Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพัฒนาบุคลิกนิสัยเพื่อความส าเร็จในชีวิต - Coggle Diagram
การพัฒนาบุคลิกนิสัยเพื่อความส าเร็จในชีวิต
ความส าคัญของบุคลิกภาพ
3.การปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นเข้ากับผู้ใหญ่ และเข้ากับสังคมได้การที่รู้และเข้าใจบุคลิกภาพของบุคคลอื่น มีส่วนช่วยให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
4.การยอมรับของกลุ่มผู้ที่มีบุคลิกภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป ผู้คนจะชอบคบหาสมาคมด้วย และเมื่อได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ก็จะท าให้บุคคลมีความมั่นคงทางจิตใจและมีความสุข
2.การยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลการสังเกตบุคลิกภาพหรือการแสดงออกที่เกิดขึ้นเป็นประจ าสม่ าเสมอของแต่ละบุคคล ท าให้เราบอกได้ว่าบุคคลหนึ่งแตกต่างจากอีกบุคคลหนึ่ง
5.ความส าเร็จในการประกอบอาชีพบุคลิกภาพดีเป็นพื้นฐานแห่งความศรัทธาเชื่อถือแก่ผู้พบเห็น ในทุกสังคมผู้ที่มีบุคลิกภาพดีมักจะได้รับความร่วมมือและการติดต่อด้วยดีจากผู้อื่น ซึ่งช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่การงานมีโอกาสประสบผลส าเร็จได้ดีกว่าผู้ที่บุคลิกภาพด้อยกว่า
1.ความมั่นใจในตนเองผู้ที่มีบุคลิกภาพดีจะมีความมั่นใจที่จะปรากฎกายและกล้าแสดงออกในสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะได้รับความสนใจและความชื่นชมจากผู้อื่นจึงควรปรับตัวเองให้มีความมั่นใจโดยพยายามส ารวจตนเองทั้งนิสัย ความคิด การกระท า หากมีข้อบกพร่องที่ใดก็ควรปรับปรุงแก้ไขให้ดี เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเอง
องค์ประกอบของบุคลิกภาพ
สติปัญญา(Intellectual)ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลักษณะการพูด รวมไปถึงสิ่งที่พูด ปฏิภาณ และไหวพริบ บ่งบอกได้ว่าบุคคลนั้นมีสติปัญญาเป็นอย่างไร
การสมาคม (Social)ได้แก่ การวางตัวอย่างเหมาะสมกับโอกาส สถานที่ และกาลเทศะ ความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
ลักษณะทางกาย (Physical)ได้แก่ ลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ เช่น รูปร่างหน้าตาสุขภาพ สีผิว การแต่งกาย การเดิน ท่าทางการแสดงออกทางใบหน้า
อารมณ์ (Emotional)ได้แก่ คุณลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากอารมณ์และความรู้สึก เช่นความชอบไม่ชอบต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนเปิดเผยหรือขี้อาย เป็นคนสุขุมหรือวู่วามเป็นคนใจเย็นหรือใจร้อน
ความรู้สึกนึกคิด (Value system)ได้แก่ ทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นการตัดสินการกระท าว่าผิดหรือถูก
บุคลิกภาพของมนุษย์
บุคลิกภาพภายนอก (External personality)หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคลที่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย ได้แก่ รูปร่างหน้าตากิริยาท่าทาง การพูด ท่วงทีวาจา การเดิน การยืน การนั่ง การแต่งกาย ตลอดจนการแสดงมารยาทต่าง ๆ
บุคลิกภาพภายใน (Internal personality)หมายถึง ลักษณะเฉพาะที่อยู่ภายในจิตใจของแต่ละบุคคลที่ได้สั่งสมมาเป็นเวลายาวนาน บุคลิกภาพภายในเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว สถานศึกษา ตลอดจนเกิดจากประสบการณ์ต่าง ๆ จนเป็นนิสัยถาวรแล้ว ยากที่จะแก้ไขปรับปรุง
ประเภทเก็บตัว (Introvert)เป็นบุคคลประเภทชอบอยู่โดดเดี่ยว ชอบอยู่ตามล าพัง ชอบแยกตัวเองออกจากสังคม ชอบท างานคนเดียว ใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลักในการส ารวจตัวเอง
ประเภทชอบแสดงตนหรือชอบสังคม (Extrovert)มีแนวโน้มที่จะสนใจสิ่งภายนอกตัว พวกที่คิดแต่เรื่องภายนอกตัวเอง มีลักษณะเป็นคนที่แสวงหา และชอบท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ชอบการสังสรรค์ ชอบการเข้าสังคมอยู่กับคนหมู่มาก
กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ
ขั้นที่ 3 การฝึกฝนตนเอง (Self training)
ขั้นที่ 4 การประเมินตนเอง (Self evaluation)
บริการ1.การพัฒนาความฉลาดในด้านต่าง ๆ 5 ด้าน
1.2การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient: EQ)
หมายถึงความสามารถในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์และเกิดประโยชน์สูงสุด
1.3การพัฒนาด้านคุณธรรม (Moral Quotient: MQ)
มายถึงค่าชี้วัดความมีคุณธรรม การควบคุมตัวเองให้อยู่ในขอบเขตของจริยธรรม ซึ่งทุกวันนี้ความมีจริยธรรม ความซื่อสัตย์ ก าลังหายไปจากสังคมโลกความจริงแล้วMQ นั้นต่างกับEQ ตรงที่ EQ เปรียบเหมือนบุคลิกนิสัยของคนที่แตกต่างกันออกไปโดยการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
1.1 การพัฒนาสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญา (Intelligence Quotient: IQ)
4)ความฉลาดด้านกายภาพหรือร่างกาย (Bodily-kinesthetic intelligence)
5)ความฉลาดด้านดนตรี (Musical intelligence)
3)ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial intelligence)
6)ความฉลาดด้านทักษะสังคม (Interpersonal intelligence)
2)ความฉลาดด้านการค านวณ (Logical-Mathematical intelligence)
7)ความฉลาดด้านบุคคล (Intrapersonal intelligence)
1) ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic intelligence)
8) ความฉลาดด้านธรรมชาติ (Naturalist intelligence)
1.4การพัฒนาความฉลาดในการเผชิญปัญหา(Adversity quotient: AQ)
1)ผู้ยอมหยุดเดินทางเมื่อเผชิญปัญหา(Quitters)
2)ผู้หยุดพักพิงเมื่อได้ที่เหมาะ(Campers)
3)ผู้ที่รุกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง(Climbers)
1.5การพัฒนาความฉลาดทางสังคม(Social Quotient: SQ)
2)การแสดงออก(Presence)การแสดงออกทั้งวัจนภาษาการพูด(Verbal language)และอวัจนภาษา (Nonverbal language)
3)ความจริงใจ(Authenticity)พฤติกรรมที่ท าให้คนอื่นตัดสินว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์ เปิดเผย
1)รู้สถานการณ์(Situation awareness)ความสามารถในการอ่านตีความพฤติกรรมของคนในแต่ละสถานการณ์
4)ความชัดเจน(Clarity)ความสามารถในการอธิบายความคิดและแสดงความคิดเห็น
5)ความเห็นอกเห็นใจ(Empathy) กับผู้อื่น
2.นิสัย7 ประการสู่ความส าเร็จThe 7 Habits of Highly Effective People ประพันธ์โดยSteven Covey
2.4 การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย(Think win-win)
2.5 การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา(Seek first to understand,then to be understood)
2.3 ท าสิ่งที่ส าคัญก่อน(Put first things first)
1)เรื่อง "ส าคัญ "และ"เร่งด่วน
2)เรื่อง "ส าคัญ "แต่"ไม่เร่งด่วน
3)เรื่อง "ไม่ส าคัญ "แต่"เร่งด่วน
4)เรื่อง "ไม่ส าคัญ "และ"ไม่เร่งด่วน
2.6 การผนึกพลังผสานความต่าง(Synergize)
2.2สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ(Begin with the end in mind)
2.7 การเพิ่มพลังชีวิต(Sharpen the saw)
ด้านร่างกาย เช่น การออกก าลังกาย การพักผ่อนที่เหมาะสม
ด้านปัญญา เช่น การอ่านหนังสือการเดินทางหาประสบการณ์
ด้านจิตวิญญาณ เช่น การอยู่กับธรรมชาติการได้ทบทวนเป้าหมายในชีวิต
ด้านสังคม เช่น การสร้างวุฒิภาวะในการเข้าสังคม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
2.1 นิสัยรู้และเลือก/อิสระแห่งการเลือกตอบสนอง(Be proactive)
ขั้นที่ 2 การปรับปรุงตนเอง (Self improvement)
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ตนเอง (Self analysis)
การปรับปรุงลักษณะนิสัยที่ไม่ดี
2.ไม่มีความรับผิดชอบ
ลงรายละเอียดของงานว่าจะต้องท าอะไรบ้าง
แบ่งเวลาท างานให้เหมาะสม
ฝึกเขียนแผนงาน โครงการที่จะท า
กระตือรือร้นในงานที่ได้รับมอบหมาย
3.มีลักษณะการพูดมากกว่าฟัง
ฝึกการเป็นผู้ฟังมากกว่าพูด โดยวิทยุ ข่าวสาร ฟังเพื่อนคุย
หากสนทนากับใครควรมีสติ และตั้งใจฟัง
1.ชอบต าหนิติเตียนคนอื่น
มองโลกในแง่ดี ลดละความโกรธ โลภ หลง
พยายามพูดถึงสิ่งที่ดีของเขา มองข้ามข้อบกพร่องของเขาเสีย
ลองท าในสิ่งนั้นดู เพื่อจะได้รู้ตัวว่าที่ติเตียนเขานั้นตัวเองก็ท าไม่ได้เท่าเขาด้วยซ้ า
อย่านอนดึกและนอนให้พอ ถ้าผิดปกติควรพบแพทย์
แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก
1.การพัฒนาด้านการแต่งกายเพื่อบุคลิกภาพที่ดี
3)การแต่งกายให้สมกับเพศและวัย
4)การเสริมสวยตามความจ าเป็น
2)การแต่งกายให้สมกับโอกาส
5)การใช้เครื่องประดับที่มีค่า
1)การแต่งกายให้สมฐานะ
หลักการแต่งกายให้มีบุคลิกภาพที่ดี
1)ความสะอาดเครื่องแต่งกายควรสะอาดและร่างกายส่วนต่าง ๆ
2)ความสุภาพเรียบร้อยทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายเพื่อโอกาสใด
3)ความประณีตเสื้อผ้าที่มีความประณีตพิจารณาได้จากคุณสมบัติของเนื้อผ้า
4)ความเหมาะสมแก่กาลเทศะบุคคลควรเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาสหรืองานที่เข้าร่วมกิจกรรม
5)ความเหมาะสมกับรูปลักษณ์หมายถึง การเลือกแบบและสีของเสื้อผ้าที่เหมาะสมกลมกลืนกับลักษณะรูปร่างของตนเอง
6)ความเหมาะสมในการเลือกใช้เครื่องประกอบการแต่งกายนอกจากการให้ความส าคัญกับเสื้อผ้าที่จะน ามาใช้ในการแต่งกายเป็นอันดับแรก
2.มารยาทและการสมาคมเพื่อบุคลิกภาพที่ดี
2.1มารยาทโดยทั่วไป
2)การส ารวมกิริยาท่าทางและค าพูด
3)การรู้จักเกรงใจ ไม่ถือวิสาสะ
1)การแต่งกายให้เรียบร้อย
4)การให้เกียรติผู้อื่น
5)การกล่าวค าขอโทษ และขอบคุณ
6)การไม่พูดเพ้อเจ้อ หรือพูดพร่ าเพรื่อ
7)การอ่อนน้อมถ่อมตน
8)การไม่ท าอะไรตามใจตน และไม่ต่อปากต่อค ากับผู้ใหญ่
2.2มารยาทในการแนะน าบุคคล
2)พาผู้มีอายุน้อยกว่าไปแนะน าให้รู้จักกับผู้มีอายุมากกว่า
3)พาผู้มีเกียรติน้อยกว่าไปแนะน าให้รู้จักกับผู้มีเกียรติสูงกว่า
1)พาผู้ชายไปแนะน าให้รู้จักกับผู้หญิงเสมอ ถ้าทั้งสองฝ่ายมีคุณวุฒิวัยวุฒิไม่แตกต่างกันมากนัก
4)พาผู้มีต าแหน่งหรือยศต่ ากว่าไปแนะน าให้รู้จักกับผู้มีต าแหน่งหรือยศสูงกว่า ในกรณีที่เสมอกันจะพาใครไปแนะน าให้ใครรู้จักก็ได้
5)การจะเอ่ยชื่อเพื่อนแนะน าใครก่อนหลังนั้น มีหลักอยู่ว่า ควรเอ่ยชื่อคนที่เราพาไปแนะน าทีหลัง และให้กล่าวชื่ออีกฝ่ายหนึ่งที่มีอายุมากกว่าก่อนเสมอ
6)เมื่อผู้ถูกแนะน าเป็นชายและก าลังนั่งอยู่ เมื่อได้รับการแนะน าจะต้องยืนขึ้นทันที
7)เมื่อผู้ถูกแนะน าเป็นหญิงและก าลังนั่งอยู่ ไม่จ าเป็นต้องลุกขึ้นยืน ยกเว้น กรณีผู้ที่แนะน าเป็นผู้อาวุโสหรือมีอายุมากกว่า ควรยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
2.3มารยาทในการทักทาย
2)ผู้ชายจะจับมือผู้หญิงได้ก็ต่อเมื่อผู้หญิงยื่นมือให้จับ
3)ผู้น้อยจะจับมือกับผู้ใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่เป็นฝ่ายยื่นมือให้จับ
1)ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายที่เสมอกัน หรือระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงที่เสมอกัน ต่างฝ่ายต่างจับมือกันตามความต้องการ ไม่ต้องคอยให้อีกฝ่ายหนึ่งยื่นมือออกมาก่อน
4)การทักทายด้วยการจับมือควรจับให้กระชับ ไม่ควรบีบมือของอีกฝ่ายแรงเกินไป ควรเขย่ามือเล็กน้อยสองสามครั้ง แล้วจึงปล่อยมือออกจากกัน
2.4มารยาทการแสดงความเคารพมีหลักในการปฏิบัติ ดังนี้
3)เมื่ออยู่ในสถานที่ประชุมที่มีประธานในที่นั้น ห้องปาฐกถา ห้องประชุมหากมีผู้ใหญ่เข้ามาในห้องนั้น ไม่ต้องลุกขึ้นท าความเคารพ นอกจากจะมีสัญญาณจากผู้เป็นประธานให้ลุกขึ้นแสดงความเคารพ
4)เมื่อท าความเคารพผู้ใหญ่ หรือสนทนากับผู้ใหญ่ ถ้าสวมแว่นตาด า ควรถอดออกก่อน
2)ถ้ามีผู้อาวุโสยิ่งอยู่ในที่นั้น ให้ท าความเคารพแต่เฉพาะผู้นั้นผู้เดียว ไม่ต้องแสดงความเคารพผู้อื่นอีก
5)ขณะแสดงความเคารพอย่าคาบบุหรี่เป็นอันขาด
1)การแสดงความเคารพผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่แห่งเดียวกันหลายคน ควรจะเคารพให้เป็นไปตามอาวุโสของผู้ใหญ่เหล่านั้น
2.5มารยาทในการใช้ลิฟต์โดยสาร
3)ถ้าลิฟต์จอดก่อนถึงชั้นที่เราต้องการจะออก ควรเขยิบเข้าไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ผู้อื่นเข้าหรือออกจากลิฟต์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
4)ถ้ามีเจ้าหน้าที่ในลิฟต์คอยให้บริการกดลิฟต์ ก่อนออกจากลิฟต์ควรกล่าวค าขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ผู้นั้นด้วย
2)ผู้น้อยต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงกว่า โดยควรเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อนและช่วยกดปุ่มในลิฟต์ให้ผู้ใหญ่ เวลาจะออกจากลิฟต์ก็ควรให้ผู้ใหญ่ออกก่อน
5)ในขณะที่อยู่ในลิฟต์ไม่ควรสนทนาพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน เพราะลิฟต์ถือว่าเป็นที่สาธารณะที่มีบุคคลอื่น ๆ ใช้ร่วมกับเรา จึงไม่สมควรที่จะพูดคุยรบกวนผู้อื่น
1)ผู้ชายต้องเข้าในลิฟต์ก่อนและออกจากลิฟต์ทีหลังผู้หญิงเสมอ ทั้งนี้เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษที่ต้องให้เกียรติสุภาพสตรี
6)ไม่ควรสูบบุหรี่หรือรับประทานอาหารในลิฟต์ เพราะจะเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง
2.6มารยาทการขึ้นลงบันได
การลงบันได ผู้ชายควรจะเดินลงก่อนผู้หญิงเสมอ
การขึ้นบันไดผู้หญิงเดินขึ้นก่อนผู้ชายเสมอ
2.7มารยาทในการไป-กลับงานใด ๆ
2)ส่วนการอ าลาจากงานใด ๆ นั้น ไม่มีก าหนดแน่นอนตายตัวว่าควรเป็นเวลาไหน แต่ต้องไม่กลับก่อนแขกผู้มีเกียรติหรือผู้ใหญ่ ผู้มีอาวุโสในงานนั้น ๆ
3)ในงานเลี้ยงน้ าชา จะต้องไม่อยู่จนกระทั่งใกล้เวลาอาหารค่ าเป็นอันขาด
1)ในงานเลี้ยงอาหารควรไปก่อนเวลา 15 นาที อย่าไปเร็วเกินไป เพราะเจ้าภาพอาจจะยังไม่พร้อมในงานเลี้ยงรับรองที่ระบุเวลา เช่น 18.00 -21.00 น. ไม่ควรไปให้ช้ากว่าเวลาที่เจ้าภาพเชิญผู้ใหญ่กล่าวอวยพร
4)ในงานเลี้ยงใด ๆ ก็ตามจะต้องไม่กลับเป็นคนสุดท้ายเป็นอันขาด
5)ในการไปร่วมงานเลี้ยง ผู้รับเชิญควรเข้าใจความหมายของข้อความในบัตรเชิญเพื่อจะได้ไปร่วมงานได้อย่างเหมาะสม
2.8มารยาทหรือการสมาคมในวัฒนธรรมตะวันตก
ในสังคมไทยเราปัจจุบันนี้มีการน าเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยควรจะต้องให้ความส าคัญในเรื่องนี้ เพราะหากเรารับเอาวัฒนธรรมดังกล่าวเข้ามาโดยไม่ได้ค านึงถึงลักษณะของความเป็นไทยเราก็อาจจะท าให้ผู้ที่น ามาปฏิบัติเกิดปัญหาในการสมาคมไ
2.9มารยาททั่ว ๆ ไป
2)การเชิญแขกไปร่วมในงานต้องเชิญเป็นคู่ กรณีที่เป็นสามีภรรยา
3)ฝ่ายชายจะต้องแนะน าแขกคนอื่นให้รู้จักกับภรรยาของตน
1)เริ่มต้นด้วยวิธีการให้เกียรติผู้หญิงของผู้ชายในสังคมตะวันตก หรือ Lady first
4)การลุกขึ้นเมื่อผู้หญิงเดินเข้ามาที่โต๊ะ และผู้หญิงจะต้องนั่งลงก่อนที่ผู้ชายจะนั่งลง
5)ฝ่ายชายจะต้องเป็นผู้เลื่อนเก้าอี้ให้ผู้หญิงนั่ง เปิดประตูรถให้ฝ่ายหญิง
6)การกอดกันเพื่อทักทายกัน การจับมือจูงแขน หรือจับข้อศอกผู้หญิงเมื่อผู้ชายพาข้ามถนนก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายตะวันตกปฏิบัติเป็นการให้เกียรติแก่ผู้หญิง
3.มารยาทในการรับประทานอาหาร
3.1มารยาทในการรับประทานอาหารทั่วไป
9)ไม่ควรร้องเพลง หรือเคาะจังหวะเพลงในขณะรับประทานอาหารบนโต๊ะอาหาร
10)ไม่ควรบ้วนน้ าลาย ขาก จาม หรือไอ หากจ าเป็นต้องใช้ผ้าป้องปาก
8)ไม่ควรเคลื่อนย้าย หรือเคาะเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร
11)ระวังอย่าให้อาหารหกหล่นบนโต๊ะอาหาร หรือเปื้อนเสื้อผ้า
7)ไม่ควรใช้ช้อนของตนเองตักอาหารจากจานกลางโดยเด็ดขาด ควรใช้ช้อนกลางตัก
12)หากต้องการสิ่งของที่อยู่ไกลตัว ไม่ควรโน้มตัวหรือเอื้อมมือไปหยิบข้ามเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารของผู้อื่น
5)เรื่องที่สนทนาควรเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่ควรเป็นเรื่องขบขันหรือเป็นเรื่องเศร้าจนเกินไป
13)ควรเอื้อเฟื้อถามความต้องการแก่ผู้นั่งใกล้เคียงและส่งเครื่องปรุงให้ เช่น เกลือ พริกไทย
5)เรื่องที่สนทนาควรเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่ควรเป็นเรื่องขบขันหรือเป็นเรื่องเศร้าจนเกินไป
14)การรับประทานของว่างหรือของขบเคี้ยวก่อนอาหารหลัก ควรรับประทานอาหารพอประมาณ
4)ควรสนทนากับผู้ที่นั่งข้างเคียงเบา ๆ ไม่ควรนั่งเฉย ๆ หรือสนทนาเสียงดังเกินไป
15)การรับประทานซุป ไม่ควรรับประทานจากปลายช้อน เวลาตักซุปควรหงายช้อนตักออกจากตัวและรับประทานจากข้างช้อน อย่าซดเสียงดัง
3)ไม่ควรอ่านหรือเปิดดูหนังสือใด ๆ ที่วางไว้บนโต๊ะอาหารนอกจากรายการอาหารเท่านั้น
16)การรับประทานสลัดผักต่าง ๆ ควรรับประทานด้วยส้อม หรืออาจใช้มีดตัดผักได้บ้างถ้าจ าเป็น
2)ไม่ควรวางศอกไว้บนโต๊ะอาหารหรือนั่งโยกเก้าอี้ ไม่นั่งไขว่ห้างหรือแสดงกิริยาอื่นที่ไม่สุภาพ
17)อาหารที่น ามาแจกและเป็นชิ้นให้ตักเอง ไม่ควรตักหรือหยิบมากเกินไป
1)เมื่อเข้าที่นั่งที่เตรียมไว้ให้แล้ว ให้คลี่ผ้าเช็ดมือออกแล้ววางไว้บนตัก ไม่ควรถือเล่นหรือพับเล่น
18)น้ าและเครื่องดื่มที่น ามาเสิร์ฟก่อน หรือระหว่างการรับประทานอาหาร เมื่อดื่มแล้ววางแก้วไว้ทางขวามือเสมอ
3.2การรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ (Buffet)
3)ควรตักอาหารตามล าดับของการรับประทาน โดยจานแรกควรจะเป็นอาหารเรียกน้ าย่อย เช่น แฮม ติ่มซ า เปาะเปียะทอด ย า ฯลฯ
4)ขณะที่รออยู่ในแถวเพื่อจะไปตักอาหารไม่ท าเสียงดังจนเป็นที่ร าคาญ ควรท าตัวให้สุภาพ
2)อย่าตักอาหารหลายชาติหรือหลากชนิดมากจนเกินไปในจานเดียวกัน เพราะจะเสียรสชาติในการรับประทานอาหารและภาพในจานอาหารไม่น่าดู
5)เมื่อถึงโต๊ะอาหารที่จัดไว้ควรตักอาหารที่ต้องการทันที ไม่ควรเสียเวลาเลือกนาน เพราะจะท าให้แขกคนอื่นต้องคอยนานเป็นการเสียมารยาท
1)ควรตักอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตนเองสามารถรับประทานได้หมด ไม่ตักไปเผื่อคนอื่น หรือตักอาหารส่งให้แก่เพื่อนซึ่งมายืนรอรับอาหารอยู่ข้าง ๆ แถว
6)เมื่อตักอาหารแต่ละอย่างแล้ว ควรเดินต่อไป อย่าหยุดยืนคุยกัน เพราะจะเป็นการกีดขวางการตักอาหารของผู้อื่น
7)ควรรับประทานอาหารที่ตักมาให้หมดทุกครั้ง ไม่ควรเหลือไว้ เพราะจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาหารไม่อร่อยหรือไม่ดีพอ และยังแสดงถึงความไม่รู้จักประมาณในการกินอีกด้วย
8)หากยังไม่อิ่มสามารถเดินไปตักอาหารใหม่ได้อีก ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด
9)ไม่ตักขนมหรือผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารหวานมาเตรียมรอข้างจานอาหารคาวที่ยังรับประทานไม่เสร็จ
3.3การรับประทานอาหารแบบตะวันตก(Western set)
2)ซุป(Soup)เป็นอาหารล าดับถัดมาจ าแนกออกเป็น 2 ประเภทคือ ซุปใส (Clear soup/Consumme) ท าจากน้ าสต๊อก
3)อาหารจานรอง(Entrees)เป็นพวกอาหารทะเลต่าง ๆ จะเสิร์ฟหลังซุปหรืออาจจะไม่รับประทานอาหารจานนี้เลยก็ได้
1) อาหารเรียกน้ าย่อย (Appetizers)เป็นอาหารที่มีปริมาณไม่มากนัก เช่น ปลารมควัน(Smoked plakapong) ค๊อกเทลกุ้ง (Shrimp cocktail) เป็นต้น
4)อาหารจานหลัก(Main dish หรือ Main course)คืออาหารที่ประกอบด้วยอาหารประเภทโปรตีน
5)ของหวานหรือผลไม้(Dessertsor fruit) จะรับประทานหลังอาหารจานหลักจะเป็นผลไม้หรือ ของหวานซึ่งได้แก่ คัสตาร์ด เค้ก ไอสครีมฯลฯ
6)ชา/กาแฟ (Tea/coffee)
มารยาทในการรับประทานอาหารแบบตะวันตก
3)อุปกรณ์ในการรับประทานอาหาร
มีดเนยวางบนจานขนมปัง จานขนมปังวางเหนือส้อมด้านซ้ายมือ
ช้อนหรือส้อมของหวานอยู่บนสุดระหว่างมีดและส้อมอาหารหรือด้านซ้ายในสุด
ส้อมวางไว้ด้านซ้ายมือ แต่ถ้าเป็นส้อมค็อกเทลให้วางอยู่นอกสุด
ผ้าเช็ดปากส่วนมากจะวางไว้บนจานรองตรงกลาง
ช้อนซุปจะวางหงายถัดจากมีดไปทางขวามือ
แก้วน้ าจะวางไว้ด้านขวามือเหนือมีด
เริ่มจากมีดวางอยู่ด้านขวามือ
แก้วไวน์วางเฉียงลงต่อจากแก้วน้ ามาทางขวา
อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารทุกชิ้น จะวางอยู่ห่างจากขอบโต๊ะประมาณ 1 นิ้ว โดยจะเรียงล าดับการใช้จากข้างนอกเข้าไปข้างใน
แก้วกาแฟวางอยู่ด้านขวามือ
4)การใช้ส้อมกับมีด (Knife and Fork)
4.1)แบบอเมริกันใช้มือขวาถือมีด มือซ้ายถือส้อมในการหั่น เวลารับประทานก็วางมีดและหันคมมีดเข้าด้านในตัว แล้วเปลี่ยนส้อมมาไว้มือขวา จิ้มอาหารเข้าปากในลักษณะคว่ าส้อมลง และเมื่อต้องการตัดอาหารชิ้นใหม่ ก็จะเปลี่ยนมีดสลับกันไป
4.2) แบบยุโรปไม่มีการวางมีด มือขวาถือมีด มือซ้ายถือส้อม จิ้มอาหารด้วยมือซ้ายในลักษณะส้อมคว่ าลงเช่นกัน ระหว่างที่รับประทานอาหารจะถือมีดไว้ตลอดจนกว่าจะรับประทานอาหารเสร็จ และไม่มีการเปลี่ยนมือที่ถือส้อมการที่จะเลือกใช้วิธีไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่ หรือสังคมที่เราไปนั้นนิยมใช้แบบไหน เราก็ปฏิบัติตามที่เขานิยม จะได้ไม่เป็นที่อับอาย และยังช่วยส่งเสริมบุคลิกได้ดีอีกด้วย
2)การใช้ผ้าเช็ดปาก(Napkin)
ใช้ผ้าเช็ดปากในการซับ อย่าใช้เช็ดหรือถู
ควรใช้ซับปากบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่ม เพื่อป้องกันมิให้คราบมันของอาหารหรือลิปสติกติดอยู่ที่ปากแก้ว
หลังจากเจ้าภาพหยิบผ้าเช็ดมือแล้วจึงหยิบผ้าเช็ดมือบนโต๊ะตรงหน้า คลี่ครึ่งผืนวางไว้บนตัก
อย่าเอาผ้าเช็ดปากถูลิปสติกออกจากปาก ถ้าจะถูออกควรใช้กระดาษทิชชู่แทน
เมื่อลุกจากโต๊ะให้วางผ้าเช็ดมือไว้บนโต๊ะด้านซ้ายมือ โดยไม่ต้องพับไว้ให้เหมือนเดิม แต่หากต้องการจะกลับมาที่โต๊ะอีกให้วางผ้าเช็ดปากไว้บนเก้าอี้เพื่อให้คนทราบว่าจะกลับมานั่ง
หากผ้าเช็ดมือหล่นลงพื้นในขณะที่รับประทานอาหาร ให้ค่อย ๆก้มลงเก็บโดยอย่าให้รบกวนคนอื่น
5)มารยาทในการรับประทานอาหารแบบตะวันตก
5.4)การเริ่มรับประทานขนมปัง ควรจะรอให้เสิร์ฟซุปและรับประทานซุปหมดแล้ว จึงจะรับประทานขนมปังไปได้ตลอดจนจบอาหารคาว
5.5)การพักมีดและส้อม (ยังไม่เลิกทาน) จะต้องวางลงบนจานหรือวางบนจานรองเท่านั้น โดยวางด้านคมของมีดเข้าข้างในจานเสมอ
5.3)หากอาหารร้อน ควรตักค าเล็ก ๆ จะไม่ร้อนเกินไป
5.6)การรับประทานสปาเกตตี ใช้ปลายส้อมพันสปาเกตตีเป็นขดพอดีค า อาจใช้ช้อนช่วยหรือใช้ส่วนโค้งของขอบจานช่วยไม่ให้เส้นไหลลื่นออกจากส้อมก็ได้
5.2)การรับประทานซุป หยิบช้อนซุปตักรับประทาน เวลาตักซุปตักออกไปทางด้านนอกตัวผู้รับประทาน
5.7)อาหารที่มีการเสิร์ฟน้ าซอสมาให้ หากเป็นซอสใส เทลงบนอาหารหลักในจาน แต่หากเป็นซอสข้นเทลงบนช่องว่างด้านหน้าของจาน แล้วจิ้มรับประทานในจานไปตลอด
5.1) ขณะที่จิ้มหรือตักอาหารใส่ปาก อย่าก้มศีรษะลงไปหาจาน และอย่ากางข้อศอก ควรหนีบข้อศอกทั้งสองข้างให้ชิดล าตัวเสมอ
5.8)ก่อนจะดื่มเครื่องดื่มต้องเช็ดรอยเปื้อนที่ริมฝีปากก่อน การท าให้ขอบแก้วมีรอยถือว่าเสียมารยาทอย่างมาก ถ้ารอยเปื้อนติดเป็นคราบอยู่ที่แก้วใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดออก การใช้นิ้วขัดรอยเปื้อนจะท าให้รอยเปื้อนเป็นรอยกว้างขึ้น
5.9)หลังรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรท าความสะอาดฟันที่โต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะใช้ไม้จิ้มฟันหรือนิ้ว ควรขอตัวไปเข้าห้องน้ าเพื่อจัดการกับเศษอาหารจะดีที่สุด
1)การเข้านั่งโต๊ะ
นั่งลงโดยที่ไม่รบกวนผู้อื่น โดยเข้านั่งทางซ้ายจะสะดวกกว่าทางขวาเพราะคนส่วนใหญ่จะถัดขวาอาจจะไปกระทบกับคนด้านข้างได้
นั่งในท่าที่สบาย ไม่นั่งหลังโกงหรือนั่งตัวแข็ง เพียงแต่นั่งตัวตรงอย่างสบาย ๆ อย่าวางข้อศอกหรือมือ หรือแขนบนโต๊ะ มือควรวางไว้บนตัก อย่าเอาขาพันเก้าอี้หรือเอนเก้าอี้ไปข้างหลังให้ขาหลังเก้าอี้อยู่บนพื้นแต่ขาหน้าลอย
สุภาพบุรุษ เลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี และถ้ามีแต่ผู้หญิง ผู้อ่อนอาวุโสกว่าเลื่อนเก้าอี้ให้ผู้ที่อาวุโสกว่า โดยการเลื่อนเก้าอี้ออกมาเล็กน้อย และเลื่อนกลับเข้าที่ในขณะที่สุภาพสตรีนั่งลง
เมื่อเข้าไปในร้านอาหารหรือโต๊ะอาหาร ให้รอผู้ที่มีหน้าที่น าคุณไปนั่งที่โต๊ะ โดยให้สุภาพสตรีเดินน าไปก่อน
เข้าไปในที่ ๆ ก าหนดให้ และอย่าเพิ่งนั่งจนกว่าเจ้าภาพจะเชิญชวน
เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วให้คลี่ผ้าเช็ดปากครึ่งผืนแล้ววางไว้บนตัก
ให้ผู้ที่อาวุโสกว่าหรือบุคคลส าคัญเป็นผู้น าไปที่โต๊ะอาหาร