Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 กฎหมายระหว่างประเทศ - Coggle Diagram
บทที่ 6 กฎหมายระหว่างประเทศ
ความหมายและความเป็นมาของกฎหมายระหว่างประเทศ
Guggenheim “กฎหมายระหว่างประเทศเป็นประมวลกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่ใช้บังคับความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ”
Jessup “กฎหมายระหว่างประเทศคือ กฎหมายที่ใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ”
Oppenheim “กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎเกณฑ์ที่อาศัยจารีตประเพณีและสนธิสัญญาที่ใช้บังคับ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ”
Hughes “หลักและกฎข้อบังคบต่างๆ ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วถือว่าเป็นการผูกพันในความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่ความยินยอมของประเทศเหล่านั้น”
โดยในอดีตนั้นกฎหมายระหว่างประเทศมีผลเพียงระหว่างรัฐเท่านั้น จนกระทั่งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2ได้มีองค์การระหว่างประเทศเกิดขึ้นมากมาย เช่น สหประชาชาติ ยูเนสโก ดังนั้นกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบันจึงถือเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การระหว่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศกับปัจเจกชน (ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล) อีกทั้งครอบคลุมไปถึงองค์การระหว่างประเทศที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ (NGOs) ที่ได้รับการรับรองเช่น กาชาดสากล องค์กร นิรโทษกรรม เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
แนวคิดที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในประเทศอยู่ 2 แนวคิด
หลักคือ
แนวคิดทวินิยม (dualism)
เห็นว่ากฎหมายภายในประเทศกับกฎหมายระหว่างประเทศมีฐานะเท่าเทียมกันและเป็นอิสระจากกัน กฎหมายภายในประเทศไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายภายในประเทศได้
แนวคิดเอกนิยม (monism)
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่
กลุ่มแรกเห็นว่ากฎหมายภายในประเทศมีค่าเหนือกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากรัฐทุกรัฐมีอ านาจอธิปไตยของตนเอง ดังนั้นกฎหมายระหว่างประเทศไม่ใช่กฎหมายที่แท้จริง เป็นเพียงข้อบังคับทางศีลธรรมเท่านั้นกลุ่มที่สองเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีคุณค่าเหนือกว่ากฎหมายภายในประเทศกฎหมายภายในประเทศจะขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกันจะต้องถือว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีค่าสูงกว่า ต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศบังคับใช้
ความเป็นมาของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศสมัยโบราณ
ในสมัยโบราณยังไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน เนื่องจากในยุคนั้นโดยส่วนใหญ่ถือว่าคนต่างถิ่นคือศัตรูจึงเกิดการหลีกเลี่ยงการติดต่อด้วย แต่ก็ยังคงมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ใช้ปฏิบัติต่อกัน เช่น การส่งและรับผู้แทน
กฎหมายระหว่างประเทศช่วงศตวรรษที่16-18
ในปี ค.ศ. 1492 โคลัมบัสได้ค้นพบทวีปอเมริกา ทำให้เกิดปัญหาใหม่ในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การกำหนดหลักการในการเป็นเจ้าของดินแดนใหม่ที่ค้นพบเสรีภาพในการคมนาคมระหว่างประเทศ จึงเกิดลัทธิหรือความคิดเห็นของนักกฎหมายระหว่างประเทศหลายท่าน
ที่มาหรือบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะน ามาใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทตามข้อ 38 (1) แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศประกอบด้วย 2 กฎเกณฑ์คือ 1) กฎเกณฑ์ที่มีลักษณะเป็นบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศในทางเนื้อหาโดยตรง ได้แก่ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป และ 2) แนวทางหรือสิ่งที่จะช่วยให้ศาลสามารถพิจารณากำหนดกฎเกณฑ์อันจะเป็นบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศที่ศาลจะนำมาใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทต่อไป
สนธิสัญญา (Treaties)
ข้อ 38 (1) (a) แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศระบุให้ใช้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใช้อนุสัญญาระหว่างประเทศ (international conventions) ไม่ว่าจะเป็นอนุสัญญาทั่วไปหรืออนุสัญญาเฉพาะซึ่งก าหนดกฎเกณฑ์อันเป็นที่รองรับอย่างชัดแจ้งโดยรัฐคู่กรณีบังคับแก่ข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีนั้น หลักการกฎหมายระหว่างประเทศที่แท้จริงอันก่อให้เกิดพันธกรณีระหว่างรัฐคือหลักการสัญญาต้องเป็นสัญญา
จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (International Custom)
ข้อ 38 (1) (b) แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกล่าวถึงจารีตประเพณีระหว่างประเทศคือการถือปฏิบัติกันโดยทั่วไป (general practice)และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นกฎหมาย (acceptance as law) โดยจากความหมายดังกล่าวนักกฎหมายระหว่างประเทศได้จำแนกองค์ประกอบของจารีตประเพณีระหว่างประเทศออกเป็น 4 องค์ประกอบได้แก่ การถือปฏิบัติโดยทั่วไป การถือปฏิบัติอย่างสม่ าเสมอและในรูปแบบเดียวกัน ระยะเวลา ความเชื่อว่าการถือปฏิบัตินั้นถูกต้องอันควรยอมรับว่าเป็นกฎหมาย ซึ่งแต่ละองค์ประกอบดังกล่าวอธิบายได้ดังนี้
การถือปฏิบัติกันโดยทั่วไป (general practice) ไม่ได้หมายความว่ารัฐทุกรัฐจะต้องยอมรับการถือปฏิบัติเช่นนั้นในลักษณะเป็นเอกฉันท์ หรือเป็นสากล และโดยทั่วไปแล้วการที่รัฐไม่คัดค้านการถือปฏิบัติในเรื่องใดหรือนิ่งเสียย่อมมีผลเท่ากับเป็นการยอมรับการถือปฏิบัติเช่นว่านั้น
การถือปฏิบัติอย่างสม่่าเสมอ (consistent) และในรูปแบบเดียวกัน (uniform) โดยไม่จำเป็นต้องถึงขนาดที่ต้องมีรูปแบบเดียวกันโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มีรูปแบบเดียวกันในสาระสำคัญก็เพียงพอ
ระยะเวลา (duration) ระยะเวลาของการถือปฏิบัติไม่ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการก่อให้เกิดจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ทั้งนี้เพราะระยะเวลาเป็นเพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการถือปฏิบัติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นมีความสอดคล้องสม่ำเสมอ หรืออยู่ในรูปแบบเดียวกันหรือไม่เท่านั้น
ความเชื่อว่าการถือปฏิบัตินั้นถูกต้องและควรยอมรับว่าเป็นกฎหมาย (opinion juris sive necessitatis) ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยการถือปฏิบัตินั้นอาจเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติ อัธยาศัยไมตรี หรือเป็นเพียงการกระทำในทางศีลธรรมหรือมนุษยธรรม
หลักกฎหมายทั่วไป (general principles of law)
ข้อ 38 (1) (c) แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้กล่าวถึงบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศอีกประเภทหนึ่งคือ หลักกฎหมายทั่วไปอันเป็นที่รับรองของอารยประเทศ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงหลักกฎหมายอันมีลักษณะทั่วไปจนถึงขนาดที่มีการยอมรับและใช้กันทุกระบบกฎหมาย โดยคำว่าระบบกฎหมายในที่นี้หมายถึงระบบกฎหมายภายในรัฐต่างๆ เช่น ระบบcommon law ระบบ civil law หรือแม้แต่ระบบ socialist law ซึ่งถือว่าเป็นระบบกฎหมายที่อารยประเทศใช้อยู่