A Beautiful Mind

52502-Russel_Crowe-A_Beautiful_Mind-formula ประวัติทั่วไป

ข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย

ประวัติครอบครัว

สัมพันธภาพในครอบครัว

ผู้ป่วยชอบเก็บตัวเงียบ

ผู้ป่วยเป็นคนคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมที่แปลก

ผู้ป่วยรู้สึกไม่อยากร่วมเพศกับภรรยา

ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นจนเกือบทำร้ายภรรยาและบุตร

อายุ24 ปี

สัญชาติอเมริกัน

ชื่อ : นายจอรน์ ฟอบส์แนช จูเนียร์ (Mr. John Forbes Nash, Jr.)

มีภรรยา 1 คนชื่อ อลิเซีย (Mrs. Alicia)

มีบุตร 1 คน

มีน้องสาว 1 คน

พัฒนาการตามช่วงวัย

วัยเด็ก

ชอบเก็บตัว

มีปัญหาในการปรบัตัวเข้าหาเพื่อน

ไม่มีเพื่อนสนิท

เรียนเก่ง

ไม่ชอบเข้ากิจกรรมนันทนาการ

ชอบและมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุ12 ปี

วัยรุ่น

ผู้ป่วยหันมาสนใจด้านคณิตศาสตร์

เริ่มมีบุคลิกที่แตกต่างจากคนปกติอย่างชัดเจน

วัยผู้ใหญ่ตอนต้น

มีความโดดเด่นด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ

มีความคิดหมกมุ่น

มีพฤติกรรมแปลกเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เชื้อชาติอเมริกัน

โรคจิตเภท

อาการลบ

อาการบวก

อาการหลงผิด (delusion)

การพูดแบบไม่มีระเบียบแบบแผน (disorganized speech)

อาการประสาทหลอน (hallucination)

ความผิดปกติของพฤติกรรม (behavioral disorganization)

พฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม

อารมณ์ทื่อ และเฉยเมย

อาการหวาดระแวง
(Paranoid)

การตรวจสภาพจิต

9. ลักษณะการพูด (Speech)

8. การคิด (Thought)

6. ความตั้งใจ และสมาธิ Attention& Concentration

15. อัตมโนทัศน์ (Self-concept)

5. การรับรู้ (Orientation)

10. พื้นฐานอารมณ์ (Mood)

4. ระดับความรู้สึกตัว (Conscious)

3.ความสามารถในการรับสัมผัส Perception

7. การตัดสินใจ (Judgment)

2. การเคลื่อนไหว Psychomotor Activity

11. การแสดงอารมณ์ (Affect)

12. การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง (Insight)


1. ลักษณะทั่วไป General Appearance

13.ความจำ (Memory)

สีหน้าวิตกกังวล

นั่งกุมมือและบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา

ก้มหน้าเปนส่วนใหญ่

ผู้ป่วยเดินหลังค่อม

มองซ้ายขวาเกือบตลอดเวลา

บางครั้ง ผู้ป่วยพูดคนเดียวเหมือนสนทนากับใคร
ผู้ป่วยรับการสัมผัสได้ปกติ

เม่อลอย

ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ

แต่บอกว่า จิตแพทย์ที่รักษาเขาเปนสายลับรัสเซีย
ผู้ป่วยรับรู้วัน เวลา และสถานที่ได้

หมกมุ่นกับบางเรื่องที่มีความสนใจเป็นพิเศษ

ผู้ป่วยมีความมั่นใจ และสติปัญญาดี

มีท่าทีหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา

ผู้ป่วยตัดสินใจได้ค่อนข้างเหมาะสม แต่คิดช้า

เชื่อว่าตนเองเปนสายลับของกระทรวงกลาโหม

คิดว่ากําลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เปนสายลับรัสเซีย

พูดตะกุกตะกักในบางครั้ง

เมื่อพูดถึงเรื่องการเปนสายลับ การถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว

การมีคนมาสะกดรอยตามทำให้เขากลัวและกังวลอย่างมาก

แสดงสีหน้า แววตา และท่าทีหวาดกลัวเมื่อพบจิตแพทย์

14. ระดับสติปัญญา (Intelligence)

วัยผู้ใหญ่ตอนต้นจบการศึกษาระดับปริญญาเอก

มีความรู้ความเข้าใจและมีสติปัญญาในระดับอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์

จำกลุ่มตัวเลขยากๆ ยาวๆได้เป็นอย่างดี

ผู้ป่วยยอมรับว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น แต่ไม่คิดว่า ตนเองเจ็บปวยทางจิต

ผู้ป่วยเชื่อว่าเพราะเขา มีความสามารถในการถอดรหัสตัวเลขจึงต้องมาทำงานเป็นสายลับซึ่งเป็นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศชาติ

ความภูมิใจ

จบปริญญาเอกทางด้านคณิตศาสตร์ข

ได้รับรางวัลจากผลงานชื่อ “Nash Equilibrium”

bizarre delusion

erotomanic delusion

jealous delusion

เป็นความหลงผิดว่าคู่ครองนอกใจ

เป็นความหลงผิดที่แปลกประหลาด เช่น เชื่อว่าตนสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้

เป็นความหลงผิดว่ามีคนมาหลงรักตนและมักเป็นคนที่มีสถานภาพสูงกว่า

grandiose delusion

เป็นความหลงผิดคิดว่าตนเองมีความสำคัญ

1. auditory hallucination

2.visual hallucination

• 3.olfactory hallucination

• 4.gustatory hallucination

• 5.tactile hallucination

มีหูแว่วได้ยินเสียงจากภายนอก อาจเป็นเสียงรูปแบบต่างๆหรือเสียงคนคุยกัน

มีภาพหลอนโดยอาจเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรืออย่างอื่น

ได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นเหม็นไหม้

รู้สึกว่าลิ้นได้รับรสแปลกๆ เช่น รสโลหะ

มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ตามตัว หรือรู้สึกแปลกๆตามผิวหนัง

ไม่มีความสนใจโต้ตอบสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งแวดล้อม ผู้ป่วยจะมีสีหน้าเรียบเฉย

ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย การเรียนการทำงาน

การไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์

ขาดความสามารถในการปรับตัวเข้าหาผู้อื่น

มีลักษณะนิสัยที่ชอบเก็บตัวแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว

เป็นพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงจากเหตุการณ์ บุคคล ที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย

มักใช้ความคิดของตนเองฝ่ายเดียว ขาดเหตุผลที่เหมาะสมตามความเป็นจริง ในความคิดมีแต่เรื่องราวที่สมมติขึ้นจนทำให้หลงผิด

ไม่สามารถควบคุมพลังผลักดันของความต้องการพื้นฐานเป็นพฤติกรรมที่ขาดเหตุผล ไม่เหมาะสมกับวัย ตามใจตนเองเหมือนเด็ก

ตัดขาดจากสภาพความเป็นจริงไปสู้โลกของความฝัน

อารมณ์ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงง่าย

สาเหตุ

การรักษา

1.มีบคุลิกภาพเก็บตัว (Schizoidpersonality) และขาดความมั่นคงทางจิตใจ

1. การสร้างสัมพันธภาพ การยอมรับและไว้วางใจการเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น

  1. ลักษณะของการเลี้ยงดูจากครอบครัว เช่น บิดามารดามีความขัดแย้งกัน บิดามารดาปกป้องมากเกินไป บิดามารดามีลักษณะแยกตนเอง

2. การให้ความจริงแก่ผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยมีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน เพื่อดึงผู้ป่วยให้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง

ไม่ใช้คำถามที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลหรือคุกคามผู้ป่วย

ให้คำชมเชยและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยทำได้ดีและถูกต้อง

ให้โอกาสผู้ป่วยได้ทดสอบความหลงผิดด้วยตนเอง ได้ทำกิจกรรมกลุ่มบำบัดเพื่อให้มีความคิดอยู่กับงาน

รับฟังอย่างเป็นกลางไม่โต้เถียง ขัดแย้งหรือเห็นด้วย ไม่ขบขันในเรื่องราวหลงผิด

ผู้ป่วยมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่น

ประเมินอาการหลงผิดประสาทหลอนว่ามีมากน้อยเพียงใด

จะทำให้ผ้ป่วยเกิดความภูมิใจและความกล้าแสดงออกเป็นการดึงเข้าสู่สังคมทางหนึ่งและลดพฤตกิรรมแยกตนเอง

ไม่ตำหนิ

จริงใจ เห็นใจ

พูดไม่ต่อเนื่อง เช่น พูดรัวเร็ว พูดแล้วหยุดชะงัก พูดอ้อมค้อม

การออกเสียง เช่น พูดตะกุกตะกัก พูดติดอ่าง พูดไม่ชัด

พูดประโยคออกมาไม่สัมพันธ์กัน

การรักษา

สาเหตุ

การรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์

การใช้ยารักษา

ภาวะกังวลใจและอาการซึมเศร้า

โรคจิตเภท

การใช้ยา

ภาวะถอนพิษสุรา

โรคเกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัส

สาเหตุอื่นๆ

ความหมาย

การรักษา

สาเหตุ

ภาวะผิดปกติทางความคิดที่ทำให้เคลือบแคลงสงสัยหรือระแวงผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีคนจ้องทำร้ายอยู่ตลอดเวลา

ปัญหาสุขภาพจิต

ปัญหาสุขภาพกาย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาและสารเสพติด

การใช้ยา

ฝึกทักษะในการเผชิญความเครียด

จิตบำบัด

สาเหตุ

การรักษา

จิตบำบัด

การรักษาด้วยยา

ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและจิตใจ

ปัจจัยอื่น ๆ

ปัจจัยทางชีวภาพ

การบำบัดส่วนบุคคล

ยาระงับอาการทางจิต

การบำบัดเพื่อช่วยปรับทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมและการมีปฏิสัมพันธ์

ยากล่อมประสาท

สาเหตุ

การรักษา

พฤติกรรมที่ผิดแปลกไปจากปกติ

ร้องตะโกนโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น

ไม่ใส่ใจตนเอง มีการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม สกปรก

ปัจจัยทางชีวภาพ

ปัจจัยสภาพแวดล้อม

จิตบำบัด

การสร้างสัมพันธภาพเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐาน

จะมีพฤติกรรมวุ่นวาย พลุ่กพล่าน กระวนกระวาย

พฤติกรรมเคลื่อนไหวผิดแปลกไปจากปกติ

การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป

ผู้ป่วยจะคงอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่กำลังกระทำอยู่โดยที่การกระทำนั้นยังไม่สิ้นสุด

การวินิจฉัยโรคจิภเภทตามหลัก DSM-V

ความหมายของโรคจิตเภท

ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 14-16 ปี หรือช่วงปลายวัยรุ่น

เกิดจากความผิดปกติของสมองแสดงออกทางความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม

ความผิดปกติด้านอารมณ์ ความคิด การรับรู้และพฤติกรรมในระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยผู้ที่ีอาการจะต้องไม่มีโรคทางกาย โรคของสมองพิษของยาหรือยาเสพติด

C.มีอาการต่อเนื่องกันนาน 6 เดือนขึ้นไป

D.ต้องแยกโรคจิตอารมณ์ โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว

B.มีความเสื่อมหรือปัญหาในด้านการเข้าสังคมหรือการประกอบอาชีพ

E.ต้องแยกอาการโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายและสารเสพติดออก

A.มีอาการต่อไปนี้ตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไปนาน 1 เดือนต้องมีอาการในข้อ 1-3 อยู่ 1 อาการ

F.ผู้ป่วยที่มีประวัติกลุ่มโรคออทิสติก หรือโรคเกี่ยวกับการสื่อสารตั้งแต่วัยเด็กจะวินิจฉัยโรคจิตเภทก็ต่อเมื่อมีอาการหลงผิด หรืออาการประสาทหลอนที่เด่นชัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนร่วมด้วย

3.การพูดแบบไม่มีระเบียบแบบแผน (disorganized speech)

2.อาการประสาทหลอน (hallucination)

1.อาการหลงผิด (delusion)

4.พฤติกรรมไม่มีระเบียบแบบแผนและเคลื่อนไหวผิดแปลกไปจากปกติ (grossly disorganized or catatonic behavior)

ใช้ยาหลอนประสาททำให้เกิดภาพหลอนขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของสมอง

เกิดการประมวลผลเกิดความคิดที่ผิดปกติ

เกิดจากความผิดปกติทางจิตที่ทำให้คนไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง

มีอาการภาพหลอนเกิดขึ้นโดยปกติจะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ

ระยะเวลาที่เกิดขึ้นของอาการ

ภาวะอารมณ์

ความรู้สึกผู้ป่วยในช่วงเวลาหนึ่ง

เกิดภาพหลอน

เกิดอาการเพ้อได้

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสมองและระบบประสาทสัมผัส

อาการหูเเว่วหรือเห็นภาพผิดปกติ

ภาวะหลอนประสาท

เกี่ยวกับการมองเห็นหรือการได้ยินเสียงที่ส่งข้อมูลไปประมวลผลที่สมอง

การใช้ยา

โรค

กระตุ้นทำให้เกิดภาวะประสาทหลอน

จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการประสาทหลอน

ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญได้ดี

ช่วยผู้ป่วยพัฒนากลยุทธ์การรับมือกับอาการประสาทหลอนได้

ขึ้นอยู่กับสาเหตุทั้งหมดของผู้ป่วย

หากผู้ป่วยมีอาการประสาทหลอนจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก

แพทย์จะให้ยาที่ลดอาการประสาทหลอนลง

รู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า

ความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ

ไม่ไว้ใจหรือหวาดระแวงผู้อื่น

หวาดระแวง

โรคสมองเสื่อม

พาร์กินสัน

โรคฮันติงตัน (Huntington's Disease)

การแสดงความจริงใจ เห็นใจ

ไม่ตำหนิ

ให้คำชมเชยและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยทำได้ดีและถูกต้อง

ทำให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจในการแสดงพฤติกรรมนั้นๆ

ผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม

ปัจจัยที่มีอิทธิพล

พื้นฐานทางครอบครัว

วิธีการเลี้ยงดู

ไม่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่

การถูกทอดทิ้ง

ตลอดจนถูกทำร้ายหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ

จมอยู่กับความเครียดมายาวนานนั้น

เป็นวิธีรักษาผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมความผิดปกติในระดับไม่รุนแรง

ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อบกพร่องของตน

เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและความเชื่อใจต่อผู้อื่น

รู้จักรับมือกับอารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสม

เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้จักผ่อนคลายจากความเครียด

รู้วิธีรับมือกับอาการวิตกกังวล

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้

กัญชา แอมเฟตามีน โคเคน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การใช้สารอื่น ๆ เช่น สารเฟนไซคลิดีน และสเตียรอยด์ ที่นักกีฬาใช้สำหรับฉีดกล้ามเนื้อ หรือยาฆ่าแมลง

จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านโรคจิต

เพื่อบรรเทาอาการหวาดระแวง

แพทย์อาจให้ยาต้านเศร้าหรือยาคลายเครียดที่มีฤทธิ์อ่อน ๆ เพื่อระงับอาการไม่ให้กำเริบ

รักษาผู้ป่วย

ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อบกพร่องของตน

อาการหวาดระแวงในระดับไม่รุนแรง

โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบหวาดระแวง

เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและความเชื่อใจต่อผู้อื่น

รู้จักรับมือกับอารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสม

ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลมาก

มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ

เป็นยาที่มีส่วนช่วยปิดกั้นการทำงานของตัวรับสารโดปามีน

แพทย์มักใช้ยากลุ่มนี้เพื่อรักษาอาการของโรคนี้เป็นกลุ่มแรก

เป็นการบำบัดโดยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะตระหนัก

เปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือพฤติกรรมของตัวเองที่อาจทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ รวมถึงการเกิดภาวะซึมเศร้า

เป็นการบำบัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับ

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าใจผิด

สมองทำงานผิดปกติ

ส่งผลต่อการควบคุมการรับรู้และความคิดของผู้ป่วย

พบโรคนี้ในผู้ที่อยู่ในสภาวะที่มีความเครียดสูงหรือผู้ที่มีความโดดเดี่ยว

Delusion Disorder

อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติดต่าง ๆ

โดยต้องมี active phase (ตามข้อA) อย่างน้อยนาน 1 เดือน

ที่เหลืออาจเป็น prodromal หรือ residual phase

อาการที่พบอาจเป็นอาการด้านลบหรืออาการตามข้อ A ตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไปแต่แสดงออกเล็กน้อย

กรณีศึกษา

  • จอห์นกรีดแขนตนเองเพราะว่าคิดว่าที่แขนมีการฝังชิป
  • จอห์นพูดว่า “ผมไม่ค่อยชอบคนอื่น คนอื่นก็คงไม่ชอบผมเหมือนกัน” ซึ่งจากประโยคที่จอห์นพูดทำให้เห็นว่าจอห์นมีอาการหลงผิดที่คิดว่าคนอื่นไม่ชอบตนเอง
  • จอห์นคิดว่ามีคนสะกดรอยตามตนเองอยู่ตลอดและพยายามจะทำร้ายเขา
  • จอห์นคิดว่าตนเองเป็นสายลับคอยถอดรหัสทางการทหาร

5.อาการด้านลบ (Negative symptoms)

ความคิดอ่านและการพูดลดลง

ไม่พูดหรือพูดน้อย

ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี

กรณีศึกษา

  • จอห์นเกือบทำร้ายลูกและภรรยาเนื่องจากเห็นคนในกองทัพตามมาที่บ้าน และคนในกองทัพพูดว่า คุณต้องหยุดเธอ เธอจะเปิดเผยความลับของเรา ซึ่งคำพูดนี้พูดตอนที่ภรรยาของเขาโทรคุยกับจิตแพทย์
  • จอห์นเห็นภาพเพื่อนร่วมห้อง (ชาล์ว) มาร์ซี หลานของชาล์วและสายลับที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
  • จอห์นฝากชาร์ลให้ดูแลลูกในอ่างอาบน้ำ เพราะเข้าใจว่าชาร์ล คอยดูแลลูกของตนอยู่ จนทำให้ลูกเกือบได้รับอันตราย

กรณีศึกษา

  • จอห์นจะพูดตะกุกตะกักตอนที่เขากำลังสอนหนังสือ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ ถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว

กรณีศึกษา

  • จอห์นจะมองซ้ายทีขวาที มองด้วยสายตาหวาดระแวงเพราะกลัวว่าจะมีคนจากกองทัพตามมาทำร้าย
  • จอห์นบอกว่าเขาเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่การมีคนมาสะกดรอยตามทำให้เขากลัวและกังวลอย่างมาก

กรณ๊ศึกษา

  • จากการสังเกตผู้ป่วยเดินหลังค่อม มองซ้ายขวาเกือบตลอดเวลา
  • จอห์นมีอาการเดินไม่แกว่งแขน ซอยเท้าถี่ เดินกอดอก ก้มหน้า
  • จอห์นนั่งกุมมือ และบีบมือตัวเองตลอดเวลา

กรณ๊ศึกษา

  • จอห์นมีลักษณะนิสัยวัยเด็กที่ชอบเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิท มีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน และในช่วงวัยรุ่น จอห์นยังมีลักษณะนิสัยที่เก็บตัวและไม่มีเพื่อนสนิท

กรณีศึกษา

  • จอห์นอุ้มลูกไว้ที่ตักแต่ไม่สามารถปลอบลูกที่กำลังร้องไห้ได้

อาการและอาการแสดง

ประสาทหลอน

เห็นภาพหลอน

เห็นว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา

หูแว่ว

ได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำตาม

เห็นคนจะมาทำร้ายตนเอง ภรรยาและลูก

หวาดระแวง

คิดว่ามีคนมาทำร้าย

คิดว่ามีคนสะกดรอยตามตลอดเวลา

อาการหลงผิด

เชื่อว่าตนเองเป็นสายลับ

คิดว่าจิตแพทย์เป็นสายลับรัสเซีย

พฤติกรรมผิดปกติ

มองซ้าย ขวาเกือบตลอดเวลา

พยายามโต้ตอบกับใครบางคน

นั่งกุมมือ และบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา

เหม่อลอย ชอบอยู่คนเดียว

สาเหตุ

ด้านครอบครัว

ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ด้านจิตใจ

ด้านพันธุกรรม

สารสื่อประสาทในสมองบกพร่อง

ถูกครอบครวัตําหน

ครอบครัวไม่ช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น

ไม่มีเพื่อนสนิท ชอบเก็บตัว

ไม่มีปฏิสัมพันธก์บผู้อื่น

สภาพแวดล้อมรอบข้าง

เกิดความเครียดจนทำให้ขัดเเย้งในจิตใจ

ในอดีตเจอแกล้งบ่อย

การรักษา

การบำบัด

การดูแลโดยครอบครัว
(family caregiving)

ผลกระทบจากการไม่ได้รับการรักษา

การรักษาด้วยยา

ปัจจัยที่มีผลต่อการไม่ยอมรับการรักษา

การพยาบาลเพื่อส่งเสริม
ให้ผู้ป่วยรับประทานยา

บทบาทของญาติใน
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

การรักษาด้วยไฟฟ้า

Thorazine 30 mg IM q 6 hrs.

การบำบัดรักษาด้วยสิ่งแวดล้อม (Milieu Therapy)

ใช้รักษาผู้ป่วยจิตเวชในปัจจุบัน

การดูแลหรือช่วยเหลือสมาชิกที่เจ็บป่วยโดยไม่มีค่าตอบแทนจากสมาชิกครอบครัวคนอื่น หรือเพื่อนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

Diazepam 10 mg IM q 4 hrs. prn

กลุ่ม Benzodiazepine

ขัดขวางการทำงานของสารเคมีที่เป็น
สารสื่อประสาทที่เรียกว่า GABA

ผลข้างเคียง

ง่วงซึม

กล้ามเนื้อหัวใจทำงานไม่ประสานกัน

สับสน มึนงง

ใจสั่น

ชีพจรเต้นเร็ว

เสียความจำข้างหน้า

ระคายเคืองทางเดินอาหาร

ใช้รักษา ความผิดปกติของจิตใจ

ผลข้างเคียง

เจ็บหน้าอก

มีความรู้สึกสับสน ความรู้สึกตัวลดลง

หัวใจเต้นผิดปกติ เต้นเร็วหรือเต้นช้าลง

กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คอ และหลังชักกระตุก

ชาตามแขนและขา

กล้ามเนื้ออ่อนแรง

กลุ่ม Phenothiazine

กระตุ้นให้เกิดภาวะชักด้วยยกระแสไฟฟ้าจำนวนจำกัดผ่านเข้าสู่สมองในระยะเวลาจำกัด

มีผลทำให้อาการทางจิตทุเลาหายเร็วขึ้น

การดูแลผู้ป่วยของญาติผู้ดูแลผู้ป่วย

การให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ความเข้าใจเรื่องโรคและกระบวนการรักษา

การดูแลต่อเนื่องในชุมชน

อาการข้างเคียงจากยา

ศักยภาพของบุคลากรสาธารณสุขในชุมชน

ไม่ตะหนักถึงความสำคัญของการกินยาอย่างต่อเนื่อง

เข้าใจว่าโรคนี้รักษาได้โดยไม่จำเป็นต้องกินยา

คิดว่าอาการหายดีแล้วไม่ต้องกินยาต่อเนื่อง

ความเข้าใจเรื่องโรคและกระบวนการรักษาไม่ถูกต้อง

ไม่ยอมรับการเจ็บป่วยของตนเอง

ไม่มีเความเอาใจใส่

มีความเชื่อและเจตคติที่ไม่ดีต่อการกินยา

ญาติรู้สึกเป็นภาระมีความเครียดสูง

การเตรียมความพร้อมญาติก่อนจำหน่ายจากโรงพยาบาลไม่เพียงพอ

ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยโดยตรงไม่ได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่าย

ขาดการประสานข้อมูลการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง

ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่

ผู้ป่วยและญาติไม่ต้องการ การดูแลจากเจ้าหน้าทีในชุมชน

รู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่มั่นใจ

เจ้าหน้าที่ในชุมชนมีศักยภาพไม่เพียงพอ

ต่อตนเอง

คนรอบข้าง

ถูกล้อเลียนจากคนในสังคม

ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมส่วนใหญ่

อาการรุนแรงขึ้น

สูญเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น

รักษานานขึ้น

เสี่ยงที่จะโดนทำร้าย

เกิดความเครียดสูง และวิตกกังวล

ผู้อื่นหวาดกลัว

กรณีศึกษา

  • หมอบอกว่ากับภรรยาจอห์นว่าต้องรักษาด้วยไฟฟ้า สัปดาห์ละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 10 สัปดาห์
  • จอห์นเคยได้รับการรักษาด้วยยาแต่ยังมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองและมีอาการหลงผิดประสาทหลอนอยู่

แพทย์จึงพิจารณาใช้การรักษาด้วยไฟฟ้า

ขั้นตอนการเตรียมผู้ป่วยก่อนทำการรักษาด้วยไฟฟ้า

หากมีภาวะความดันโลหิตสูง จิตแพทย์จะพิจารณาให้ยาลดความดันในเวลา 06.00 น. และดื่มน้ำได้ไม่เกิน 30-60 ซีซี

งดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืนจนเสร็จสิ้นกระบวนการรักษา

ทำความสะอาดร่างกาย สระผม ตัดเล็บให้สั้น ไม่ทาเล็บมือ-เล็บเท้า

ถอดฟันปลอม หากมีปัญหาฟันผุ ฟันโยกต้องแจ้งพยาบาลก่อนเสมอ

ไม่ทาแป้งบริเวณใบหน้า ไม่สวมเครื่องประดับใดๆ

ปัสสาวะก่อนทำการรักษา

ดูแลขณะทำการรักษาด้วยไฟฟ้า

ขั้นตอนในการดูแลการรักษาด้วยไฟฟ้า

การดูแลระยะพักฟื้น

  1. อธิบายข้อมูลการรักษาด้วยไฟฟ้า
  1. เตรียมความพร้อมผู้ป่วยด้านร่างกายและจิตใจก่อนทำการรักษาเพื่อลดความวิตกกังวลร่วมด้วย

ระยะเวลาของการรักษา

ประโยชน์ของการรักษา

ผลข้างเคียง

การรักษาพยาบาลเมื่อเกิดผลข้างเคียง

  1. เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ขณะทำการรักษา
  1. ทวนสอบความถูกต้องของผู้ป่วย แฟ้มประวัติร่วมกับแพทย์ผู้ทำการรักษา
  1. ตรวจสอบความพร้อมผู้ป่วยซ้ำก่อนทำการรักษา ได้แก่ การวางหมอนการจัดท่านอน การใส่สายออกซิเจน
  1. ใส่ mouth guard จับบริเวณปากและขากรรไกร ดูแลบุคลากรจับผู้ป่วยอย่างถูกต้องทุกตำแหน่ง
  1. วาง Electrodes พร้อมสื่อนำไฟฟ้าบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง แจ้งความพร้อมกับแพทย์เพื่อทำการรักษา
  1. ประเมินอาการผู้ป่วยตลอดระยะเวลาทำการรักษาด้วยไฟฟ้า เพื่อป้องกันอันตรายและภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
  1. เมื่อสิ้นสุดระยะการชัก พลิกตะแคงหน้าผู้ป่วยไปด้านใดด้านหนึ่งป้องกันการสำลักน้ำลายหรือเสมหะ พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยโดยจับบริเวณไหล่และสะโพกไปด้านเดียวกับศีรษะที่ตะแคง เอาหมอนออกจากเอวและไหล่ จัดท่านอนหงายราบ
  1. ประเมินความพร้อมของผู้ป่วยก่อนการเคลื่อนย้ายออกจากห้องทำการรักษา เช่น การหายใจ ความจำเป็นของการผูกมัด
  1. สังเกตภาวะแทรกซ้อนพร้อมบันทึกผลความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหนึ่ง
  1. ประเมินภาวะแทรกซ้อนและให้การดูแลระยะพักฟื้น
  • วัดสัญญาณชีพ
  • สังเกตอาการข้างเคียงหลังการรักษาด้วยไฟฟ้า เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง คลื่นไส้อาเจียน
  • ให้การพยาบาลอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามความเหมาะสม
  • ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนประมาณ 30 นาที หรืออาจจะมากกว่า 30 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพอาการของผู้ป่วย แต่ละคน
  • ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหวาน/โอวัลติน
  • ประเมินความพร้อมในการกลับหอผู้ป่วย/กลับบ้าน
  1. ส่งต่อข้อมูลแก่พยาบาลประจำหอ เรื่องการดูแลผู้ป่วยหลังการรักษาด้วยไฟฟ้า พร้อมนำส่งผู้ป่วยกลับหอ

กรณีศึกษา

  • ในขณะที่จอห์นกำลังรักษาอาการป่วยทางจิต จอห์นได้กลับมาใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันส์ ได้ลองเข้ามานั่งเรียนกับนักศึกษา เชื่อว่าอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยจะสามารถช่วยบรรเทาอาการจิตเสื่อมได้

บทบาทพยาบาล

  1. จัดระเบียบหอผู้ป่วยให้ปลอดภัย สะดวกสบายตามความเหมาะสม มีตารางกิจกรรมของแต่ละวันให้ผู้ป่วยมองเห็นชัดเจน
  1. ดูแลให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพื่อการรักษาและสามารถยึดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น

3.กระตุ้นให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมตามตารางกิจกรรม เพื่อแก้ไขปัญหา และปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

4.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยพึ่งพาดนเอง มีความรับผิดขอบ และมีส่วนร่วมตัดสินใจในการกระทำต่างๆ

5.ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ป่วยและแบบแบบอย่างที่ดีให้ผู้ป่วยเรียนรู้และเสียนแบบในการปฏิบัติตัว การสื่อสาร และการสร้างสัมพันธภาพต่อกัน

  1. มีทัศนคติที่ดีและปฏิบัติตัวต่อผู้ป่วยด้วยท่าทีอบอุ่น นุ่มนวล พูดจาสุภาพ
  1. ให้การดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึงและยุติธรรม ยอมรับในความเป็นบุคคลและเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วย
  1. นำกระบวนการพยาบาลมาโช้ในการปฏิบัติการพยาบาลและประเมินผล
  1. ประชุมทีมงานเพื่อแก้ไขปัญหาและหาแนวทางช่วยเหลือผู้ป่วย
  1. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับบุคลากรในทีม ผู้ป่วย ญาติและหน่วยงาน อื่นๆและหาแนวทางช่วยเหลือผู้ป่วย
  1. ประชุมทีมงานเพื่อแก้ไขปัญหา
  1. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับบุคลากรในทีม ผู้ป่วย ญาติและหน่วยงาน อื่นๆ

ความหมาย

กฎหมายสุขภาพจิต

พระราชบัญญัติสุขภาพจิต 2551

กรณีศึกษา

  • จอห์นเข้าใจว่าจิตแพทย์ เป็นผู้ก่อการร้าย ที่จะมาทำร้ายตนเอง เลยทำให้เขาชกหน้าจิตแพทย์

  • จิตแพทย์จึงนำตัวจอร์นไปโรงพยาบาลมีการผูกมัดมือจอร์นไว้ตั้งแต่พามาจากสถานที่ทำงาน มีภรรยาเป็นผู้ยินยอมให้การรักษา

ผู้ที่เป็นโรคจิตเภทเป็นบุคคลที่มีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายทั้งชีวิต ร่างกาย ตลอดจนทรัพย์ของตนเองและผู้อื่น

ผู้ป่วยจิตเภทมีสิทธิ์ได้รับการบำบัด รักษา คุ้มครองตามความยินยอมของผู้ป่วย

มาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันนาเชื่อวาบุคคลนั้นมีลักษณะผิดปกติทางจิต หรือ มีภาวะอันตราย ให้แจ้งเจ้าหน้า/ตำรวจ ทันที

มาตรา 21 ในกรณีที่ผูป่วยมีอายุไมถึง 18 ปีบริบูรณ หรือขาดความสามารถในการตัดสินใจให้คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ หรือผู้ปกครองดูแลบุคคลนั้น เป็นผู้ให้ความยินยอมแทน

ความคิดหมกมุ่น
(Preoccupation)

กรณีศึกษา

  • จอห์นมองเห็นภาพทุกอย่างเป็นการแก้สมการคณิตศาสตร์
  • จอห์นทำงานส่งอาจารย์ แต่งานยังไม่สำเร็จ เขาย้ำคิดย้ำทำจดจ่ออยู่กับการแก้สมการเป็นเวลานาน จนคิดทฤษฎีใหม่ได้สำเร็จ
  • จอห์นหมกมุ่นจากการถอดรหัสลับ
  • จอห์นเครียดจากการคิดหมกมุ่น จนทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้

เป็นความครุ่นคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจมีอาการเหม่อใจลอยลักษณะการหมกมุ่นในความคิดที่ผิดปกติอื่นๆ

เรื่องความเจ็บป่วย

ครอบครัว

การงาน

การฟื้นฟูผู้ป่วย

  1. ทักษะการอยู่ร่วมกันภายในบ้าน
  1. ทักษะการทำงาน ฝึกให้ผู้ป่วยมีความรับผิดชอบในการทำงานหรือทำงานที่ได้รับมอบหมาย

1 ทักษะการดูแลตนเองเป็นการฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ

  1. ทักษะทางสังคม ฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักมารยาทของการเข้าสังคมและการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่นๆในสังคม
  1. ทักษะการใช้เวลาว่างและการพักผ่อน

6.ทักษะการใช้ชีวิตในชุมชน ฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักการใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ในชุมชนอย่างถูกต้อง

จุดมุ่งหมายให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม เกิดความคิดริเริ่ม และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น

รับฟังความคิดเห็น

พยายามหลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ต่อผู้ป่วย

ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างต่อเนื่อง

ไม่พูดข่มขู่ผู้ป่วยว่าจะจับไปขังหรือปล่อยทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล

ไม่แสดงความห่วงใย หรือคาดหวังผู้ป่วยจนเกินไป

สร้างสัมพันธภาพ

จัดให้ผู้ป่วยสนทนาเกี่ยวกับ
ความเข้าใจเรื่องโรคและการรักษา

ให้การเสริมแรงทางบวก

ให้ผู้ป่วยไว้วางใจ

ตระหนักถึงผลเสียมากขึ้น

สังเกตผลของการรับประทานยา

กล่าวชื่นชม

เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุยและระบายความรู้สึก

การพยาบาล

  1. สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว
  1. ยอมรับผู้ป่วยโดยการเรียกชื่อให้ถูกต้อง รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
  1. การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยรักษาคำพูดให้ข้อมูลอย่างชัดเจน
  1. แสดงการยอมรับอาการ โดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าไม่เป็นความจริง
  1. ไม่แสดงกิริยาที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความสงสัยหรือไม่มั่นใจ
  1. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
  1. ประเมินอาการหวาดระแวงทุกครั้งที่มารับบริการ
  1. ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย

การส่งเสริมผู้ป่วยให้มีการรับรู้ตามความเป็นจริง

  1. หากพบอาการกำลังแสดงประสาทหลอน ควรบอกสิ่งที่เป็น จริงกับผู้ป่วยขณะนั้น
  1. แสดงการยอมรับอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยการรับฟังและไม่ โต้แย้ง
  1. ประเมินอาการประสาทหลอนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยว่าเกี่ยวข้องกับระบบรับสัมผัสใด
  1. หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยจะมีแนวโน้ม ตีความหรือการรับรู้ผิด
  1. เรียกชื่อผู้ป่วยให้ชัดเจนใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล และกระตุ้นให้ ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ

กิจกรรมการพยาบาลผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสร้างสัมพันธ์ภาพ

3.การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยรักษาคำพูดให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการจ้องมอง

4.แสดงการยอมรับอาการประสาทหลอน หรือหวาดระแวงของผู้ป่วยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าไม่เป็นความจริง แต่แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งได้โดยใช้เทคนิคการให้ความจริง (presenting reality) ในขณะการสนทนา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจว่าความคิดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นและหวาดระแวงน้อยลง

2.ยอมรับผู้ป่วยโดยการเรียกชื่อให้ถูกต้อง รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ ไม่หัวเราะในพฤติกรรมผู้ป่วย

5.ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย การร่วมมือในการรักษาด้วยยาและพัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้ป่วย

  1. สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (one to one relationship) โดยเน้นการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อถือ ทุกครั้งที่พบกับผู้ป่วย

การพยาบาล

  1. ผู้ป่วยหวาดระแวง มักจะมีความโกรธ ก้าวร้าวควบคู่ไปด้วยเสมอ ควรใช้วิธี โอนอ่อนผ่อนปรนอดทนในสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออก และให้ผู้ป่ายทำกิจกรรมที่ระบายความก้าวร้าว
  1. ให้ผู้ป่วยมีกิจกรรม ลดเวลาที่ผู้ป่วยอยู่คนเดียว ซึ่งอาจทำให้มีความคิดหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเดิม ๆ

3.ผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวงในบางสิ่ง การให้ความจริงกับผู้ป่วยจะกระทำได้ต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยรับได้ การให้เหตุผลเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยอาจไม่เชื่อถือ พยาบาลอาจจะต้องแสดงพฤติกรรมให้ผู้ป่วยแน่ใจด้วย

  1. ผู้ป่วยหวาดระแวงจะมีความเคลือบแคลงสงสัย พยาบาลต้องคอยสังเกตและระมัดระวังการก่อความวุ่นวาย การทำร้ายผู้อื่นและถ้าผู้ป่วยสามารถข้าร่วมกิจกรรมได้ ควรชมเชยเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจ และภาคภูมิใจในตัวเอง

2.สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (One to one relationship) โดยเน้นการสร้างความวางใจและความเชื่อถือ

  1. การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผย จริงใจ รักษาคำพูด ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาหลีกเลี่ยงการมองเห็นจ้อง หรือระมัดระวังการกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทาให้ร้ายหรือระแวง

1.ยอมรับในพฤติกรรมหวาดระแวง ไม่โต้แย้ง ต่อต้าน และประเมินระดับความรุนแรงของอาการ

การพยาบาล

หากมีปัญหาในการทรงตัว จัดหาอุปกรณ์ช่วยเดิน มีเจ้าหน้าที่ช่วยประคอง

ช่วยดูแลกิจวัตร งดการอาบน้ำตามลำพัง

พยาบาล/ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

แนะนำผู้ป่วยให้ค่อยๆ เปลี่ยนท่าเพราะอาจเกิดหน้ามืด

ติดสัญญาณเรียกไว้ที่เตียง

ดูแลให้ได้รับยาทางจิตเวช

ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการสับสน มึนงงมาก สามารถผูกมัดได้