Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สรุปบทที่ 5 นิติเวชสำหรับพยาบาล - Coggle Diagram
สรุปบทที่ 5
นิติเวชสำหรับพยาบาล
นิติเวชศาสตร์
วิชาแพทย์ที่มาใช้ช่วยหรือเกี่ยวข้องกับการทำงานทางด้านกระบวนการยุติธรรม
การชันสูตรพลิกศพ
การตรวจศพที่ตายหรือสงสัยว่าตายจากสาเหตุเฉพาะที่ระบุไว้ในกฎหมาย โดยวิธีการและบุคคลที่กฎหมายกำหนด
ระบบการชันสูตรพลิกศพ
ระบบศาล Coroner System
ระบบแพทย์สอบสวน Medical Examiner
ระบบตำรวจ Police System
ชันสูตรพลิกศพไปเพื่ออะไร
• ผู้ตายคือใคร
• ตายที่ไหน
• ตายเมื่อใด
• เหตุตาย
• พฤติการณ์ที่ตาย
• ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครหรือสงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำผิดเท่าที่ทราบ
การเปลี่ยนแปลงภายหลังตาย
1.Postmortem hypostasis
การตกลงสู่ที่ต่ำของเลือด เกิดขึ้นทันที เริ่มสังเกตเห็นที่ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมงหลังตาย จะไม่เคลื่อนที่เมื่อผ่านไป 8 ถึง 12 ชั่วโมงปัจจัยที่มีผลคือปริมาณเลือด สีผิวผู้ตาย การเน่า ข้อควรระวังคือบาดแผลฟกช้ำการเคลื่อนย้ายศพ สีที่พบ
2.Postmortem rigidity
หลังตายไม่มีระบบประสาทส่วนกลางมาควบคุมกำลังกล้ามเนื้อ muscle tone กล้ามเนื้ออ่อนตัว flaccid ATP ลดลง Lactic acid มากขึ้น กล้ามเนื้อแข็งตัว กระบวนการเน่าทำให้กล้ามเนื้อกลับมาอ่อนตัวอีกครั้ง วิธีตรวจคือเก็บหลักฐานก่อนขยับศพ เลือกขยับข้อต่อที่เล็กก่อน ตามลักษณะศพ ตามด้วยข้อใหญ่ ขยับให้ได้ตาม range of motion
3.Postmortem cooling
ปัจจัยที่มีผลคืออุณหภูมิขณะตาย สัดส่วนเนื้อเยื่อร่างกาย – ไขมันเป็นฉนวน พื้นที่ผิวต่อมวลศพ – คนผอมทารก ถ่ายเทความร้อนดีกว่า ท่าที่ตาย เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม ลม วัตถุสิ่งรอบตัวที่สัมผัสศพ
4.Postmortem eye change
เริ่มขุ่นเมื่อผ่านไป 2-3 ชั่วโมง หากเปิดตา หากปิดตา กระจกตาอาจใสได้ถึง 24 ชั่วโมง
5.Decomposition
เวลาตาย
1 วัน
2 วัน
3 วัน
5 วัน
1 สัปดาห์
3 สัปดาห์
3-6 สัปดาห์
ลักษณะที่พบ
ผนังหน้าท้องเริ่มเขียว
Marbling RLQ
พองโต ผิวหนังเริ่มลอก มีถุงน้ำ สีคล้ำ
หนังกำพร้าลอกเป็นส่วนใหญ่
กล้ามเนื้อใบหน้าสลาย เห็นกะโหลกบางส่วน
เนื้อเยื่อสลายมากขึ้น เห็นกระดูกทั่วร่างกาย เอ็นยังอยู่
เหลือแต่กระดูก เหลือเอ็นบ้าง
Supravitality
หลังตาย cell หรือ tissue แต่ละส่วนยังมีชีวิตอยู่ ตอบสนองต่อการกระตุ้น ขึ้นอยู่กับความคงทนต่อการขาดออกซิเจนของเซลล์นั้น
Mechanical excitability
วิธีตรวจนิยมใช้สันไม้เคาะบริเวณ biceps brachii หากตอบสนองกล้ามเนื้อจะหดตัวเป็นสันนูน แปลผล เกิดขึ้นภายใน 5 ชั่วโมง อาจใช้แรงหนีบด้วยมือ กรณีต้องตรวจ ณ ที่เกิดเหตุ ควรงอศอกไว้ระดับหนึ่ง เพื่อให้สังเกตได้ง่าย (แนบรูป)
การตรวจบาดแผล
บาดแผลฟกช้ำ (CONTUSIONS)
เกิดจากถูกบีบ หรือ กระทบ โดยวัตถุแข็งไม่มีคม ทำให้เส้นเลือดเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง หรือในชั้นผิวหนัง ฉีกขาด ไม่มีการฉีกขาดของชั้นผิวหนัง มี2ชนิด บาดแผลฟกช้ำใต้ชั้นผิวหนัง บาดแผลฟกช้ำในชั้นผิวหนัง
บาดแผลถลอก ABRASIONS
บาดแผลที่มีการลอกหลุดของผิวหนัง เกิดจากการถูครูดหรือกระแทกกับวัตถุที่ไม่มีคมมี 3 ชนิด
บาดแผลถลอกขีดข่วน Scratches
บาดแผลถลอกถูครูด Grazes
บาดแผลถลอกจากการกดกระแทก Imprint abrasion
บาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบ LACERATIONS
ผิวหนังถูกวัตถุไม่มีคมบดขยี้อย่างแรง จนฉีกขาดออกจากกัน ขอบแผลมีรอยถลอกและฟกช้ำ
บาดแผลฉีกขาดขอบเรียบCut wound
เกิดจากวัตถุมีคมลากผ่านผิวหนัง ไม่มีรอยช้ำหรือถลอกที่ขอบแผล แต่วัตถุที่ไม่ค่อยคมนักอาจพบได้ ไม่พบ bridging tissue ,Hair root ขาด
บาดแผลแทง Stab wound
ความลึกมากกว่าความยาว เกิดจากวัตถุปลายเล็กหรือแหลมดันผ่านผิวหนังไปตามความยาวของวัตถุ วัตถุอาจมีคมหรือไม่ก็ได้
บาดแผลกระสุนปืน Gunshot wound
มี 2 ชนิดคือบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดและบาดแผลกระสุนปืนลูกปราย
บาดแผลจากเล็บมือ Fingernail mark
บาดแผลจากเล็บมือจิก บาดแผลจากเล็บมือข่วน
บาดแผลจากการกัด Bite mark
Abrasion และ/หรือ intradermal contusion รูปครึ่งวงกลม
บาดแผลจากกระจกรถยนต์ที่แตก DICING INJURY
Cut wounds ตื้นๆ ร่วมกับ Scratches และ imprint abrasion เป็นเส้นตรง ๆ หลายแผล อยู่เป็นกลุ่ม
หลักการเก็บวัตถุพยาน
ปริมาณเพียงพอกับการตรวจพิสูจน์ เก็บให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง อยู่ในลักษณะธรรมชาติหรือใกล้เคียงขณะตรวจพบ