Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิทยาการระบาด (Epidemiology) - Coggle Diagram
วิทยาการระบาด (Epidemiology)
1.แนวคิดและหลักการระบาดวิทยา
แรกเริ่ม ใช้ คำว่า "ระบาดวิทยา" ต่อมา มีการปรับเปลี่ยนคำเป็นวิทยาการระบาด (Epidemiology)
คำนิยาม
การศึกษาเกี่ยวกับการกระจาย และปัจจัยของภาวะหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในกลุ่มประชากร และนำไปประยุกต์ใช้ในการควบคุมปัญหาสุขภาพ
ประเด็นการศึกษาทางระบาดวิทยา
เป็นการศึกษาการกระจายของโรค (Distribution)
วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเกิดโรค (Determinants)
ศึกษาในหน่วยประชากรมนุษย์ (กลุ่มต่างๆ ไม่ใช่ระดับบุคคล)
เพื่อดำเนินการการป้องกัน ควบคุมโรค (Prevention and control)
ขอบเขต
การศึกษาทั้งในโรคติดเชื้อ และโรคเรื้อรังไร้เชื้อ
บริการด้านแพทย์และอนามัย เช่น การวางแผนงานอนามัย
การประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ
งานอนามัยสิ่งแวดล้อม เช่น การศึกษามลพิษต่างๆ
งานอาชีวอนามัย การสืบสวนการเกิดโรคของคนงานในโรงงาน การศึกษาสารพิษในคนงาน
งานอื่น ๆ เช่น งานวิจัยบริการสาธารณสุข การทดลองยา วัคชีนใหม่ๆ
วัตถุประสงค์
เพื่อค้นหาการกระจายของโรค
เพื่อวิเคราะห์ดูความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของโรดในชุมชน
Host
Environment
Agent
เพื่อนำผลไปใช้ในการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
เพื่อทำการศึกษาวิจัย
2.การเกิดและการกระจายโรคในชุมชน
การกระจายโรค(Distribution)
เป็นการศึกษาความถี่ของโรคที่สัมพันธ์กับ บุคคล เวลา สถานที่
ด้านเวลา(Time) ความสัมพันธ์การเกิดโรคระหว่างเวลาและชุมชนช่วยบอก ลักษณะการเกิดโรค สถานการณ์ของโรค และการสืบสวนสาเหตุของการระบาด
การเปลี่ยนแปลงเป็นรอบ เช่น
โรคที่เกิดตามฤดูกาล ไข้เลือดออกในฤดูฝน
การเปลี่ยนแปลงระยะสั้น เช่น โรคติดเชื้อ ที่มีระยะเป็น วัน สัปดาห์ เดือน
การเปลี่ยนแปลงระยะยาว เช่น โรคเรื้อรัง เปลี่ยนแปลงช้า โรคไร้เชื้อ
ด้านสถานที่(Place)
ทำให้ทราบว่ามีโรคขึ้นมากในพื้นที่ใดมากกว่าพื้นที่อื่นๆ
ทำให้ได้ข้อมูลในการลงไปค้นหาข้อมูลการระบาด
โดยมักใช้การทำ แผนที่จุด หรือspot map
ด้านบุคคล(Person)
เชื้อชาติ
อาชีพ
เพศ ปัจจุบันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตแตกต่างตามเพศ
สภาวะเศรษฐกิจและสังคม
อายุ เป็นตัวแปรที่สำคัญช่วยทำให้เข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรค โดยใช้ดัชนีอนามัยบ่งบอกอัตราป่วยของโรคตามอายุ
สถานะสมรส
ปัจจัยการเกิดโรคและภัย (Determinant)
โฮสท์หรือมนุษย์ (Host)
ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวโฮสท์มีผลต่อความไวในการติดโรค
ปัจจัยด้านอายุ
ปัจจัยด้านเพศ
ปัจจัยด้านฮอร์โมนเพศ
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
ปัจจัยทางสรีรวิทยา
ปัจจัยด้านพฤติกรรมอนามัยส่วนบุคคล
ปัจจัยด้านบุคลิกภาพส่วนบุคคล
ปัจจัยด้านภูมิคุ้มกัน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรค/สิ่งก่อโรค (Agent)
ปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค/ปัญหาสุขภาพ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคทางชีวภาพ (Biological agents)
bacteria
virus
parasite
rickettsia
fungi
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคทางเคมี (Chemical agents)
พวกแก๊ส
พวกฝุ่น
สารละลายเคมี
พวกไอระเหย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคทางกายภาพ (Physical agents)
ความร้อน
แสง
เสียง
รังสีต่างๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคทางด้านจิตใจ สังคม (Psychosocial agents)
เกิดโรคจากปัจจัยด้านจิตใจและสังคม สภาพปัยหาทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งรอบตัวโฮสท์มีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้
ทางกายภาพ เช่น สถานที่ที่มีเสียงดัง แสงสว่างไม่เพียงพอ
ทางเคมี เช่น มีสารเคมีในสิ่งแวดล้อม
ทางชีวภาพ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรัย พยาธิ แมลง มนุษย์
ทางเศรษฐกิจและสังคม เช่นพื่นที่ที่มีตลาดนัด ทำให้คนนิยมซื้ออาหารมากกว่าปรุงอาหารทานเอง
ความสัมพันธ์ของปัจจัยสามต่อการเกิดโรค
ความสัมพันธ์ของการเกิดโรคระหว่าง host
Agent และEnvironment
เปรียบเทียบ host และ Agent เป็นคาน
และ Environment เป็นจุดศูนย์กลาง
ภาวะที่ไม่มีความสมดุลระหว่างปัจจัยทั้ง3 : ทำให้เกิดโรคหรือมีการระบาด
สิ่งก่อโรคทำให้เกิดโรค (agent) มีความสามารทำในการแพร่กระจายโรคมากขึ้น ทำให้เกิดโรคมากขึ้น (คานจะเอียงไปทางด้านAgent)
host มีความไวในการติดโรคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทารก คนชรา หรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง (คานจะเอียงไปทางhost)
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม (Environment) สนับสนุนให้มีการแพร่กระจายของโรคหรือ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในความไวของการติดโรคในมนุษย์ ทำให้จุดศูนย์กลางคานไปตรงข้ามกับปัจจัยที่สนับสนุน
เช่น สิ่งแวดล้อมสนับสนุนAgent : ชุมชนทิ้งขยะในที่สาธารณะทำให้เมื่อเกิดฝนตกแล้วเกิดโรคไข้เลือดออกระบาด ,
สิ่งแวดล้อมสนับสนุนhost : ในฤดูหนาวผู้สูงอายุเป็นหวัดง่ายกว่าปกติ
ภาวะสมดุลระหว่างปัจจัยทั้ง3
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ
Host Agent Environment จะไม่มีโรคหรือการระบาดเกิดขึ้นในชุมชน
ธรรมชาติของโรค (Natural history disease)
วงจรการเกิดโรคตามธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากองค์ประกอบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือปัจจัยเสี่ยงของโรค (Risk factors) ทำให้มีความไวต่อการเกิดเชื้อหรือเป็นโรค เมื่อเป็นโรคแล้วก็อาจมีความพิการ หาย หรือตายได้
ระยะก่อนมีอาการ
ระยะที่เริ่มมีพยาธิสภาพของโรคเกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีอาการ (Symptom) ของโรค
ถ้าเป็นโรคติดเชื้อ ระยะที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และเพิ่มจำนวนมากจนทำให้เกิดพยาธิสภาพและเริ่มมีอาการเกิดขึ้น เรียกระยะนี้ว่าระยะฟักตัวของโรค แพร่เชื้อได้
ระยะมีอาการของโรค
พยาธิสภาพของโรคเกิดมากขึ้นจึงเกิดมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับลักษณะและหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามชนิดของโรคทำให้ผู้ป่วยมีอาการ (Symptom) และอาการแสดง (Signs)
ระยะภูมิไวรับ
มีพฤติกรรมเสี่ยง ขาดสารอาหาร
สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่ไม่ดี
สภาพร่างกาย: เจ็บป่วย อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ได้รับวัคซีน
ระยะมีความพิการ
หลังจากที่มีอาการของโรคเกิดขึ้นแล้ว โรคบางชนิดอาจจะหายสนิท มีความพิการ หรือโรคดำเนินไปมากจนมีภาวะแทรกซ้อนจนเสียชีวิต
3.ดัชนีอนามัย
เครื่องบ่งชี้สุขภาวะ สุขภาพอนามัยของชุมชน เป็นการวัดด้านปริมาณ เพื่อแสดงสุขภาพอนามัยของชุมชนในด้านต่างๆ
ประโยชน์
2.ใช้วิเคราะห์ทางสถานการณ์ด้านสุขภาพอนามัย และปัญหาสุขภาพของประชาชน
3.ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนงานสาธารณสุขทช่วยกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และการประเมินผลของแผน
1.ช่วยในการวัดการกระจายของโรคและแสดงแนวโน้มของการเกิดโรคในชุมชน
4.ใช้ในการประเมินผลการจัดการบริการสาธารณสุข และวัดผลการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ
5.ช่วยในงานวิจัยและการศึกษาทางด้านวิทยาการระบาดต่างๆ
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ สัดส่วน อัตรา อัตราส่วน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ
สัดส่วน อัตรา อัตราส่วน
สัดส่วน คือ การเปรียบเทียบข้อมูลย่อยกับข้อมูลรวมที่เป็นข้อมูลชุดเดียวกัน เช่น จำนวนย่อย คือ จำนวนคนป่วย/ตายจากสาเหตุต่างๆกับจำนวนรวมของคนป่วย/ตายจากทุกสาเหตุ และแปลงเป็นรูปร้อยละเพื่อใช้เปรียบเทียบสาเหตุการป่วย/ตาย จากจำนวนเต็มร้อยส่วน
อัตรา คือ การเปรียบเทียบค่าตัวเลขของจำนวนหนึ่งกับประชากรที่ศึกษา ณ ช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ข้อมูลการป่วย/ตายของสาเหตุหนึ่งเทียบกับจำนวนของประชากรในพื้นที่
ดัชนีอนามัยเกี่ยวกับการป่วย และ การตาย
อัตราส่วน คือ การเปรียบเทียบค่าตัวเลขของจำนวนหนึ่งกับอีกจำนวนหนึ่ง (ต่างกันแต่เกี่ยวข้องกัน) เช่น อัตรา่ส่วนของเพศหญิงและชาย (ข้อมูลเพศ) อัตราส่วนพึ่งพิง (เปรียบประชากรวัยพึ่งพิงกับวัยแรงงาน)
อัตราอุบัติการณ์ของโรค
อุบัติการณ์ของโรค (incidence) หมายถึง จำนวนผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด โดยในระยะเวลา 1ปี
อัตราอุบัติการณ์ของโรค (incidence rate) หมายถึง จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นต่อหน่วยประชากรที่เฝ้าสังเกตในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
อัตราการป่วยโจมจับ/อัตราป่วยเฉียบพลัน ใช้กับโรคติดเชื้อเฉียบพลันหรือมีการระบาดของโรค การเกิดโรคในระยะสั้น และมีการป่วยเป็นระลอก เช่น โรคหัด โรคไข้เลือดออก โรคอาหารเป็นพิษ
อัตราป่วยจำเพาะ (Specific attack rate) หมายถึง นวนผู้ป่วยด้วยสาเหตุใด สาเหตุหนึ่งในกลุ่มประชากรที่กำหนด เช่น อายุ เพศ หรือการป่วย
อัตราความชุก (Prevalence rate) หมายถึง จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่มีอยู่ทั้งที่มีอยู่ทั้งรายเก่าและรายใหม่ต่อหน่วยประชากรที่จุดเวลาที่กำหนดหรือช่วงระยะเวลาที่กำหนด ใช้บอกชนิดและขนาดของปัญหาโรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ในชุมชนและใช้ในการศึกษาโรคเรื้อรังเพื่อให้ทราบภาระงานด้านสุขภาพมีแนวโน้มมากขึ้นหรือน้อยลงหรือไม่อย่างไร
สัดส่วนสาเหตุการตาย
การวัดการตาย หมายถึง การวัดปริมาณการตายจากทุกสาเหตุในกลุ่มประชากรที่ศึกษา ในช่วงเวลาที่กำหนด บ่งบอกถึงสภาวะอนามัยของชุมชนว่าดีหรือไม่ คนในชุมชนเสียชีวิตมากหรือน้อย ทำให้ทราบสภาวะทางสังคม เศรษฐกิจตกต่ำ/การบริการสาธารณสุขไม่ดี
อัตราตายเฉพาะ/จำเพาะ (specific death rate) หมายถึงการวัดการตายด้วยลักษณะเฉพาะอย่าง เช่น กลุ่มอายุ เพศ และสาเหตุในกลุ่มประชากรที่กำหนด ในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ทราบการกระจายของโรค
อัตราผู้ป่วยตาย/อัตราป่วยตาย เป็นการวัดจำนวนผู้ที่ตายด้วยสาเกตุใดสาเหตุหนึ่ง ต่อจำนวนผู้ป่วยด้วยสาเหตุนั้น มีหน่วยเป็นร้อยละ ใช้บ่งบอกความรุนแรงของโรค
การศึกษาวิทยาระบาดเชิงพรรณนา
(Descriptive Epidemiology)
เป็นการศึกษาการกระจายขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค เป็นการแจกแจงตามลักษณะ บุคคล เวลา และ สถานที่
ไม่มีการตั้งสมมุติฐาน ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ หรือ กลุ่มทดลอง
การศึกษาวิทยาการระบาดเชิงทดลอง
เป็นการศึกษาปฏิสัมพันธ์ของเหตุและผล นิยมใช้ศึกษาสาเหตุและปัจจัยการเกิดโรค พัฒนาและปรับปรุงวิธีการรักษา ป้องกันโรค รูปแบบการแก้ปัญหาสุขภาพต่างๆ โดยจะมีกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เช่น การทดลองยา ทดลองวัคซีน เป็นต้น
2.การศึกษาภาคสนาม กลุ่มที่ศึกษาเป็นกลุ่มปกติ การเก็บข้อมูลมักดำเนินการนอกสถานพยาบาล
3.การศึกษากลุ่มชุมชน เป็นการขยายรูปแบบการศึกษาแบบภาคสนาม ศึกษาชุมชนแทนบุคคล
1.การศึกษาเชิงคลินิก เป็นการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบการรักษาที่ต่างกัน
ลักษณะการศึกษาการศึกษาวิทยาการระบาดเชิงพรรณนา
1.การศึกษาวิทยาการระบาดเชิงพรรณนาระยะสั้น/การศึกษาภาคตัดขวาง : การศึกษา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง
2.การศึกษาเชิงพรรณนาระยะยาวไปข้างหน้า : การศึกษาไปข้างหน้า
3.การศึกษาเชิงพรรณนาระยะไปข้างหลัง : การศึกษาย้อนหลัง
การวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาทางวิทยาการระบาดเชิงพรรณนา
บุคคล : พรรณนาลักษณะของบุคลลที่เกิดโรค กระจายตามลักษณะของบุคลที่เกิดโรค เพื่อให้ได้ภาพของบุคคลที่เกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นอย่างชัดเจน
เวลา : กระจายตามวันเวลา ฤดูกาล เดือน ปี เทศกาล เป็นต้น
สถานที่ : พรรณาลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ในการเกิดโรค
การเปรียบเทียบระหว่างประเทศ
การเปรียบเทียบภายในประเทศ
การเปรียบเทียบในเมืองและในชนบท
การศึกษาวิทยาการระบาดเชิงวิเคราะห์
เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาสุขภาพหรือโรคกับองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพนั้นๆ ทำให้ทราบปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นๆ
1.การศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์
การศึกษา ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา
แบ่งออกเป็น2กลุ่มย่อย กลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพหรือเป็นโรค
และ กลุ่มที่ไม่มีปัญหาสุขภาพและไม่เป็นโรค
นำปัจจัยองค์ประกอบของปัญหามาเปรียบเทียบกัน
2.การศึกษาเชิงวิเคราะห์ย้อนจากผลหาสาเหตุ : การศึกษาเริ่มจากผลไปหาเหตุ
เป็นกลุ่มที่ใช้ศึกษา 2กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นโรค และ กลุ่มที่ไม่เป็นโรค
เป็นการศึกษาย้อนหลัง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้วในอดีต
ทำการซักประวัติย้อนหลัง หรือ เก็บข้อมูลจากแฟ้มประวัติ
เปรียบเทียบองค์ประกอบต่างๆระหว่าง 2กลุ่ม โดยใช้ความเสี่ยงสัมพันธ์
3.การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากสาเหตุไปหาผล : เป็นการศึกษาเริ่มต้นจากเหตุไปหาผล ใช้ในการสังเกตกลุ่มที่มีอะไรเหมือนกัน คือ การศึกษาไปข้างหน้าโดยเปรียบเทียบอุบัติการณ์จากกลุ่มที่ได้สัมผัสกับเหตุปัจจัยเสี่ยง และ กลุ่มที่ไม่ได้สัมผัส
การศึกษาที่เริ่มสังเกตจากกบุ่มที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ หรือ โรคที่ต้องการศึกษา
ติดตามเฝ้าสังเกตจนกว่ากลุ่มทั้ง 2จะมีการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพ
เปรียบเทียบอัตราการเกิดโรค หรือ ปัญหาสุขภาพนั้นของสองกลุ่ม เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุกับผล
4.การเฝ้าระวัง การสอบสวน และ การป้องกันการควบคุมโรคติดต่อและไม่ติดต่อ
การสอบสวนทางระบาดวิทยา (Epidemiology Investigation)
คือการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเกิดโรคภัยไข้เจ็บและเหตุการณ์ผิดปกติ ที่เป็นปัญหาสาธารณสุข เพื่อให้ได้ความรู้ที่สามารถอธิบายสาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บและเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าวนั้นได้ การระบาดมี 4 ระดับ ดังนี้
Endemic (โรคประจำถิ่น) คือ โรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้นๆ มีอัตราป่วยคงที่ และสามารถคาดการณ์ได้ เช่น ไข้เลือดออกในประเทศไทย
Outbreak (การระบาด) คือ เหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าที่คาดการณ์ หรือกรณีโรคอุบัติใหม่ เช่น การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น
Epidemic (โรคระบาด) เป็นการระบาดของโรคที่แพร่กระจายกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น โรคอีโบลาที่ ระบาดในทวีปแอฟริกาตะวันตก
Pandemic (การระบาดใหญ่/ทั่วโลก) เป็นลักษณะของการระบาดของโรคที่แพร่กระจายไปทวั่ โลก เช่นการระบาดของ COVID-19 ในอย่างน้อย 122 ประเทศทั่วโลก
ชนิดของการสอบสวนโรค
การสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย (Individual investigation
เป็นการหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโรคที่สนใจหรือเป็นปัญหาสำคัญ จากผู้ป่วยทีละราย โดยไม่ต้องรอให้ เกิดการระบาด มักจะเป็นโรคที่ มีความสำคัญทางสาธารณสุข หรือเป็นโรคที่ อันตราย มีความรุนแรงในการเกิดโรค ความไวของการแพร่กระจายสูง
การสอบสวนการระบาด (Outbreak or Epidemic Investigation)
เป็นการเข้าไปค้นหา รวบรวมข้อมูล องค์ป ระกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคที่เกิดขึ้นในชุมชนเพื่อให้ ได้รายละเอียดที่เป็นสภาพที่แท้จริงของการเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นๆ การระบาด มี 2 ลักษณะ
Epidemic เป็นคำที่เน้นการมีโรคในวงกว้าง มีการกระจายระบาดทั่วโลก
Outbreak เป็นคำที่เน้นการกระจายที่รวดเร็ว การเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและทันทีทันใด
ชนิดของการระบาดของโรค (Types of epidemics)
การระบาดของโรคจากแหล่งแพร่เชื้อร่วม (Common-source epidemics) แหล่งแพร่เชื้อมักมาจากอาหาร นม น้ำ หรือ สิ่งของที่ใชร่วมกัน
การระบาดของโรคจากการแพร่เชื้อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง (Propagated- source epidemics) เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในโรงเรียน นักเรียนป่วยนำเชื้อมาแพร่กระจายแก่สมาชิกครอบครัว
ขั้นตอนการสอบสวนโรค
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบการวินิจฉัย (Verify diagnosis) ต้องยืนยันว่าโรคระบาดนั้นคือโรคอะไร โดยอาศัยันิยามมาตรฐานของโรคนั้นๆ การตรวจทำงคลินิก การยืนยันทางห้องปฏิบัติการ การตรวจทางพยาธิสภาพ ขั้นตอนการสอบสวนโรค
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบว่ามีการระบาดของโรคอยู่จริง (Verify the existence of an epidemic)
1) มากกว่าค่าปกติที่ คาด ไว้ X + 2 S.D.
2) มากกว่าค่ามัธยฐาน (Median)
3) 1 รายในโรคที่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือโรคที่เคยควบคุมได้ขั้นตอนการสอบสวน
ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผลอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับปัจจยัต่างๆ ที่น่าจะเป็นสาเหตุของการระบาด (Rapid evaluation of epidemic potentiality) ประมวลเหตุการณที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อ บอกอย่างคร่าวๆ ว่ามีปัจจยัอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุเกี่ยวข้อง กับการระบาดของโรคครั้งนี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่ งจะเป็นสาเหตุการระบาดของโรค
ขั้นตอนที่ 4 : การรวบรวมข้อมูล (Collection of data)
4.1 วางกฎเกณฑ์การเลือก และการจัดกลุ่ม (Define criteria of selection and classification) ควรระบุเกณฑ์ในการเลือกและกำรจัดกลุ่ม
4.2 กำรค้นหำผู้ป่วยและลักษณะของผู้ป่วย โดยรวบรวมข้อมูล บุคคล สถานที่ เวลา
4.3 การค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในชุมชนเพื่อให้ได้ข้อมูลสมบูรณ์ขึ้น เป็ นประโยชน์ต่ออการวิเคราะห์และแปลผล เนื่องจากการรายงานโรคในกล่มุที่ พบใน รพ.อาจไดข้อมูลไม่ครบ จึงต้องมีการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในชุมชน ซึ่งอาจจะมีอาการไม่รุนแรง จึงยังไม่ได้ไปโรงพยาบาล
4.4 การค้นหาประสบการณ์ที่พบร่วมกันในกลุ่มผู้ป่วย เชน่ ประวัติการไปงานเลี้ยงในโรคอุจจาระร่วง
4.5 การศึกษาภาวะสิ่งแวดล้อมขณะมีการระบาดของโรคเปรียบเทียบกับสภาวะก่อนมีการระบาด ช่วยให้ ทราบช่องทางที่สำคัญ ในการสอบสวนสาเหตุการระบาดของโรคต่อไป
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of data)
5.1 ข้อมูลเกี่ยวกับเวลา (Time) ได้แก่การนำเอาวันเริ่มป่วย (Date of onset) ของผู้ป่วยทั้งหมดมาเขียนกราฟ เรียกว่า เส้นโค้งการระบาด (Epidemic curve)
5.2 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่(Place) สิ่งสำคัญ ที่ควรทำ คือ
แผนที่จุดผู้ป่วยหรือแผนที่ จุด (spot map) เพื่อดูว่ามีการรวมเป็นกลุ่มของผู้ป่วย เป็นแนวทางในการที่จะเข้าไปสืบสวนหาสาเหตุการระบาดได้
2.อัตราป่วยตามเขต (Attack rate by area) เพื่อดูการกระจายของโรคตามเขตต่างๆ ที่ เป็นสาเหตุของการเกิดการระบาดของโรคนั้นๆ
5.3 ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล (Person)
1.อัตราป่วยจำเพาะโรคตามอายุและเพศ (Aged-sex specific attack rate) เพื่อดูว่ากลุ่มอายุใดที่เป็นโรคนั้นมากที่สุด และควรจะเข้าไปสืบสวนสอบสวนการระบาดของโรค
2.อาชีพ (Occupation) ช่วยชี้ช่องทางบางอย่างในการเข้าไปสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการระบาดของโรค
ขั้นตอนที่ 6 การตั้งสมมติฐานของการระบาด (Hypothesis formation)
โรคแพร่ได้อย่างไร
แหล่งแพร่เชื้อ
ลักษณะการระบาดของโรค
ขั้นตอนที่ 7: การทดสอบสมมติฐาน (Testing of hypothesis)
วิธีการทดสอบสมมติฐานใช้หลักการศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห ์เพื่อวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสปัจจัยต่างๆ กับการเกิดโรค ในการสอบสวนโรค สามารถออกแบบการศึกษาได้ 2 แบบ คือ
1) Cohort study / Prospective analytic study
2) Case-control study/ Retrospective analytic study
ขั้นตอนที่ 8 การจัดการเกี่ยวกับ การระบาดของโรค (Management of epidemic)
8.1 การรักษาผู้ป่วย (Treatment of case)
8.2 การสืบหาประชากรที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคและกลุ่มประชากรที่เป็ นพาหะนำโรค
8.3 การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและวางมาตรการในการควบคุม (Prevention and control measures)
ขั้นตอนที่ 9 การรายงานผลการสืบสวนสอบสวน (Report of the investigation)
ภายหลังจากการสืบสวนสอบสวนการระบาดของโรคแล้ว สิ่งสำคัญอีก ประการหนึ่งก็คือ การเขียนรายงาน ทั้งนี้ต้องครอบคลุมประเด็น ที่สำคัญ ต่อไปนี้
9.1 ลักษณะและการระบาดของโรคตามบุคคล เวลา และสถานที่
9.2 สาเหตุของการระบาดของโรคสิ่งที่ทำ ให้เกิดโรค แหล่งแพร่เชื้อ และวิธีการแพร่เชื้อ
9.3 ข้อแนะนำในการป้องกันการระบาดในครั้งต่อไป
การป้องกันการควบคุมโรคติดต่อและไม่ติดต่อ
การป้องกันโรค (Disease Prevention)
หมายถึง มาตรการและกิจกรรมที่ดำเนินการก่อนที่จะเกิดโรคหรือภัย เพื่อไม่ได้เกิดโรค หรือภัยดังกล่าว
การควบคุมโรค (Disease Control)
หมายถึง มาตรการและกิจกรรมที่ดำเนินการหลังจากที่เกิดโรคหรือภัยขึ้นแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ที่ให้โรคหรือภัยนั้นสงบโดยเร็ว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและความ
เป็นอยู่ (เช่น ความเจ็บป่วย ความพิการ การตาย) น้อยที่สุด และไม่เกิดขึ้นอีก หรือหากเกิดขึ้นก็สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิผล (effectively) และมีประสิทธิภาพ (efficiently) มากขึ้น
ปัจจุบันความหมายของ "การป้องกันโรค" ได้ครอบคลุมความหมายของ "การควบคุมโรค" ไปด้วยตั้งแต่
Primary prevention กิจกรรมที่ดำเนินการก่อนเกิดโรค
Secondary prevention เกิดโรคแล้ว แต่ยังไม่เกิดอาการ
Tertiary prevention เกิดอาการแล้ว
การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (Epidemiological surveillance)
คือ การติดตามเฝ้าสังเกตอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของการเกิดและการกระจาย (บุคคล สถานที่ เวลา) ของโรค ปัญหาสุขภาพ หรือปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรค
รูปแบบการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา
1.การเฝ้าระวังเชิงรุก (Active sur.)
การติดตามการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะเกิดโรคขึ้น (โดยการตวจคัดกรองโรค) หรือขณะที่โรคกำลังระบาด แล้วทำการรวบรวมข้อมูลและบันทึกข้อมูลทันที
2.การเฝ้าระวังเชิงรับ (Passive sur.)
การติดตามโรค เมื่อพบโรคที่อยู่ในข่ายที่ต้องเฝ้าระวัง (ไม่ใช่ดำเนินการทุกโรค) ทำการบันทึกข้อมูลในบัตรรายงาน และรวบรวมส่งไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
กลุ่มโรคที่อยู่ในขอบข่ายที่ต้องเฝ้าระวังเชิงรับ
โรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นประจำ ปัจจุบันมีทั้งหมด 81 โรค บันทึกในรายงาน รง.506
การเฝ้าระวังโรคเอดส์ บันทึกในรายงาน รง.506/1
การเฝ้าระวังจากโรคการประกอบอาชีพ ต้องบันทึกในรายงาน รง.506/2
กรณีมีการเปลี่ยนแปลงโรคที่รายงาน ภายหลังได้รับการชันสูตรยืนยัน ให้บันทึกในรายงาน รง.507
ขั้นตอนการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา
2.การเรียบเรียงข้อมูล
การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมเป็นกลุ่มมาแจกแจงความถี่ ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
การเฝ้าระวังเชิงรุก
จำแนกตามองค์ประกอบของการเกิดและการกระจายของโรค ได้แก่ บุคคล สถานที่ เวลา ตัวอย่างเช่น กลุ่มบุคคล จำแนกเป็น กลุ่มอายุ เพศ อาชีพ
การเฝ้าระวังเชิงรับ
ศูนย์ข้อมูลด้านระบาดวิทยาอำเภอ/จังหวัด เป็นผู้ดำเนินการ จำแนกตามเครื่องมือที่ใช้สำหรับรวบรวมข้อมูล ได้แก่
E1 เรียบเรียงข้อมูลรายโรค
E2 เรียบเรียงผู้ป่วยตามสถานที่ และช่วงเวลา
E3 เรียบเรียงผู้ป่วยตามข้อมูลบุคคล เช่น อายุ เพศ
E4 เรียบเรียงข้อมูลแยกจำนวนผู้ป่วยออกตามโรคที่เกิดปัญหา
3.การวิเคราะห์ข้อมูล
การนำข้อมูลมาประมวลเข้าด้วยกันตามตัวแปรต่างๆ โดยใช้วิธีการทางสถิติ หรือทางระบาดวิทยา โดยใช้ดัชนีอนามัย เช่น อัตราป่วยจำเพาะ อัตราความชุก อัตราตาย และนำมาวิเคราะห์ทางระบาดเชิงพรรณนา (Descriptive Epidemiology Study) คือ การเปรียบเทียบความสัมพันธ์อัตราป่วยหรืออัตราตาย ตามข้อมูลบุคคล สถานที่ เวลา เพื่อสังเกตการกระจายของโรค
การเฝ้าระวังเชิงรุก
ศึกษาเชิงพรรณนาไปข้างหน้า
การเฝ้าระวังเชิงรับ
ศึกษาเชิงพรรณนาไปข้างหลัง
กรณีศึกษาเป็นช่วงเวลา
ใช้ Cross sectional descriptive epidemiology study
4.การแปลผลข้อมูล
เป็นการนำผลการวิเคราะห์มาพิจารณาอย่างมีเหตุผล และหาข้อสรุปที่ถูกต้อง มีข้อมูลอ้างอิงตามหลักวิชาการสนับสนุนการสรุปผลนั้น
การเฝ้าระวังเชิงรุก
วิเคราะห์และแปลผลข้อมูลการเฝ้าระวัง ดำเนินการตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลระดับ CUP ศูนย์ข้อมูลระบาดวิทยาอำเภอ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานป้องกันและควบคุมโรค และสำนักระบาดวิทยา เพื่อให้มองเห็นสภาพปัญหาในแต่ละระดับ จนถึงภาพรวมประเทศ ส่งผลให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้วางแผนแก้ไขปัญหาแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
การเฝ้าระวังเชิงรับ
ดำเนินการวิเคราะห์และแปลผลข้อมูลในพื้นที่
1.การเก็บข้อมูล
โดยการรวบรวมข้อมูลของการเกิด การกระจายโรคและปัญหาสุขภาพ ตามองค์ประกอบของการกระจายโรค ได้แก่ บุคคล สถานที่ เวลา
การเฝ้าระวังเชิงรุก
รวบรวมข้อมูลใหม่ โดยใช้การสัมภาษณ์ การตรวจคัดกรอง โดยจำแนกเป็น บุคคล สถานที่ เวลา
การเฝ้าระวังเชิงรับ
เก็บรวบรวมจากเวชระเบียน หรือประวัติผู้ป่วย และบันทึกลงในรายงานผู้ป่วย (รง.506, 506/1, 506/2) และส่งรายงานไปยังศูนย์ข้อมูล (CUP) เพื่อรวบรวมส่งไปยังหน่วยงานเครือข่ายต่อไป
5.การกระจายข้อมูลข่าวสาร
เป็นการรายงงานข้อมูลข่าวสารที่ได้จากการวิเคราะห์และแปลผล เสร็จแล้วแจ้งไปยังผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ