Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

A beautiful mind, หากมีอาการดังกล่าวควรจัดการผู้ป่วยตามขั้นตอน ABC ตามล…

- - - - กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือมีความความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย
        หากมีได้บำบัดรักษาจะเป็นอันตรายถึงแกชีวิตของผู้ป่วย
      - การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้าการกระทำต่อสมองหรือระบบประสาทหรือ การบำบัดรักษาด้วยวิธีอื่นใด ที่อาจเป็นผลทำให้ร่างกายไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างถาวรได้
  - - - มีภาวะอันตราย ผู้ที่มีพฤติกรรมคุกคามทำร้ายผู้อื่น ผู้ที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ ความคิด เป็นผลจากการเสพสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทำลายทรัพย์สินทั้งของคนอื่นหรือผู้อื่นโดยไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจ
      - มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตที่ไม่อาจปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เพราะจะทำให้โรคหรืออาการผิดปกติทวีความรุนแรงขึ้น
  - - - เพื่อนำส่งสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบำบัดรักษาที่อยู่ใกล้เคียงโดยไม่ชักช้ำ
  - - - มีแพทย์และพยาบาลอย่างละ 1 คน เป็นผู้ตรวจวินิจฉัยอาการเบื้องต้น
      - สถานพยาบาลของรัฐหรือหรือสถานบำบัดรักษาต้องประเมินอาการและวินิจฉัยเบื้องต้น ภายใน 48 ชั่วโมง
  - - - กรณีที่เป็นผู้ป่วยมาตรา 22 ให้บุคคลนั้นต้องเข้ารับการบำบัดรักษาในสถานบำบัดรักษา
      - ส่งรักษาในสถานบำบัด (โรงพยาบาลจิตเวช)เมื่อผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับกรตรวจวินิจฉัยและการประเมินอาการ์โดยละเอียดภายใน30 วันหลังรับไว้
- - - - มีอาการหวาดระแวงว่า
        มีคนตามฆ่าตามทำร้าย
      - มองซ้ายมองขวาเกือบตลอดเวลา
    - - ยอมรับในพฤติกรรมหวาดระแวง ไม่โต้แย้ง ต่อต้าน
      - ประมินอาการหวาดระแลงทุกครั้ง ที่มารับบริการ โดยสอบถามจากผู้ป่วยและญาติ เพื่อประเมินอาการและให้การพยาบาลได้เหมาะสม
      - 3.สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวตอตัว (One to one relationship
      - 4.พยาบาลต้องยอมรับและจัดบรรยากาศเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย
      - 5.ให้ผู้ป่วยมีกิจกรรม ลดเวลาที่ผู้ป่วยอยู่คนเดียว เพื่อทำให้มีความคิดหมกมุ่นเรื่องเดิม ๆ ลดลง
      - 6.ผู้ป่วยหวาดระแวง มักจะมีความโกรธก้าวร้าวควบคู่ไปด้วยเสมอควรใช้วิธีโอนอ่อนผ่อนปรนอดทนในสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกและให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ระบายความก้าวร้าว
      - การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผย จริงใจ รักษาคำพูด หลีกเลี่ยงการมองเห็น จ้อง หรือระมัดระวังการกระซิบกระชาบต่อหน้าผู้ป่วยเพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทาให้ร้าย
    - - สัมพันธภาพกับอื่นบกพรองเนื่องจากมีความคิดหวาดระแวง
      - บกพรองในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากมีความคิดหวาดระแวง
      - มีพฤติกรรมก้าวร้าวและไม่เป็นมีตรเนื่องจากมองโลกในแง่ร้าย
      - 4.มีแนวโน้มจะทำร้ายผ่อื่นเนืองจากมีพฤติกรรมไมเป็นมิตร
      - แยกตนเองเนื่องจากไม่ไว้ใจผู้อื่น
  - - - อาการ
        
        คิดว่ามีคนตามฆ่าและปองร้ายตน
      - การพยาบาล
        
        1.ประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย
        
        2.ยอมรับในการคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่โต้แย้ง ไม่ตำหนิ หรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้นไม่เป็นเรื่องจริงและไม่นำคำพูดผู้ป่วยไปล้อเล่น
        
        3.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอพูดคุยที่นุ่มนวลเป็นมิตรและอบอุ่นอดทนในการรับฟังเพื่อสร้างความไว้วางใจและให้ความร่วมมือ
        
        4.ใช้เทคนิค Clarifying การให้ความกระจ่าง คือ ความพยายามทำความเข้าใจในคํากล่าวของ ผู้ป่วย เช่น
        “ คนที่คุณพูดถึงหมายถึงใครค่ะ”
        
        5.ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
        
        7.จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยกำจัดวัตถุที่เป็นอันตรายเช่นของมีคมวัตถุที่ทำด้วยแก้วหรือกระจกออกจากตัวผู้ป่วย
        
        8.จัดสิ่งแวดล้อมให้กระตุ้นผู้ป่วยน้อยที่สุด เช่น จัดที่พักให้เป็นส่วนตัวมากที่สุด มีแสงสว่างพอเหมาะเงียบสงบ
        
        9.เฝ้าสังเกตอาการได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
      - ข้อวินิจฉัย
        
        1.ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากมีความคิดหลงผิด
        
        2.มีโอกาสได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุและการทาร้ายตนเองหรือผู้อื่น เนื่องจากมีอาการหลงผิด
        
        3.มีพฤติกรรมแยกตัวจากสังคมเนื่องจากขาดความมั่นใจในการสร้างสัมพันธภาพภาพกับผู้อื่นและมีอาการประสาท
        
        4.กระบวนการคิดแปรปรวน (disturbed thought
        process) เนื่องจากมีความคิดหลงผิด
  - - - อาการ
        
        เห็นภาพสายลับรัสเซียตามทำร้าย
        
        เห็นภาพสายลับด้วยกันสั่งให้ทำร้ายภรรยา
        
        เห็นภาพหลอนของชาร์ลมาเลี้ยงลูกให้
        
        เห็นรหัสที่ข้อมือ
        
        เห็นภาพชาร์ลที่ รพ.
      - การพยาบาล
        
        สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจตามหลักการพยาบาลจิตเวช
        
        รับฟังความคิดของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสินหรือตำหนิผู้ป่วย
        
        ไม่ได้เถียงกับผู้ป่วย หรือให้เหตุผลว่าความเชื่อของผู้ป่วยนั้นผิด
        
        จัดให้เข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมบาบัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้ติดต่อกับสิ่งที่เป็นจริง
        
        การสนทนากับผู้ป่วยที่มีความหลงผิด ควรนาเทคนิคการสนทนา การให้คาปรึกษาต่าง ๆ
        มาใช้ดังตัวอย่าง ดังนี้
        
        การของความกระจ่าง (Clarification)
        
        การสะท้อนความรู้สึก (Reflecting)
        
        การมุ่งประเด็น (Focusing)
        
        แก้ไขปัญหาที่เกิดจากผลของความคิดหลงผิด เช่น ความคับข้องใจ ความวิตกกังวล ความกลัว ความเศร้า
      - ข้อวินิจฉัย
        
        1.มีโอกาสทำร้ายตนเองและผู้อื่นเนื่องจากหูแว่วเห็นภาพหลอน
        
        2.เป็นโรควิตกกังวลและโรคย้ำคิดย้ำทา เนื่องจากเห็นภาพหลอน
        
        3.มีพฤติกรรมแยกตัวจากสังคมเนื่องจากขาดความมั่นใจในการสร้างสัมพันธภาพภาพกับผู้อื่นและมี
        อาการประสาทหลอนและหลงผิด
        
        4.เกิดปัญหาทางด้านการเงินและด้านกฎหมายและอาจกลายเป็นคนเรร่อน
- - - - S : ผู้ป่วยบอกว่า “เขาเห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน เขารู้สึกกลัวมากจึงวิ่งหนี”
      - S : ผู้ป่วยบอกว่า “กำลังถูกสะกดรอยตาม พวกมันไล่ล่าผมสะกดรอยผม”
      - S : ผู้ป่วยบอกว่า “สายลับรัสเซีย มันตามผมไปถึงที่บ้าน”
      - O:ผู้ป่วยเห็นภาพหลอนคิดว่าเพื่อนเลี้ยงลูกให้จนเกือบทำให้ลูกจมน้ำ
      - O : ผลการตรวจสภาพจิต - การคิด (Thought) จากการสนทนา ผู้ป่วยยังคงมีความเชื่อว่าตนเองเป็นสายลับของกระทรวงกลาโหม ถูกเรียกตัวให้ไปทาหน้าที่อย่างลับๆหลังเรียนจบปริญญาเอก
    - - ไม่ได้รับอันตรายจากการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นขณะอยู่ในโรงพยาบาล
    - - 1.ประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย
      - 2.ยอมรับในการคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่โต้แย้ง ไม่ตำหนิ หรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้นไม่เป็นเรื่องจริงและไม่นำคำพูดผู้ป่วยไปล้อเล่น
      - 3.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอ พูดคุยที่นุ่มนวล เป็นมิตรและอบอุ่น
      - 4.ใช้เทคนิค Clarifying การให้ความกระจ่าง คือ ความพยายามทำความเข้าใจในคํากล่าวของ ผู้ป่วย เช่น
        “ คนที่คุณพูดถึงหมายถึงใครค่ะ
      - .ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา ได้แก่ Thorazine 30 mg IM q 6 hrs และ Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn.พร้อมทั้งสังเกตผลและอาการข้างเคียงของยา
      - 6.ดูแลให้ได้รับการรักษา ECT 1 course (5 times per week/ 10 weeks) และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงของยา
      - 7.จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย กำจัดวัตถุที่เป็นอันตราย เช่น ของมีคม วัตถุที่ทำด้วยแก้วหรือกระจกออกจากตัวผู้ป่วย
      - 8.จัดสิ่งแวดล้อมให้กระตุ้นผู้ป่วยน้อยที่สุด เช่น จัดที่พักให้เป็นส่วนตัวมากที่สุด มีแสงสว่างพอเหมาะเงียบสงบ
      - 9.เฝ้าสังเกตอาการได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
  - - - S : ผู้ป่วยบอกว่า “ผมเก็บความลับเรื่องการเป็นสายลับมาตลอด”
      - S : ผู้ป่วยบอกว่า “พวกมันไล่ล่าผมสะกดรอยผม”
      - S : ผู้ป่วยบอกว่า “สาบลับรัสเซีย มันตามผมไปถึงที่บ้าน”
      - S : ผู้ป่วยหันมองรอบตัว แล้วหยุดชะงัก เพ่งมองไปที่ประตู “มันตามมาที่นี่แล้ว”
      - S : ผู้ป่วยบอกว่า “ชาร์ลส์ ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงๆ” ทั้งที่ในห้องมีแค่ผู้
        ป่วยกับพยาบาล
      - O : ผลการตรวจสภาพจิต
        
        -การคิด(Thought)จากการสนทนาผู้ป่วยคิดว่าตนเองกำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับรัสเซีย
        
        พื้นฐานอารมณ์ (Mood) จากการสนทนา ผู้ป่วยบอกว่าเขาเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่การมีคนมาสะกดรอยตามทาให้เขากลัวและกังวลอย่างมาก
        
        -ลักษณะการพูด (Speech) จากการสังเกต ผู้ป่วยพูดตะกุกตะกักในบางครั้ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ การถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว
    - - ไม่มีพฤติกรรมแยกตัว
      - มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้นอย่างเหมาะสมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล
      - ไม่มีอาการประสาทหลอนและหลงผิด รับรู้สิ่งเร้าได้ถูกต้องก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล
    - - สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอด้วยท่าทีเป็นมิตร โดยใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเงียบ พยายามสบตาและสัมผัสผู้ป่วยด้วยความระมัดระวังถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่พูด ถามคำถามง่าย ๆ
      - 2.สนใจและให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกกลัวหรือความวิตกกังวลที่เกิดจากความคิดหลงผิดและประสาทหลอน สนทนากับผู้ป่วยในเรื่องที่เป็นจริง
      - ประเมินอาการประสาทหลอนเช่น พูดและหัวเราะคนเดียว รับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าถึงอาการประสาทหลอนโดยไม่โต้แย้งและไม่ขัดจังหวะ
      - 4.. ส่งเสริมให้ใช้เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดวิธีต่าง ๆ
      - กระตุ้นให้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เมื่อผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจพยาบาลโดยให้เข้ากลุ่มเล็กก่อน เมื่อปรับตัวได้ดีขึ้น จึงให้เข้ากลุ่มใหญ่
      - ดูแลให้ได้รับยารักษาอาการทางจิตตามแผนการรักษา และติดตามผลข้างเคียง
        
        Thorazine 30 mg IM q 6 hrs ติดตามอาการข้างเคียง คือ กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก (Dystonia) นั่งไม่ติดที่ (Akathisia) อาการคล้ายพาร์กินสัน (Pseudoparkinsonism) การขยับของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติควบคุมไม่ได้ที่บริเวณปาก ลิ้น ใบหน้า แขนขาหรือลำตัว (Tardive dyskinesia)
        
        Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn ติดตามอาการข้างเคียง คือ ภาวะซึมเศร้า ปวดหัว ท้องผูก
        กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อกระตุก ปากแห้ง ความสนใจทางเพศลดลง
  - - - S:ภรรยาเล่าว่า “ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง”
      - S:ช่วงวัยเด็กชอบเก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนสนิท
      - S:ช่วงวัยรุ่นชอบเก็บตัว
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยสื่อสารด้วยภาษาพูดที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ และลดพฤติกรรมแยกตัว
    - - 1.พยาบาลควรประเมินลักษณะการสื่อสารของผู้ป่วยว่ามีความบกพร่องอย่างไรเช่น พูดหลายเรื่องผสมกันจนคนฟังไม่เข้าใจ หรือไม่พูด เพราะอาการทางจิตต่างๆ
      - พยาบาลสร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ
      - นำเทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดมาใช้ เช่น ในกรณีที่พูดหลายเรื่อง พยาบาลควรให้ผู้ป่วยหยุดพูดเป็นครั้งคราวและกระตุ้น ให้ผู้ป่ววยได้อธิบายสิ่งที่เขาได้พูดไป ก
      - เมื่อสัมพันธภาพดำเนินมาสักระยะ พยาบาลควรชักชวนผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งกิจกรรมระยะแรกควรเป็นกิจกรรมที่ง่ายๆ
      - เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมกับสมาชิกอื่นที่ ผู้ป่วยพอใจและพยาบาลควรให้กำลังใจหรือแรงเสริม
      - พยาบาลต้องตระหนักว่าพฤติกรรมแยกตัวนั้นเป็นปัญหาด้านนความสามารถทางด้านสังคมที่ เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพของผู้ป่วย ดังนั้น พยาบาลต้องอดทนให้เวลาผู้ป่วยในการปรับปรุง
- - - - ฝึกทักษาการใช้ชีวิตในสังคม ทักษะการประกอบอาชีพทักษะการสื่อสาร เพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ
    - - มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยจัดการกับความเครียดและอาการป่วย
        เพื่อช่วยให้มีทักษาด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมที่ดีขึ้น
    - - ให้ความรู้และการสนับสนุนแก่ครอบครัวของผู้ป่วย
    - - การพูดคุยหรือให้ระบายความคิดและความรู้สึก
        เพื่อช่วยเปลี่ยนวิธีพูด วิธีคิด การรู้สึกหรือพฤติกรรม
  - - - Thorazine 30 mg IM q 6 hrs *
        
        กลุ่มยา
        
        Antipsychotic agent
        
        สรรพคุณ
        
        1.ใช้รักษาและควบคุมอาการโรคจิตชนิดคุ้มคลัง และโรคจิตเภท (mania andschizophrenia)
        
        ผลข้างเคียง
        
        ตาพร่า
        
        ความดันในลูกตาเพิม
        
        ปากคอแห้ง
        
        ท้องผูก
        
        ปัสสาวะคัง
        
        ง่วง
        
        รับประทานอาหารได้มากขึ้น
        
        การพยาบาล
        
        แนะนำผู้ป่วยให้เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ จากท่านอนเป็นท่านั่ง หรือยืน ถ้ามีอาการวิงเวียน เพราะอาจหน้ามืด ล้มเกิดอุบัติเหตุได้
        
        ตรวจ V/S เพื่อประเมินสัญญาณชีพ
        
        ยาอาจทำให้มีปัสสาวะคั่ง ควรสอบถามและประเมินการขับถ่ายปัสสาวะ ถ้ามีอาการให้รายงานแพทย์ทราบ
        
        6.ผู้ที่มีอาการท้องผูก แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ถ้ามีอาการมากให้รายงานแพทย์ทราบ
        
        ระวังอาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก
        
        7.ยาอาจทำให้แพ้แสง เช่น(CPZ) แนะนำให้ผู้ป่วยระวังการถูกแสงแดดจ้า ให้สังเกตผิวแดง และคล้ำจากการโดนแสงแดด
        
        8.ไม่ใช้ร่วมกับยาลดความดันโลหิต ยานอนหลับ
        
        การออกฤทธิ์
        
        ยับยั้งการจับของโดปามีนทำให้โดปามีนลดลง
      - Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn
        
        กลุ่มยา
        
        Benzodiazepines
        
        ผลข้างเคียง
        
        อาการไม่พึงประสงค์เกิดจากฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
        
        ง่วงซึม
        
        กล้ามเนื้อทํางานไม่ประสานกัน
        
        กล้ามเนื้อเปลี้ย
        
        สับสน
        
        มึนงง
        เวียนศีรษะ
        
        ใจสัน ชีพจรเต้นเร็ว
        
        ภาวะหลอดเลือดดําอักเสบ
        
        ภาวะหลอดเลือดดํามีลิ่มเลือด
        
        สรรพคุณ
        
        คลายกังวลหรือกล่อมประสาท ทําให้จิตใจสงบ ใช้สําหรับรักษาผู้ป่วยทีมีอาการผิดปกติทางอารมณ์ เช่นความเครียด วิตกกงวล
        
        การพยาบาล
        
        ติดตาม V/S
        
        HR < 60 หรือ > 140 ครั้ง/นาที
        
        RR < 12 ครั้ง/นาที
        
        BP < 90/60 mmHg
        
        สังเกตุอาการ มีอาการง่วงซึม พูดช้า สับสนมึนงง ปวดศีรษะ
    - - ทำให้เกิดการชักโดยใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้น
        ผ่านสมองไม่มีอันตรายต่อสมอง กระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นให้สารสื่อนำประสาทภายในสมองที่หลั่งผิดปกติได้กลับมาทำงานโดยสม่ำเสมอ
      - ข้อบ่งชี้
        
        ใช้ในผู้ป่วยโรคจิตเวชที่มีอาการรุนแรงอย่างมาก มีปัญหาในการให้ยาหรือ รักษาด้วยวิธีอื่น ไม่ได้ผล และมีอาการแทรกซ้อนต่างๆ
        
        ก. Affective disorders
        
        1.Depressive episode โดยเฉพาะ ผู้ป่วยที่มีอารมณ์เศร้า อย่างมาก ถึงขนาดคิด ฆ่าตัวตาย หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เช่นแยกตัว ไม่กินอาหาร
        
        2.Manic episode ปัจจุบันไม่ค่อยใช้
        
        ข. Schizophrenia โดยเฉพาะ catatonic type การรักษาด้วย ECT จะทำให้อาการดีขึ้น อย่างรวดเร็ว ส่วน chronic schizophrenia การรักษาด้วย ECT อย่างเดียวไม่ได้ผล ควรให้ ยารักษาโรคจิตร่วมไปด้วยเสมอ
        
        ค. Schizoaffective disorder ผู้ป่วยจะมีความกังวลลดลง
        
        ง. Obsessive compulsive disorder
        
        อาการของคนไข้รุนแรง จนรบกวนผู้ป่วยมาก
        
        ให้การรักษาด้วยวิธีต่างๆ แล้วอาการไม่ดีขี้น
      - การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        
        CBC
        
        UA เพื่อประเมิน renal function
        
        Electrolytes potasium ที่สูงจะมีผลต่อหัวใจ
        ถ้าต่ำอาจฟื้นจากยาสลบช้า
        
        EKG , CXR เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจและปอด
        
        CT หรอ MRI ในกรณที่ผู้
        ปว่ยอาจมโรคลมชัก หรือspace occupying lesion
      - การเตรียมผู้ปว่ยก่อนทำ ECT
        
        ให้ญาติหรือผู้รับผิดชอบผู้ป่วยทราบและเซ็นใบยินยอมให้การรักษา หลังจากที่ได้อธิบายญาติและผู้ป่วย ทราบถึงความจำเป็น รวมทั้งข้อดขี้อเสีย
        
        งดน้ำและอาหารก่อนทำ 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสำลักอาหาร
        
        ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะ อุจจาระให้เรียบร้อยก่อนทำ
        
        ถ้ามีฟันปลอมให้ถอดฟันปลอมออก เพื่อป้องกันฟันปลอมหลุดร่วงงลงไปในคอ
        
        ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าที่รู้สึกสบาย เพื่อสะดวกในการติดอุปกรณ์ต่างๆ ควร ถอดของมีค่าออก เพื่อป้องกันการสูญหาย
        
        ผมควรจะสะอาดและแห้ง ไม่ควรสวมเครื่องประดับเพื่อสะดวกในการติดแผ่นอิเลคโทรด
        
        การเตรียมผู้ป่วยทางด้านจิตใจ โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกของตนต่อการรักษาด้วย ECT แล้ว ให้การช่วยเหลือ โดยสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้ป่วย เช่น ให้คุยกับผู้อื่นที่เคยรักษาด้วยวิธีนี้ี พาไปดูห้องทำ ECT ให้ดูวิดี โอพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วย
      - การปฏิบัติตัวหลังการรักษา
        
        1.จัดท่านอนหงายราบ เอียงศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลัก
        
        2.ตรวจวัดสัญญาณชีพพร้อมบันทึก
        
        3.สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดระวังการหยุดหายใจการตกเตียงจากอาการสับสน
        
        4..ผู้ป่วยจะมีอาการนึกคิดอะไรไม่ค่อยออกบางรายอาจมีอาการปวดหัวหรือปวดหลังไม่ควรถามเรื่องชับช้อนให้ความรู้ใหม่ (Reorientation) เกี่ยวกับวันเวลาสถานที่บุคคลที่อยู่รอบข้าง
        
        5.ลงบันทึกเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยทั้งก่อนทำ ขณะทำ
        หลังทำและระยะเวลาในการชักพร้อมทั้งอาการผิดปกติอื่นๆ
      - ข้อดี
        
        ช่วยให้อาการทางจิตของผู้ป่วยทุเลาอย่างรวดเร็ว สามารถคงสภาพไม่ให้อาการกำเริบซ้ำ
      - อาการข้างเคียง
        
        Headache
        
        ซึ่งอาการมักหายเองใน 2-8 ชั่วโมง
        
        Memory loss
        
        การสูญเสียความจำซึ่งจะกลับมาใน 24 ชั่วโมง ส่วนมากจะกลับมาปกติภายในเวลา 6 เดือน
        
        Prolong seizure
        
        ชักซึ่งนานเกนิกวา่ 180 วินาทีทำให้เกิด
        postictal confusion และ amnesia ควรได้รับการรักษาด้วย benzodiazepine
        
        Cardiovascular system
        
        ขณะชักความดันโลหิตจะสูง หลังชัก จะคอ่ยๆ ลดลงมาอยูในเกณฑ์
        ปกติ
        
        Musculoskeleton system การปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
        
        Gastrointestinal system อาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน
        
        Brain damage
        
        Musculoskeletal injury
- - - - มีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป นาน 1 เดือนและต้องมีอย่างน้อย 1 อาการในข้อ 1,2 หรือ3
        
        Delusion
        
        Hallucinations
        
        Disoranized speech
        
        Negative simptoms
        
        Grossly disorganizedor Catatonic behavio
        
        กรณีศึกษา
        
        Delusion
        
        หวาดระแวงคิดว่ามีคนมาทำร้าย
        
        ท่าทีหวาดกลัวขณะคุยกับพยาบาล
        
        Hallucinations
        
        Disoranized speech
        
        พูดตะกุกตะกักในบางครั้ง
        
        พูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ ถูกสะกดรอยตามจะพูดรัวเร็ว
        
        พูดเสียงเบา หันมองรอบตัว แล้วหยุดชะงัก
    - - ระดับความมารถในด้านสำคัญๆ เช่น ด้านการทํางาน การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น หรือการดูแลตนเอง ลดลงไปจากเดิมอย่างชัดเจนอย่างน้อยหนึ่งด้าน
        
        กรณีศึกษา
        
        ด้านการทำงาน
        
        หวาดระแวงจนไม่สามารถทำงานได้
        
        ด้านสัมพันธภาพ
        
        เก็บตัว
        
        สัมพันธภาพกับครอบครัวลดลง
    - - มีอาการโรคจิตต่อเนื่องนาน 6เดือนขึ้นไปโดยอย่างน้อยต้องมีอาการตรงตามเกณฑ์ข้อ A อย่างน้อย 1 เดือน
        
        กรณีศึกษา
        
        มีอาการตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์จนถึงวัยสูงอายุ
    - - ต้องแยกโรคจิตอารมณ์โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สอองขั้ว
    - - ต้องแยกอาการโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายและสารเสพติด
        
        กรณีศึกษา
        
        ไม่ใช้สารเสพติด
    - - ผู้ป่วยที่มีประวัติกลุ่มโรคออทิสติก หรือโรคเกี่ยวกับการสื่อสารตั้งแต่ยังเด็กจะวินิจฉัยโรคจิตเภทก็
        ต่อเมื่อมีอาการหลงผิดหรืออาการประสาทหลอนที่เด่นชัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ร่วมด้วยออก