวนประชากร : ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ จำนวนครัวเรือน : ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ อาชีพหลัก : ค้าขายสถานบริการสุขภาพ : โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในชุมชน : มีการออกกำลังกายแอโรบิค สภาพเศรษฐกิจ : ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ศาสนาและความเชื่อ : ศาสนาพุทธประเพณี วัฒนธรรม : งานวัด แห่เทียน วันไหล
ข้อมูลผู้ดูแล
•ผู้ดูแลหลัก ชื่อ คุณสง่า (พี่ขาว) เพศ หญิง อายุ 50 ปี
•การศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 6ภาวะสุขภาพ : มีภาวะสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว
•ความสัมพันธ์กับผู้ป่วย : ผู้ดูแล
•ระยะเวลาที่ดูแล (ตั้งแต่เริ่มดูแลถึงปัจจุบัน) : 4 ปี (พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน)
•ระยะเวลาที่ให้การดูแลต่อวันและกิจกรรม : ตลอด 24 ชั่วโมง โดยช่วยผู้สูงอายุประกอบอาหาร จัดยาให้ผู้สูงอายุ ดูแลความสะอาดและกิจวัตรประจำวันภายในบ้านของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับน้อย
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
จากทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับในผู้สูงอายุ แบบแผนการนอนหลับของผู้สูงอายุเกี่ยวข้องกับระบบประสาททำหน้าที่ควบคุมการตื่นตัวและง่วงหลับ ในวัยสูงอายุการทำงานของระบบประสาทจะมีประสิทธิภาพลดลง การส่งสัญญาณประสาทลดลง ทำให้เกิดการเสื่อมของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของวัฏจักรชีพ (circadian rhythm) และมีการหลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitters) ลดลง ได้แก่ ซีโรโทนิน (Serotonin)
เมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ ทำให้หลับได้ดีขึ้น ซึ่งการลดลงของสารสื่อประสาทจะส่งผลต่อการนอนหลับและการตื่นในผู้สูงอายุ กล่าวคือผู้สูงอายุ ใช้เวลาอยู่บนเตียงนานจึงหลับ ระยะหลับลึกลดลง มีการตื่นระหว่างการนอนหลับช่วงเวลากลางคืน รวมถึงระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้สูงอายุจะมีกระเพาะปัสสาวะเล็ก ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง เหลือ 150 - 300 มล. จากปกติประมาณ 600 มล. ทำให้ผู้สูงอายุปวดถ่ายปัสสาวะบ่อย ทำให้ต้องตื่นมาปัสสาวะบ่อย ซึ่งผู้สูงอายุรายนี้มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดีเนื่องจาก มีอาการนอนหลับยาก ใช้เวลาอยู่บนเตียงนานประมาณ 60 นาทีจึงหลับ มีการใช้ยานอนหลับ 2ครั้งใน1 เดือนที่ผ่านมา มีตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก ซึ่งตรงตามทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงตามวัยของผู้สูงอายุ รวมถึงผู้สูงอายุมีการชมภาพยนตร์ประเภทแนวสืบสวนตอนก่อนเข้านอนและมีความเครียดอยู่ในระดับน้อย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุ
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับ
เกณฑ์การประเมิน
ได้รับคำแนะนำให้ถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน
ได้รับคำแนะนำในการเลือกประเภทการรับชมภาพยนตร์ก่อนนอน
ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการสวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอน
กิจกรรมการพยาบาล
วิเคราะห์ผลการประเมิน จากการที่ผู้สูงอายุรับชมภาพยนตร์แนวสืบสวนก่อนนอน ทำให้หลังรับชมแล้วยังมีการตื่นตัวอยู่ ผู้สูงอายุไม่มีการปัสสาวะก่อนเข้านอนและมีการสดมนต์ก่อนเข้านอนบ้างบางครั้ง ไม่ได้ทำเป็นประจำ
ออกแบบการส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับ
3.1 ให้คำแนะนำในการเลือกประเภทการรับชมภาพยนตร์ก่อนนอน
3.2 ดูแลและแนะนำให้ผู้สูงอายุถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน
3.3. จัดสภาพแวดล้อม ห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะ ให้เงียบสงบ สบาย สะอาด อากาศถ่ายเท แสงสว่างไม่มากเกินไป ควรสลัว จัดอุปกรณ์การนอนให้สะอาด และสามารถรองรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างพอเหมาะ สวมเสื้อผ้าที่สบายไม่คับหรือรัดแน่น
3.4 แนะนำให้ผู้สูงอายุทำจิตใจให้สบายก่อนเข้านอนเป็นประจำ เช่น การสวดมนต์หรือทำสมาธิให้จิตใจสงบ ปราศจากเรื่องกังวล จะทำให้หลับสบาย คุณภาพของการนอนดีขึ้น
3.5 หลีกเสี่ยงการชมภาพยนตร์แนวสืบสวนก่อนนอนเพราะทำให้หลังรับชมแล้วยังมีการตื่นตัวอยู่
3.6. ดูแลและแนะนำให้ผู้สูงอายุอาบน้ำอุ่นภายใน 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
3.7 แนะนำผู้สูงอายุไม่ควรใช้เวลาในที่นอนมากเกิน ไป คือมากกว่า 20 นาทีในการพยายามนอนให้หลับ ถ้านอนไม่หลับควรลุกจากที่นอนทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เมื่อเริ่มง่วงจึงเข้านอนใหม่
3.8. ดูแลและแนะนำผู้สูงอายุไม่ให้ดื่มน้ำมากในตอนเย็นและค่ำ
ประเมินคุณภาพการนอนหลับ โดยใช้แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ Pittsburgh Sleep Quality Index (PSQI) และประเมินความเครียดโดยใช้แบบประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-5)
กรณีปฏิบัติตามข้อปฏิบัติข้างต้น แต่ผู้สูงอายุยังนอนไม่หลับ หรือการนอนไม่หลับมีผลต่อสุขภาพ แนะนำให้ผู้สูงอายุพบแพทย์ และรับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์
กิจกรรมผู้สูงอายุ
การสวดมนต์ หรือทำสมาธิให้จิตใจสงบก่อนเข้านอนเป็นประจำ
เข้านอน ตื่นนอนให้ตรงเวลา
ให้ผู้ดูแลจัดสภาพ แวดล้อม ห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะ ให้เงียบสงบ สบาย สะอาด อากาศถ่ายเท แสงสว่างไม่มากเกินไป ให้ผู้สูงอายุสวมเสื้อผ้าที่สบายไม่คับหรือรัดแน่น
หลีกเลี่ยงการรับชมภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นก่อนนอน
ถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน
อาบน้ำอุ่นภายใน 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
ถ้านอนไม่หลับควรลุกจากที่นอนทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เมื่อเริ่มง่วงจึงเข้านอนใหม่
ไม่ดื่มน้ำมากในตอนเย็นและค่ำ
พบแพทย์ถ้าหากผู้สูงอยังมีอาการนอนไม่หลับ หรือการนอนไม่หลับมีผลต่อสุขภาพ
ประเมินผล
6 ต.ค. 64
ปัสสาวะก่อนเข้านอน 2 ครั้ง เข้านอนเวลา 23.00 น. มีการใช้ยาคลายเครียดเพื่อช่วยให้นอนหลับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงหลับ ตื่นประมาน 7.00 น. รวมเวลานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมงตื่นไปเข้าห้องน้ำช่วงเวลา 4.00 น.และ 6.00 น.
มีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีอาการหายใจติดขัด ไม่มีอาการรู้สึกหนาวหรือร้อนจนเกินไป ไม่ฝันร้ายและไม่ปวดเมื่อยตามร่างกายแต่มีเสียงกร๊อบที่คอเล็กน้อย
4 ต.ค. 64
มีคะแนนประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) = 10 คะแนน ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี
7 ต.ค. 64
ปัสสาวะก่อนเข้านอน 2 ครั้ง เข้านอนเวลา 22.00 น. มีการใช้ยาคลายเครียดเพื่อช่วยให้นอนหลับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงหลับ ตื่นประมาน 7.00น. รวมเวลานอนหลับประมาณ 9 ชั่วโมง มีตื่นไปเข้าห้องน้ำช่วง 24.00-6.00นมีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีอาการหายใจติดขัด ไม่มีอาการรู้สึกหนาวหรือร้อนจนเกินไป ไม่ฝันร้ายและไม่ปวดเมื่อยตามร่างกายแต่มี
เสียงกร๊อบที่คอเล็กน้อย
และจากการให้.คำแนะนำโดยการให้ผู้สูงอายุรับชมสื่อวีดีโอ ผู้สูงอายุเข้าใจและตอบคำถามเกี่ยวกับสุขอนามัยที่ดีของการนอนหลับได้
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “เป็นคนนอนหลับยาก”จากการพูดคุยผู้สูงอายุเล่าว่า - ชอบดูภาพยนตร์ประเภทแนวสืบสวน - มีการใช้ยานอนหลับ POLIZEP5 2ครั้งใน1 เดือนที่ผ่านมา - มีตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก
O : มีคะแนนประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) = 10 คะแนน แปลผล ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับไม่ดีมีปัญหาการนอนหลับคือ
นอนไม่หลับหลังจากเข้านอนไปแล้วนานกว่า 30 นาที มีอาการไอเล็กน้อย
มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร เนื่องจากผู้สูงอายุไม่อยากอาหาร
ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุบอกว่า “ต้องรับประทานอาหารรสจืดเป็นส่วนใหญ่ ความรู้สึกอยากอาหารลดลง และทำให้กินอาหารได้น้อยลง”
O : ผลการประเมินตามแบบประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment: MNA) เท่ากับ 11 คะแนน แปลผล มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
วิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
ภาวะขาดสารอาหาร (under nutrition) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ หรือไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ตามความต้องการ ภาวะขาดสารอาหารแบ่งเป็น ภาวะขาดโปรตีนและพลังงาน และภาวะขาดวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุมากกว่าวันอื่นๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยในการรับรส ในผู้สูงอายุต่อมรับรส และ papilla ลดลง ปลายประสาทรับรสมีความไวในการรับรสลดลง การรับรสหวานจะสูญเสียก่อน รสเปรี้ยว เค็ม ขม จึงเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารรสจัดขึ้น หรือรับประทานอาหารไม่อร่อยและเบื่ออาหาร ส่งผลให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้น้อยลง เป็นสาเหตุก่อให้เกิดความเสี่ยงในการขาดสารอาหาร ซึ่งผู้สูงอายุรายนี้ต้องรับประทานอาหารรสจืดเป็นส่วนใหญ่ ความรู้สึกอยากอาหารลดลง และทำให้ทานอาหารได้น้อยลง จากการประเมิน MNA = 11 คะแนน แปลผล มีความเสี่ยงต่อภาวะ ขาดสารอาหาร
เป้าประสงค์การพยาบาล
ผู้สูงอายุมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะขาดสารอาหาร
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment: MNA)
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการของภาวะขาดสารอาหาร ได้แก่ มีความอยากอาหารลดลง ผมร่วง ซีด ใจสั่น เวียนศีรษะ อ่อนแรง รู้สึกเพลีตลอดเวลา เจ็บป่วยง่ายและหายใจช้ากว่าปกติ มีปัญหาในการย่อยอาหารและการหายใจ ชาที่ข้อต่อ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย หงุดหงิด มีอาการซึมเศร้าหรือรู้สึกหดหู่ใจ เป็นต้น
ให้คำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการและสารอาหารที่ผู้สูงอายุควรจะได้รับ ตามรูปแบบของธงโภชนาการ ดังนี้
ประเมินผลหลังจากให้ความรู้ความเกี่ยวกับภาวะขาดสารอาหารและสารอาหารต่างๆที่ผู้สูงอายุควรได้รับ โดยการให้ตอบคำถาม ดังนี้- “คุณป้าคิดว่าภาวะขาดสารอาหารเป็นอย่างไรบ้างคะ”- “แล้วคุณป้าต้องทานอาหารประเภทไหนบ้างเพื่อไม่ให้มีภาวะขาดสารอาหาร”- “คุณป้าลองบอกหนูได้ไหมคะว่า (ชื่อสารอาหารที่ป้าตอบข้อข้างต้น) มีอะไรบ้าง”
เกณฑ์การประเมินผล
ผลการประเมินตามแบบประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment: MNA) อยู่ที่ 12-14 คะแนน แปลผล มีภาวะโภชนาการปกติ
มีความรู้เกี่ยวกับอาการของภาวะขาดสารอาหาร
มีความรู้เกี่ยวกับเลือกรับประทานอาหารและสารอาหาร ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินอี
กิจกรรมของผู้สูงอายุและผู้ดูแล
กิจกรรมของผู้สูงอายุ
รับฟัง ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะนำ
กิจกรรมของผู้ดูแล
อำนวยความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบในการประกอบอาหาร
ประเมินผล
7 ต.ค. 64
ผู้สูงอายุมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของภาวะโภชนาการ และสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง
มีสมรรถภาพสมองด้อยลงด้านความจำ
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “เริ่มหลงลืมบ้าง”
O: ประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุปกติ เรียนระดับสูงกว่าประถมศึกษา มีคะแนนมากกว่าจุดตัด คือ คะแนนรวม 25 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
จากทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท สมองจะมีการสูญเสียสมองส่วนที่เป็นเนื้อสีขาว (white matter) ทำให้การทำงานของสมองลดลง มีปริมาณเลือดไหลเวียนที่สมองลดลง มีการสูญเสียเซลล์สมอง โดยเฉพาะสมองกลีบหน้า ส่งผลให้มวลน้ำหนักของสมองลดลง ช่องสมอง (vestricles) และรอยย่น (sulcus) กว้างขึ้น มีการสูญเสียและหดตัวของเซลล์ประสาท สารสื่อประสาทหลั่งน้อยลง และมีการสะสมของสารไลโปฟัสซินในเซลล์ประสาท สมองบางส่วนจะฝ่อตัวมากกว่าส่วนอื่น เช่น ส่วนหน้าที่ทำหน้าที่รับผิดชอบความคิดอ่าน สติปัญญาที่กลีบสมองส่วนหน้า หรือส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำที่ temporal cortex ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความสามารถในการเรียนรู้ลดลง ปฏิกิริยาตอบสนองช้า และมีการประมวลผลของข้อมูลต่างๆ ช้าลง ซึ่งผู้สูงอายุรายนี้บอกว่าเริ่มมีอาการหลงลืมบ้าง ในระหว่างสอบถามข้อมูล ผู้สูงอายุลืมชื่อยาระบายที่รับประทานประจำ (มะขามแขก) และการตอบแบบสอบถาม MMSE ในข้อ recall ไม่สามารถตอบได้
เกณฑ์การประเมินผล
ฝึกบริหารสมองสองด้านด้วยท่าบริหารสมอง ได้แก่ ท่าจีบแอล
ฝึกความจำโดยการเล่นเกม Stroop Test และร้องเพลงแจวมาแจวจ้ำจึก
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพสมอง
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุ
ฝึกบริหารสมอง ดังนี้
ท่าจีบแอล มือขวาทำมือรูปจีบ มือซ้ายทำมือเป็นรูปแอล เมื่อทำได้ให้สลับมือเปลี่ยนเป็น มือขวาทำมือรูปตัวแอล มือซ้ายทำเป็นรูปจีบ
ฝึกความจำโดยเกม Stroop Test ช่วยฝึกจิตใจให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งภายใต้สภาวะความกดดันของการทำงานร่วมกันระหว่างสมองทั้ง 2 ซีก โดยสมองซีกขวาจะรับรู้เรื่องสีสัน ส่วนสมองซีกซ้ายจะรับรู้ตัวอักษร ซึ่งจะสามารถช่วยฟื้นฟูความทรงจำในคนวัยผู้ใหญ่ หรือวัยชราได้อีกด้วย
จัดกิจกรรมสันทนาการ “แจวมาแจวจ้ำจึก”
แนะนำการป้องกันภาวะสมองเสื่อม
5.1 รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคลอเรสเตอรอลสูง ควรรับประทานอาหารจำพวก ปลาทะเล อาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และกรดโฟลิกให้มาก
5.2 ออกกำลังกายสม่ำเสมอเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
5.3 ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้สมองได้รับการกระทบกระเทือน
5.4 พักผ่อนให้เพียงพอ
กิจกรรมของผู้สูงอายุและผู้ดูแล
กิจกกรรมของผู้สูงอายุ
ฝึกบริหารสมอง
ฝึกความจำโดยเกม Stroop Test และร้องเพลงแจวมาแจวจ้ำจึก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ
พักผ่อนให้เพียงพอ
ประเมินผล
4 ต.ค. 64
ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุปกติ เรียระดับสูงกว่าประถมศึกษา มีคะแนนมากกว่าจุดตัด คือ คะแนนรวม 25 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
6 ต.ค. 64
ผู้สูงอายุได้รับการฝึกบริหารสมอง ท่าจีบแอล ในช่วงเช้า ผู้สูงอายุแสดงออกถึงความพยายามทำตาม ทำได้พอสมควรช่วงบ่ายผู้สูงอายุสามารถทำท่าจีบแอลได้ตรงตามผู้สอน ทำ 3 รอบ รอบละ 10 ครั้ง ผู้สูงอายุบอกว่ารอบแรกทำยาก และบอกว่าจะฝึกทำท่าจีบแอลต่อ
ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม “แจวมาแจวจ้ำจึก” ช่วงเช้ายังร้องเพลงตามไม่ทัน เพราะจำเนื้อเพลงไม่ได้และคิดคำคล้องจองได้ 2 ครั้ง คือคำว่า “อาหาร”และ “คุณหนู” ช่วงบ่ายพยายามร้องเพลงแจว นึกคำสัมผัสคล้องจองกับชื่อนิสิต และขอจดชื่อนิสิตเพื่อหาคำคล้องจองมาร้องเพลงในวันถัดไป จากการสอบถามหลังจากร้องเพลงแจวผู้สูงอายุบอกว่ามีความสุข
กิจกรรมการทดสอบ stroop test
ช่วงเช้าเล่นเป็นครั้งแรกผู้สูงอายุมีสับสนเล็กน้อย ผู้สูงอายุแยกสีโทนแดงส้ม ชมพูออกจากกันไม่ได้ แยกโทนสีน้ำเงินเขียวได้เล็กน้อย แต่เมื่อช่วงบ่ายผู้สูงอายุสามารถบอกสีที่มองเห็นได้เกือบทุกตัว แต่มีการแยกสีน้ำเงินและสีดำไม่ได้บางครั้ง จากการสอบถาม
ความรู้สึกหลังเล่นเกมผู้สูงอายุบอกว่าตัดสินใจลำบากเรื่องสีเนื่องจากความเข้ม-อ่อนของสีคล้ายกัน แต่รู้สึกดีที่ได้ทำกิจกรรมนี้
7 ต.ค. 64
ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม “แจวมาแจวจ้ำจึก” สามารถร้องเพลงแจว คิดคำคล้องจองและจำชื่อนิสิตได้
ผู้สูงอายุจำท่าจีบแอลได้และทำตรงตามผู้สอน เริ่มทำท่าจีบแอลได้ดีขึ้น
มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
เกณฑ์การประเมินผล
มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ได้ฝึกการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
มีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
วิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
ภาวะปัสสาวะไม่อยู่ชนิดราดหรือกลั้นปัสสาวะไม่ทัน (Urge incontinence) เป็นภาวะหนึ่งในกลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะมีการหดตัวอย่างแรงแบบอำนาจนอกจิตใจ เป็นความผิดปกติของการรับส่งกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวไวกว่าปกติ และยับยั้งไม่ได้ ทำให้ต้องขับปัสสาวะออกมาทันที ซึ่งผู้สูงอายุรายนี้เคยปัสสาวะราดเมื่อ 3 เดือนก่อน
กิจกรรมการพยาบาล
ให้คำแนะนำการฝึกถ่ายปัสสาวะ (Bladder training) มีวิธีการดังนี้
4.1 ทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า ให้ผู้สูงอายุไปเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะ พยายามถ่ายปัสสาวะให้ออกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่าง โดยใช้มือช่วยกดที่บริเวณหัวเหน่าเบาๆ
4.2 หลังจากนั้นเริ่มต้นการฝึกการถ่ายปัสสาวะตามตารางประจำสัปดาห์ เช่น ในสัปดาห์ที่ 1 มีเป้าหมายของการถ่ายปัสสาวะ คือ ผู้สูงอายุต้องถ่ายปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง ในตารางเวลาก็จะกำหนดเวลาไว้ให้ผู้สูงอายุถ่ายปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง ผู้สูงอายุต้องไปถ่ายปัสสาวะเมื่อถึงเวลากำหนด ถ้าถึงเวลากำหนดแล้วแต่ผู้สูงอายุยังไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำและพยายามถ่ายปัสสาวะ
4.3 ถ้าผู้สูงอายุรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะก่อนถึงเวลาที่กำหนด อย่ารีบไปเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะทันทีทันใด ให้กลั้นปัสสาวะไว้ก่อน โดยหายใจเข้าออกลึกๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และขมิบช่องคลอดเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้งติดต่อกันจนกระทั่งความรู้สึกปวดปัสสาวะผ่านไปแล้วจึงถ่ายปัสสาวะตามเวลาที่กำหนด
4.4 ถ้าผู้สูงอายุมีปัสสาวะราด หรือถ่ายปัสสาวะก่อนถึงเวลาที่กำหนดในตาราง ให้เริ่มนับเวลาใหม่ คือ ต้องกำหนดการถ่ายปัสสาวะครั้งต่อไปในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า
4.5. การฝึกการถ่ายปัสสาวะทำเฉพาะช่วงเวลากลางวันหลังจากส่วนเวลากลางคืนถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ
แนะนำให้ผู้สูงอายุ เมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วให้นั่งต่ออีกสักพัก อย่าพึ่งลุกจากชักโครก สังเกตว่าปัสสาวะออกหมดหรือไม่ หากปัสสาวะรอบที่ 2 ออกมามากกว่า 30 cc ให้ปัสสาวะออกมาให้หมดเพื่อป้องกัน UTI
ให้ผู้สูงอายุฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหน้าตามวิธีดังกล่าว ให้ได้ติดต่อกัน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและเกิดความชำนาญ ถ้าผู้สูงอายุสามารถเกร็งและคลายกล้ามเนื้อได้นาน 3 วินาทีแล้วให้เพิ่มเวลาการเกร็งและคลายกล้ามเนื้อเป็น 10 วินาที แต่ถ้าหากว่าผู้สูงอายุยังทำไม่ได้ในช่วงแรก อย่าเร่งรัด ให้ผู้สูงอายุค่อยๆ ฝึกต่อไป
ให้คำแนะนำผู้สูงอายุในการถ่ายปัสสาวะ ในขณะที่ถ่ายปัสสาวะ ให้กลั้นปัสสาวะให้หยุดไหล กล้ามเนื้อที่ใช้หยุดการไหลของปัสสาวะนั้นคือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหน้า
แนะนำให้ผู้สูงอายุเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหน้า โดยขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ แล้วเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้นาน 3 วินาที โดยนับ 1-2-3 และคลายกล้ามเนื้อออกนาน 3 วินาที การเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อนับเป็นการบริหาร 1 ครั้ง ทำติดต่อกัน 5 ครั้ง ระหว่างการบริหารกล้ามเนื้อ ให้ผู้สูงอายุหายใจเข้าออกตามปกติ อย่าเกร็งกล้ามเนื้อขาก้นและหน้าท้อง
ประเมินแบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ
ข้อควรระวัง
ไม่ควรเกร็งหน้าท้อง หนีบขา ในขณะฝึกขมิบ เพราะเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดอื่นร่วมด้วย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจึงไม่ได้หดเกร็งอย่างเต็มที่
ควรฉี่ให้เรียบร้อยก่อนฝึก- ไม่ควรฝึกขณะฉี่ เพราะอาจทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบได้
ไม่ควรกลั้นหายใจ เพราะจะทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องจนเกิดอาการปวดศีรษะ
ให้ผู้สูงอายุบันทึกจำนวนครั้งที่ปัสสาวะภายใน 6 ชั่วโมง
ประเมินผลหลังจากให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกการขับถ่ายปัสสาวะเป็นเวลาและการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของผู้สูงอายุ โดยการให้ตอบคำถามดังนี้
“คุณป้ามีวิธีในการฝึกการบริหารอุ้งเชิงกรานอย่างไรคะ และทำกี่ครั้งคะ”
“คุณป้าอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ เกี่ยวกับการฝึกถ่ายปัสสาวะต้องทำอย่างไรบ้าง ตื่นตอนเช้าต้องทำยังไงนะคะ”
“หลังจากที่คุณป้าลองทำตามตารางที่ต้องปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมงแล้ว ถ้าหากครบ 2 ชั่วโมงแล้วยังไม่รู้สึกอยากปัสสาวะ คุณป้าต้องทำอย่างไรคะ”
“ถ้าคุณป้ารู้สึกปวดปัสสาวะก่อนครบ 2 ชั่วโมง คุณป้าจะทำอย่างไรคะ”
กิจกรรมของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุขับถ่ายปัสสาวะเป็นเวลาทุก 2 ชั่วโมง
ผู้สูงอายุบันทึกจำครั้งที่ปัสสาวะภายใน 6 ชั่วโมง
ผู้สูงอายุปฏิบัติตามคำแนะนำในการการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ประเมินผล
5 ต.ค. 64
ติดตามผลการบันทึกปัสสาวะในรอบ 6 ชั่วโมง เวลา 18.00-00.00 น. ปัสสาวะ 2 ครั้ง
ติดตามผลการฝึกการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ผู้สูงอายุได้ฝึกในช่วงเช้า 2 ครั้ง, ช่วงเย็น 1 รอบ และตอน 20.00 น. อีก 1 รอบ โดยทำรอบละ 1 ครั้ง และขมิบไว้นานรอบละ 10 วินาที
6 ต.ค. 64
ติดตามผลการบันทึกปัสสาวะในรอบ 6 ชั่วโมง เวลา 00.01-06.00 น. ปัสสาวะ 2 ครั้ง, เวลา 06.00-12.00 น. ปัสสาวะ 1 ครั้ง และเวลา 18.00-00.00 น. ปัสสาวะ 2 ครั้ง
ผู้สูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง- ผู้สูงอายุมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยผู้สูงอายุเล่าว่า “ได้นำวิธีการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไปแนะนำเพื่อนที่มีปัญหาปัสสาวะราด”- ผู้สูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นเวลาและสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง
7 ต.ค. 64
ติดตามผลการบันทึกปัสสาวะในรอบ 6 ชั่วโมง เวลา 00.01-06.00 น. ปัสสาวะ 2 ครั้ง, เวลา 06.00-12.00 น. ปัสสาวะ 1 ครั้ง
ผู้สูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง
ผู้สูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นเวลาและสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง
ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุบอกว่า “เคยเดินทางไกลแล้วเข้าห้องน้ำไม่ทัน จึงทำให้มีอาการปัสสาวะราดเมื่อ 3 เดือนก่อน”
O : ผลการประเมินแบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ แปลผลได้ มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่รุนแรงน้อย
เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม
ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุให้ประวัติว่า
"ประมาณ 3 เดือนก่อน หกล้ม หัวฟาดขอบเตียง เย็บ 4 เข็ม"
O : จากแบบประเมิน Thai FRAT ผู้สูงอายุได้คะแนน 6 คะแนน
แปรผล มีความเสี่ยงหกล้ม
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
การหกล้ม (Fall) จัดอยู่ในกลุ่มโรคเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย การทำงานของสมองลดลง อวัยวะที่ช่วยในการเคลื่อนไหวทำงานไม่สัมพันธ์กัน ทรงตัวได้ไม่ค่อยดี ปฏิกิริยาตอบสนองของม่านตาต่อแสงลดลงทำให้ปรับตัวสำหรับการเห็นไม่ดีโดยเฉพาะที่มืด สายตายาวมองภาพใกล้ไม่ชัด สานสายตาลดลง ซึ่งผู้สูงอายุรายนี้มีความเสี่ยงหกล้ม จากการให้ประวัติว่า ประมาณ 3 เดือนก่อน เคยมีประวัติหกล้ม และผลการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม ได้คะแนนรวม 6 คะแนน แปลผล มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ต้องได้รับคำแนะนำปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันการหกล้ม
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ไม่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
เกณฑ์การประเมินผล
ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันพลัดตกหกล้ม
ไม่เกิดอุบัติเหตุและไม่มีร่องรอยจากการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม
กิจกรรมการพยาบาล
สอบถามประวัติเกี่ยวกับการพลัดตกหกล้ม
การประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ ได้แก่
ฝึกการเดินและออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ในกรณีที่มีความบกพร่องในการเดินหรือการทรงตัว
สวมใส่เสื้อผ้า รองเท้า ที่มีขนาดพอดีและเป็นรองเท้าหุ้มเส้น
ด้านสิ่งแวดล้อม
อาศัยอยู่บ้านชั้นเดียว หรืออยู่ชั้นล่าง
พื้นและทางเดินเรียบเสมอกัน ประตูควรใช้เป็นมือจับก้านโยก
ใช้เตียงที่มีความสูง ระดับข้อพับเข่า
มีแสงสว่างเพียงพอ ภายในบ้านและบริเวณบ้าน
ห้องน้ำมีราวจับ พื้นไม่ลื่น ใช้โถส้วมแบบชักโครกหรือนั่งราบ
สวิตซ์ไฟสูงจากพื้น 120 เซนติเมตร และปลั๊กไฟสูง 35 - 90 เซนติเมตร
กิจกรรมของผู้สูงอายุและผู้ดูแล
กิจกรรมของผู้สูงอายุ
ฝึกการเดินและออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ในกรณีที่มีความบกพร่องในการเดินหรือการทรงตัว
สวมใส่เสื้อผ้า รองเท้า ที่มีขนาดพอดีและเป็นรองเท้าหุ้มเส้น
กิจกรรมของผู้ดูแล
จัดแสงสว่างที่เพียงพอ ทั้งภายในและภายนอกบ้าน
ดูแลจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น ดูแลพื้นห้องน้ำให้แห้งอยู่ตลอดเวลา ดูแลไม่ให้มีสิ่งกีดขวางบริเวณทางเดิน
ประเมินผล
ประเมินการทรงตัวของผู้สูงอายุโดยการยืนส้นเท้าต่อปลายเท้าอีกข้างให้เป็นเส้นตรง
ครั้งที่ 1 ผู้สูงอายุยืนต่อเท้าได้นาน 7 วินาที
ครั้งที่ 2 ผู้สูงอายุยืนต่อเท้าได้นาน 12 วินาที
เอกสารอ้างอิง
นัยนา พิพัฒน์วณิชชา. (2563). การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการพยาบาลผู้สูงอายุ 2 (น. 7.3.1-25) : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
วารี กังใจ. (2563). การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นไม่อยู่. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การพยาบาลผู้สูงอายุ 2 (น. 7.7.2-11 -7.7.2-13) : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
โรงพยาบาลศิครินทร์กรุงเทพ. (ม.ป.ป). ฝึกสมอง! คุณอ่าน “สี” ได้ทั้งหมดกี่คำ?. ค้นวันที่ 5 ตุลาคม 2564.
จาก
https://www.sikarin.com/health/
นัยนา พิพัฒน์วณิชชา. (2563). กระบวนการเปลี่ยนแปลงตามวัย. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา
การพยาบาลผู้สูงอายุ 1 (น. 4-5) : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ศศิธร กรุณา. (2563). การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการนอนหลับในผู้สูงอายุ. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การพยาบาลผู้สูงอายุ 2 (น. 6.4 - 5) : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ศศิธร กรุณา. (2563). การพยาบาลส่งเสริมภาวะโภชนาการในผู้สูงอายุ. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การพยาบาลผู้สูงอายุ 1 (น.6.1-14 – 6.1-17) : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
Jakkapong Inchan. (2560). 3 กิจกรรมทำเป็นประจำช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้. ค้นวันที่ 5 ตุลาคม 2564.จาก
https://www.thaihealth.or.th/Content/38908.html
ผู้จัดทำ
นางสาวสุภาวดี แสงพลอย รหัวนิสิต 62010176 กลุ่ม 03-14
ลักษณะของครอบครัว
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Muscle Exercise) โดยมีขั้นตอนดังนี้