Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Hodgkin lymphoma of parotid gland - Coggle Diagram

- - - - เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด
    - - การพยาบาล
        1.ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าเส้นเลือด 1 กรัม หรือใช้วิธีหยดยาเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ 2-4 นาที ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงเพิ่มปริมาณเป็น 2-4 กรัม ทุกวันๆละครั้ง
        2.เด็ก อายุ 12 ปี หรือต่ำกว่า ฉีดยาเข้าเส้นเลือดที่ความเข้มข้นยา 20-50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละครั้ง หรือ 80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรง หากให้ยา ≥50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ควรหยดเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ อย่างน้อย 30 นาที
        3.เด็กแรกเกิด ปริมาณยาสูงสุด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ ให้นานกว่า 60 นาที ต่อวัน
      - ผลข้างเคียง: มีอาการบวมแดง เจ็บปวดในบริเวณที่ถูกฉีดยา ท้องร่วง หรือคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย ปวดศีรษะ มึนงง
    - - เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin)/ ตัวยามีฤทธิ์เข้าจับกับ penicillin-binding protein (PBPs) ที่จะยับยั้งกระบวนการ ทรานส์เปปทิเดชันในขั้นตอนสุดท้ายของการสังเคราะห์ เปปทิโดไกลแคนของผนังเซลล์ของแบคทีเรีย เป็นผลให้ยับยั้งสารชีวสังเคราะห์ของผนังเซลล์แบคทีเรียและหยุดการประกอบโครงสร้างของผนังเซลล์ Ceftriaxone มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อที่กว้าง ในแบคทีเรียที่มีเอนไซม์บีต้า- เลคแตมเมส เพื่อทำลายยา พบว่าเซฟไตรอะโซนมีความคงตัวมากที่สุด
  - - - เป็นยาบรรเทาอาการปวดระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง (ทั้งชนิดอาการปวดแบบเฉียบพลันและปวดแบบเรื้อรัง) ใช้เมื่อมีอาการปวด เนื่องจากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด right superficial parotidectomy
    - - ผลข้างเคียง: อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจทำให้เกิดอาการชักได้
      - การพยาบาล
        
        ติดตามผลข้างเคียง เช่น มึนงง ง่วงนอนการมองเห็นไม่ชัด (หลีกเลี่ยงการขับรถ) คลื่นไส้(รับประทานยาพร้อมอาหารรับประทานอาหารทีละน้อย บ่อยครั้ง) เป็นต้น
        
        รายงานให้แพทย์ทราบ หากผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ มึนงง ท้องผูกอย่างรุนแรง
    - - ยาในกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid)/ มีกลไกการออกฤทธิ์อยู่ 2 อย่างที่สำคัญ คือ ออกฤทธิ์กระตุ้น มิวรีเซปเตอร์ (µ-receptor) ซึ่งเมื่อกระตุ้นแล้วจะมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด รวมทั้งมีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาท และมีผลทำให้เกิดภาวะเคลิ้มสุข (Euphoria) ซึ่งการออกฤทธิ์นี้จะเหมือนกับการออกฤทธิ์ของยามอร์ฟีน แต่ยา ทรามาดอลจะมีความแรงน้อยกว่าประมาณ 10 เท่า (บางข้อมูลระบุว่า มีความแรงน้อยกว่าประมาณ 5-20 เท่า) จึงทำให้ยานี้ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษเหมือนกับมอร์ฟีน (แต่ยังจัดเป็นยาอันตรายและยังมีจำหน่ายตามร้านขายยา) อย่างไรก็ตาม แม้ยาทรามาดอลจะออกฤทธิ์น้อยกว่ามอร์ฟีนถึง 10 เท่า แต่ก็ยังมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้ดีเนื่องจากมีกลไกการออกฤทธิ์อีกอย่างหนึ่งมาช่วยเสริมฤทธิ์ คือ ฤทธิ์เพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้เมื่อมีปริมาณเพิ่มขึ้นที่ไขสันหลังจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
  - - - ใช้เมื่อมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน จากสาเหตุอาเจียนหลังการผ่าตัด
    - - ผลข้างเคียง: ง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ ท้องผูกหรือท้องเสีย ปากแห้ง มีผื่นขึ้นตามร่างกายอาการบวม เต้านมโตในผู้ชายและหมดสมรรถภาพทางเพศ ในผู้หญิงมีน้ำนมไหลและขาดประจำเดือน
      - การพยาบาล: ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วยดังนี้
        
        1.ให้หลีกเลี่ยงการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและการขับรถขณะรับประทานยา
        
        หากต้องการป้องกันอาการอาเจียนขณะรับประทานอาหาร ต้องให้รับประทานยาก่อนอาหารประมาณ 30 นาที
        
        3.ควรเก็บยาไว้ในขวดสีชา เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแสง สำหรับยาฉีดหากใช้ไม่หมดให้ทิ้งไป ห้ามเก็บไว้ใช้อีก เพราะยาเสื่อมสภาพเมื่อถูกแสง
        
        สังเกตอาการแพ้ยาและอาการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับการกดสมองของยา ในคนอายุน้อย เด็กหรือผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูงๆ ต้องสังเกตอาการที่เรียกว่า Extrapyramidal symptoms ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีการสั่นกล้ามเนื้อเกร็ง การเคลื่อนไหวลำบาก ตาเหลือก ลูกตาวิ่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว อาการการหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดในหลอดอาหาร
        
        สังเกตภาวะโซเดียมในเลือดสูงและโปแตสเซียมในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหัวใจ
        
        อาการต่างๆ ซึ่งเกิดจากระดับโปรแลคตินเพิ่มขึ้นในเลือด เช่น เต้านมโต มีน้ำนมไหล เป็นต้น โดยปกติจะหายไปภายในเวลา 2-3 สัปดาห์หรือ 1 เดือนหลังหยุดยา
        
        ดูแลความสะอาดปาก ฟัน หากมีอาการปากคอแห้งให้ดื่มน้ำมากขึ้น
    - - ยากลุ่มยาต้านอาเจียน/ ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับโดปามีน (dopamine) และในขนาดยาที่สูงจะสามารถยับยั้งตัวรับ เซโรโทนิน (serotonin) ในบริเวณตัวรับเคมีของระบบประสาทส่วนกลาง เมโทโคลพราไมด์เพิ่มการตอบสนองต่อ อะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินอาหารส่วนบน เป็นสาเหตุให้เกิดการเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ เร่ง gastric emptying time โดยที่ไม่มีการกระตุ้นกระเพาะอาหาร น้ำดี หรือการหลั่งสารของตับอ่อน และยังช่วยเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter)
  - - - ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือมีไข้
    - - ผลข้างเคียง: ง่วงซึม แพ้ยา เช่น มีผื่น บวม เป็นแผลที่เยื่อบุช่องปาก มีไข้ เป็นต้น ในขนาดที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดตับวายและถึงแก่ความตายได้ คลื่นไส้ อาเจียนอ่อนเพลีย อาการดีซ่าน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
      - การพยาบาล: ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วยดังนี้
        
        ควรดื่มน้ำ เครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารเหลวบ่อยๆ เพื่อช่วยลดความร้อน ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหลังรับประทานยา
        
        2 ไม่ซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานานเพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง
        
        ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับและผู้ที่ติดแอลกอฮอล์
        
        หากผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด ควรได้รับการรักษาโดยการล้างท้องและได้รับยา N-acetylcysteine ซึ่งได้ผลดีภายใน 10 ชั่วโมง หลังได้รับยาเกินขนาด
    - - ยากลุ่มบรรเทาอาการปวดและยาต้านไข้ (Analgesics and Antipyretics)/ กลไกการออกฤทธิ์ โดยการไปยับยั้งการสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในระบบประสาทส่วนกลางและเพิ่มระดับกั้นความเจ็บปวด (Pain threshold) นอกจากนี้ยังสามารถเหนี่ยวนำฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้โดยการไปยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase โดยเฉพาะชนิดที่ 2 แต่มีฤทธิ์อ่อน และยับยั้งเอน ไซม์ไซโคลออกซีเจเนสแบบผันกลับได้ นอกจากนี้ยังมีกลไกอื่นๆที่สามารถยับยั้งอาการปวด เช่น การกระตุ้นตัวรับแคนนาบินอยด์ชนิดที่ 1 ทางอ้อม เป็นต้น ส่วนกลไกการลดไข้นั้น ยาจะไปยับยั้งการสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในระบบประสาทส่วนกลางและยับยั้งศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้หลอดเลือดส่วนปลายขยาย และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  - - - เพื่อรักษาความสมดุลในร่างกาย เนื่องจากผู้ป่วยงดน้ำ-งดอาหาร ก่อนและหลังผ่าตัด
    - - ผลข้างเคียง: น้ำตาลในเลือดสูง หากให้ในอัตรามากกว่า 0.5 กรัม / กิโลกรัม / ชั่วโมง อาจเกิด Hypokalemia, Hypophosphatemia, Hypomagnesemia
      - การพยาบาล
        
        ชั่งน้ำหนัก ตวงน้ำ ตวงปัสสาวะ
        
        ติดตาม
    - - ประเภทสารน้ำแก้ไขภาวะความไม่สมดุลของน้ำอิเลคโทรไลต์/ การ ออกฤทธิ์ Dextrose เป็นน้ำตาลตามธรรมชาติที่อยู่ในอาหารและถูก เผาผลาญเป็นคาร์โบไฮเดรตต่อไปจะเผาผลาญเป็คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ (CO, + HO) ให้พลังงานกับเซลล์
- - - - -การดูแลด้านจิตใจ 1.สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยโดยการแนะนำตัวเองกับผู้ป่วยและญาติ และแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ในหอผู้ป่วย
        
        2.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกวิตกกังวล เพื่อลดความ วิตกกังวลและรับฟังผู้ป่วยอย่างตั้งใจ
        
        3.แจ้งและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าจะทำการผ่าตัดนำเอาก้อนที่อยู่บริเวณต่อมน้ำลายใต้หูออกหลังการผ่าตัดอาจมีอาการปวดและชาบริเวณแผลได้
        
        4.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสอบถามในข้อที่สงสัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ป่วยมีข้อซักถาม
        
        5.ให้กำลังใจและเห็นใจโดยใช้คำพูดที่สุภาพ ใช้คำพูดที่ผู้ป่วยเข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ทางการแพทย์ อธิบายเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ป่วยไม่เข้าใจ
        
        6.แนะนำวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ การทำสมาธิ เป็นต้น
        
        -การดูแลด้านร่างกาย
        
        1.ดูแลงดน้ำ-งดอาหารและยาทุกชนิดทางปากหลังเที่ยงคืนก่อนผ่าตัด
        
        2.ดูแลเปิดเส้นเพื่อให้สารน้ำ 5%DNSS/2 จำนวน 1,000 มิลลิลิตร ทางหลอดเลือดดำ อัตราหยด 60 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง ตามแผนการรักษา
        
        3.เก็บเลือด CBC,BUN,Cr,FBS,electrolyte,anti HIV เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและติดตามผลการตรวจ
        
        4.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
        
        5.แนะนำทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน สระผม ให้สะอาด โกนขนทำความสะอาดบริเวณข้างที่จะผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยทาสีเล็บให้ล้างเล็บออก งดแต่งหน้าทาริมฝีปาก ทาครีมและเครื่องสำอางทุกชนิด
        
        6.ก่อนเข้าห้องผ่าตัดให้ผู้ป่วยสวมชุดโรงพยาบาล ถอดชุดชั้นใน เครื่องประดับและของมีค่าทุกชนิดออก เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู แว่นตา นาฬิกา คอนแทคเลนส์ และฟันปลอม (ชนิดถอดได้) เพื่อป้องกันการหลุดของฟันปลอมเข้าไปอุดหลอดลมขณะผ่าตัดโดยเก็บไว้ที่ญาติผู้ป่วย
        
        ให้ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด
    - - -ผู้ป่วยมีสีหน้าที่ดีขึ้นความเครียดลดลง
        -ผู้ป่วยปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องก่อนได้รับเข้าการผ่าตัด
    - - วัตถุประสงค์
      - 1.ความวิตกกังวลและความกลัวในการผ่าตัดของผู้ป่วยลดลง
      - 2.ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษาและการปฏิบัติตนก่อนผ่าตัด
      - เกณฑ์การประเมิน
      - -ผู้ป่วยมีสีหน้าที่ดีขึ้นความเครียดลดลง
      - -ผู้ป่วยปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องก่อนได้รับเข้าการผ่าตัด
  - - - วัตถุประสงค์
        
        ผู้ป่วยปลอดภัยและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        -ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัวลดลง อาการชาบริเวณใบหู
        
        หลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยวเวลายิ้ม มีเหงื่อออกที่ผิวหนังบริเวณหน้า อ้าปากได้น้อยลง การบวมของแผลผ่าตัดจากการคั่งของน้ำลายใต้แผลผ่าตัด เป็นต้น
        
        -Vital sign อยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        P = 60-100ครั้ง/นาที,
        
        R = 16-24 ครั้ง/นาที,
        
        T = 36.5-37.4 องศเซลเซียส
        
        BP =ไม่น้อยกว่า 90/60 mmHg และ ไม่เกิน 140/90 mmHg
    - - 1.ประเมินสภาพผู้ป่วย ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง, 30 นาที 2 ครั้งและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะปกติ เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ถ้าไม่มีอาการเปลี่ยนแปลงวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
        
        2.ให้การพยาบาลและสัมผัสผู้ป่วยอย่างนุ่มนวล จัดท่านอนศีรษะสูง 30-450
        
        3.สังเกตและประเมินภาวะเลือดออกใต้ผิวหนังแผลผ่าตัด
        
        4.ดูแลระบบการทำงานของขวดสุญญากาศ โดยป้องกันมิให้เกิดการพับงอและดึงรั้งของสายยางที่ต่อออกจากแผลถึงขวดระบายสารคัดหลั่ง ระวังมิให้ผู้ป่วยนอนทับสายยาง สังเกตสี ลักษณะ จำนวนสิ่ง คัดหลั่งและบันทึกไว้
        
        5.ประเมินและสังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด ได้แก่ อาการชาที่ใบหู การเกิดอันตรายกับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า ทำให้มีอาการปิดตาไม่สนิท ปากเบี้ยวเวลายิ้ม การบวมของแผลผ่าตัดจากการคั่งของน้ำลายใต้แผลผ่าตัด อ้าปากได้น้อยลง เป็นต้น
        
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำ 5%DNSS/2จำนวน 1,000 มิลลิลิตร ทางหลอดเลือดดำ อัตราหยด 80 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง ตามแผนการรักษา
        
        6.บันทึกสารน้ำเข้าออกจากร่างกาย
    - - -ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัวลดลง อาการชาบริเวณใบหู หลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยวเวลายิ้ม มีเหงื่อออกที่ผิวหนังบริเวณหน้า อ้าปากได้น้อยลง การบวมของแผลผ่าตัดจากการคั่งของน้ำลายใต้แผลผ่าตัด เป็นต้น
        -Vital sign อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  - - - วัตถุประสงค์
        
        -เพื่อบรรเทาความไม่สุขสบายจากอาการปวดแผลผ่าตัด
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        -ผู้ป่วยบอกว่าสุขสบายมากขึ้น อาการปวดบรรเทาลดลง
        
        -ผู้ป่วยพักผ่อนได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
        
        -Pain score อยู่ระหว่าง 0-3 คะแนน
    - - -ผู้ป่วยบอกว่าสุขสบายมากขึ้น อาการปวดบรรเทาลดลง
        
        -ผู้ป่วยพักผ่อนได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
        
        -Pain score ลดลงเหลือ 1 คะแนน
    - - 1.ประเมินอาการปวดผู้ป่วยด้วย Pain score เพื่อทราบระดับความปวด
        
        2.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาแก้ปวด Tramal 50 mg. ทางหลอดเลือดดำ ทุก 8 ชั่วโมงหรือเมื่อมีอาการปวด ตามแผนการรักษา และประเมินการปวดภายหลังได้รับยา 15 นาที เพื่อวางแผนการพยาบาล และสังเกตผลข้างเคียงของยา
        
        3.จัดท่านอนที่สุขสบาย เพื่อบรรเทาอาการปวด
        
        แนะนำเทคนิคหรือวิธีการที่ช่วยให้มีการผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวด เช่น การทำสมาธิ ฟังเพลง อ่านหนังสือ การหายใจช้า ๆ เป็นจังหวะ เพื่อลดสิ่งเร้าทางอารมณ์และเบี่ยงเบนความสนใจ
        
        5.พูดคุยและสัมผัสอย่างอ่อนโยนให้การพยาบาลด้วย ท่าทีที่นุ่มนวล
        
        6.ดูแลสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อน
  - - - 1.ประเมินแผลบริเวณแผลผ่าตัด และสังเกตลักษณะบาดแผล
        
        2.บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย(temperature) เพื่อประเมินการติดเชื้อ
        
        3.ล้างมือก่อนและหลังทุกครั้งให้การพยาบาลทุกครั้ง และให้
        
        การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic Technique
        
        4.ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone 2 mg.ทางหลอดเลือดดำวันละ 3x3 doses ตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และสังเกตผลข้างเคียงหลังได้รับยา เช่น ผื่นขึ้น คัน อาการบวมแดง เจ็บปวดในบริเวณที่ถูกฉีดยา ท้องร่วง
        
        หรือคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ มึนงง เป็นต้น
        
        6.ดูแลทำความสะอาดแผลผ่าตัดแบบ dry dressing วันละครั้ง
        
        7.ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด ไม่แกะเกาบาดแผล ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
        
        8.ติดตามผลการตรวจ CBC เพื่อทราบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตามแผนการรักษา
    - - -ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย เป็นต้น
        
        -อุณหภูมิร่างกายอยู่ใน
        
        เกณฑ์ปกติระหว่าง 36.5-37.4 องศาเซลเซียส -แผลผ่าตัดไม่มีเลือดซึม ไม่ปวด บวม แดง
        
        -ไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่ม
    - - วัตถุประสงค์
        
        -ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อหลังการผ่าตัด
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        -ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย เป็นต้น
        
        -อุณหภูมิร่างกายอยู่ใน
        
        เกณฑ์ปกติระหว่าง 36.5-37.4 องศาเซลเซียส -แผลผ่าตัดไม่มีเลือดซึม ไม่ปวด บวม แดง
        
        -ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        
        WBC = ปกติ
        
        Neutrophil = ปกติ
  - - - วางแผนจำหน่าย (Discharge Plan) โดยใช้ หลัก D METHOD
        
        D Diagnosis ให้ความรู้เรื่อสาเหตุ อาการ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อบริเวณต่อมน้ำลายใต้หูออก
        
        M Medicine แนะนำการใช้ยาที่ตนเองได้รับอย่างละเอียด สรรพคุณของยา ขนาด วิธีใช้ ข้อควรระวังในการใช้ยา
        
        E Environment /Environment การจัดการสิ่งแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของตนเองให้ผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได
        
        T Treatment แนะนำให้ไปทำแผลที่คลินิก ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านวันละ 1 ครั้ง รับประทานยาปฏิชีวนะจนครบตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        H Health แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายได้ตามปกติ งดเว้นการกระทบกระแทกบริเวณบาดแผล พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
        
        O Out patient อธิบายให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอแนะนำสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนวันนัด ได้แก่ ปวด บวม แดง ร้อน มีเลือดหรือสารคัดหลั่งออกมาจากบาดแผล มีไข้สูง มีอาการชาบริเวณใบหน้าด้านที่ผ่าตัด หลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยว มีเหงื่อออกที่ผิวหนังบริเวณหน้า
        
        D Diet แนะนำรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วและเพิ่มภูมิต้านทานของโรค โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว นม และอาหารประเภทผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ทำให้เนื้อเยื่อและเส้นเลือดที่สร้างใหม่แข็งแรง
    - - 1.ผู้ป่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้
        
        การปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่
        
        บ้านได้อย่างถูกต้อง
        
        2.ผู้ป่วยปฏิบัติตัวและดูแลตัวเอง
        
        อย่างต่อเนื่องที่บ้านได้ถูกต้อง
    - - วัตถุประสงค์
        
        -เพื่อให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวหลังกลับบ้านได้ถูกต้อง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        1.ผู้ป่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้
        
        การปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่
        
        บ้านได้อย่างถูกต้อง
        
        2.ผู้ป่วยปฏิบัติตัวและดูแลตัวเอง
        
        อย่างต่อเนื่องที่บ้านได้ถูกต้อง
  - - - ประเมินการทำหน้าที่ของอวัยวะสำคัญต่างๆ (safety factors)
        
        1) ระบบเลือด โดดูผล CBC ซึ่งผู้ป่วยควรมี
        
        Hb >10 gm/dlplatelet > 100,000
        
        ANC >1,500 (ค่าปกติ > 2,000 cell/mm3 )
        
        ANC = WBC x (ร้อยละของ neutrophil + band)
        
        100
        
        2) สมรรถภาพของไต ประกอบด้วย
        
        BUN, Cr และ GFR
        
        ใช้ดูความสามารถในการขับถ่ายยาของไต โดยเฉพาะยาเคมีบำบัดที่ขับถ่ายออกทางไตเป็นหลัก เช่น cisplatinumสมการที่ใช้ คำนวณ GFR คือ Cockcroft-Gault และ modification of die tin renal disease (MDRD)ในทางปฏิบัตินิยมใช้ Cockcroft-Gault เนื่องจากสมการง่ายกว่า ดังนี้ CrCI (ml/min) = (140-อายุ) x weight (kg) / 72 x Cr ผู้หญิงจะคูณด้วย 0.85 (เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย)
        
        3) สมรรถภาพของตับ โดยดู LFT เนื่องจากที่สำคัญ คือ
        
        • ค่าเอ็นไซม์ตับ (SGOT / SGPT) ต้องน้อยกว่า 5 เท่าของค่าปกติ
      - การเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย
        
        ㆍ การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
        
        ㆍ การตรวจ และประเมินสภาพร่างกายทั่วไป (nutritional status
        
        / emotional / symptoms)
        
        ㆍ การซักประวัติการเจ็บป่วยโรคประจำตัว/ประวัติการใช้ยาที่อาจมีผลกับการให้ยาเคมีบำบัด
        
        ㆍผล pathology/cytology และ staging
        
        การประเมิน performance statusใช้ประเมินสมรรถภาพการดูแลตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวัน (คะแนนไม่ควรเกิน 2)
        
        เกณฑ์ที่นิยมใช้ ได้แก่
        
        Eastern Co-operation Oncology Group (ECOG)และ Karnofsky index of performance status (KPS)ในผู้ใหญ่
        
        • การประเมินผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด
        
        • ซักประวัติอาการข้างเคียง
        
        • อาการข้างเคียงที่มีความสัมพันธ์กับ cumulative doseเช่น doxorubicin cumulative dose ไม่ควรเกิน 450mg/m2 ,bleomycin ไม่เกิน 400 unit
        
        • เครื่องมือประเมิน S/E ที่ใช้คือ WHO toxicity criteria
      - • การวัด excretory function คือ bilirubin level ผู้ป่วยต้องมีค่า bilirubin < 3 mg/dl
        
        • ยาเคมีบำบัดหลายชนิดจะถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับ(metabolite) ก่อนขับออกนอกร่างกาย
        
        5) การคำนวณพื้นที่ผิวร่างกาย (body surface area: BSA)
        
        การพยาบาลทางด้านจิตใจ
        
        • ประเมินความเครียด ความกลัว ความวิตกกังวลที่มารับยาเคมีบำบัดเป็นครั้งแรก
        
        • ให้คำแนะนำ และให้ข้อมูลผู้ป่วยได้รับรู้ถึงสิ่งที่จะต้องประสบล่วงหน้า (preparatory information)
        
        • แนะนำผู้ป่วยที่เคยประสบปัญหาและสามารถปรับตัวได้ดีให้รู้จัก
        
        • ช่วยให้คำแนะนำในการปรับตัวเพื่อลดความวิตกกังวล
        
        • ช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เห็นอกเห็นใจ
        
        • รับฟังความกับข้องใจของผู้ป่วยด้วยความเต็มใจ
        
        • แนะนำวิธีการลดความเครียด ความวิตกกังวลการผ่อนคลาย การทำสมาธิ
        
        • อนุญาตให้นำสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เช่น รูปพระพุทธรูป
        
        สิ่งเคารพนับถือ พวงมาลัย แขวนไว้หัวเตียง
    - - ผู้ป่วยยินยอมที่จะเข้ารับการรักษาด้วยความเต็มใจ และมีความพร้อมที่จะเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
    - - วัตถุประสงค์: เพื่อส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ป่วยในการเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ เพื่อเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
- - - - ต่อมน้ำเหลืองโต ส่งผลให้เกิดอาการบวมบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ หรือส่วนอื่นที่มีต่อมน้ำเหลือง ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการปวด แต่บางรายอาจมีอาการปวดหลังการดื่มแอลกอฮอล์
      - คันตามผิวหนังทั่วร่างกาย
      - น้ำหนักลด
      - เหงื่อออกตอนกลางคืน
      - ไอติดต่อกันหรือหายใจไม่ออก
      - มีไข้ต่ำตลอดเวลา บางรายอาจมีไข้สูงแทน
  - - - ระยะที่ 1 พบเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณต่อมน้ำเหลืองเพียงหนึ่งตำแหน่ง หรือพบเซลล์มะเร็งที่อยู่ใกล้กับต่อมน้ำเหลืองเพียงหนึ่งตำแหน่ง
      - ระยะที่ 2 พบเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไปบริเวณกะบังลมข้างใดข้างหนึ่ง หรือเชื้อมะเร็งเริ่มลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง
      - ระยะที่ 3 พบเซลล์มะเร็งบริเวณต่อมน้ำเหลืองทั้งเหนือและใต้ต่อกะบังลม หรือเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามไปยังม้ามและต่อมน้ำเหลืองเหนือกะบังลม
      - ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่นอกระบบน้ำเหลือง เช่น กระดูกไขสันหลัง ปอด และตับ เป็นต้น
  - - - ภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นผลจากอาการของโรคและผลข้างเคียงจากการรักษา
      - มีลูกยาก เป็นผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีรักษา
      - ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปอดตามมาได้ อาจแนะนำให้ดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยง เช่น งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์