Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วัยก่อนเรียน เพศหญิง 4 ปี11 เดือน - Coggle Diagram
วัยก่อนเรียน เพศหญิง 4 ปี11 เดือน
การเสริวสร้างภูมิคุ้มกัน
วัคซีนที่ได้รับ:
วัคซีนป้องกันคอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน ชนิดทั้งเซลล์ กระตุ้น เข็มที่ 2 (DTwP กระตุ้น 2)
วัคซีนโปลิโอ ชนิดกิน กระตุ้น ครั้งที่ 2 (OPV กระตุ้น 2)
วัคซีนป้องกันคอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน ชนิดไร้เซลล์ กระตุ้น เข็มที่ 2(DTaP กระตุ้น 2)
วัคซีนโปลิโอ ชนิดฉีด เข็มที่ 5 (IPV 5)
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ครั้งที่ 2 (VZV 2) หรือ วัคซีนรวมหัด, หัดเยอรมัน, คางทูม, อีสุกอีใส เข็ม 2(MMRV 2)
คำแนะนำหลังได้รับวัคซีน : ทั่วไปของวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส คือ มีไข้ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีน แต่หากมีอาการแพ้ยา/แพ้วัคซีน เช่น มีผื่นคันขึ้นตามลำตัว ริมฝีปาก เปลือกตา/หนังตา/ ใบหน้า บวม หายใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที
หากปวด บวมบริเวณที่ฉีดให้ประคบด้วยผ้าเย็น ถ้ามีไข้ให้เช็ดตัวลดไข้และรับประทานยาลดไข้ในขนาดที่เหมาะสม
ข้อมูลพัฒนาการเด็ก
พัฒนาากรตามวัย (DSPM)
GM- เดินต่อส้นเท้า ก้าวเดินโดยใช้ส้นเท้าข้างหนึ่งไปตรงชิดกับปลายเท้าอีกข้างหนึ่งให้เด็กดูแล้วบอกให้เด็กทำตาม
FM- จับดินสอได้ถูกต้อง ยื่นกระดาษและดินสอให้เด็กและบอกว่า”หนูลองใช้ดินสอเขียนดูนะ”
RL- เลือกสีได้ 8 สีตามคำสั่ง วางก้อนไม้ 10 ก้อน ตรงหน้าเด็กแล้วบอกเด็กว่า “หยิบก้อนไม้สีฟ้า” ผู้ประเมินนำก้อนไม้ที่เด็กหยิบกลับไปวางที่เดิมบอกให้เด็กหยิบสีอื่นๆ จนครบ8สี
EL- ผลัดกันพูดคุยกับเพื่อนในกลุ่ม ถามจากพ่อแม่ ผู้ปกครองว่า”เด็กสามารถพูดคุยกับเพื่อนโดยผลัดกันได้หรือไม่”
PS- เลียนแบบบทบาทของผู้ใหญ่ได้ ถามจากพ่อแม่ ผู้ปกครองว่า “เด็กเคยเล่นเลียนแบบบทบาทอาชีพของผู้ใหญ่โดยเล่นกับเพื่อนได้หรือไม่”
การส่งเสริมพัฒนาการ : เป็นวัยก่อนเข้าเรียนอนุบาล ในช่วงนี้เด็กจะพูดได้อย่างคล่องแคล่วและชัดเจนขึ้น เริ่มวาดรูปหน้าคนและแขนขา เรียนรู้ที่จะกินอาหารได้ด้วยตนเอง เริ่มแยกแยะตัวเลขและสีต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมทั้งมีพัฒนาการด้านอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
พัฒนาการทางสังคมและอารมณ์
ชอบและสนุกกับการได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ
เล่นบทบาทสมมติที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังไม่อาจแยกระหว่างบทบาทสมมติกับเรื่องจริงได้
มักมีเพื่อนในจินตนาการ
ชอบเล่นกับเพื่อน ๆ มากกว่าเล่นคนเดียว และเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กคนอื่น ๆ
พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ตนชอบและสนใจ
อาจแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น
แสดงความต่อต้านหากถูกคาดหวังให้ทำสิ่งใดมากเกินไป
วิธีส่งเสริมพัฒนาการเด็กในวัยนี้
อ่านหนังสือนิทานไปพร้อม ๆ กับเด็ก
จัดหาพื้นที่ให้เด็กทำกิจกรรมที่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเพียงพอ
แนะนำและทำเป็นตัวอย่างให้เด็กดูว่าควรปฏิบัติตามกฎในการเล่นเกมหรือกีฬาต่าง ๆ อย่างไร
สนับสนุนให้เด็กเล่นและแบ่งปันสิ่งของกับเพื่อน
สนับสนุนการเล่นที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์
สอนให้เด็กทำกิจกรรมหรืองานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตนเอง เช่น จัดโต๊ะกินข้าว เป็นต้น
พาเด็กออกไปนอกสถานที่ใกล้ ๆ บริเวณบ้านหรือในชุมชน เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ เป็นต้น
จำกัดการดูโทรทัศน์หรือวิดีโอให้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็ก
พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
รู้คำศัพท์เพิ่มขึ้น และแต่งประโยค 4-5 คำได้ง่าย ๆ
รู้จักสีบางสี เลขบางตัว และเริ่มนับเลขได้
พูดชื่อและนามสกุลของตัวเองได้
ขี้สงสัยและถามคำถามมากมาย
อาจใช้คำที่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจดีพอ และเริ่มใช้คำไม่สุภาพหรือคำหยาบคาย
พูดเรื่องราวส่วนตัวของครอบครัวให้คนอื่นฟัง
ร้องเพลงง่าย ๆ ได้
วาดรูปคนโดยมีใบหน้าและแขนขา
พยายามทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
เข้าใจเกี่ยวกับหลักการของเวลามากขึ้น
แยกความแตกต่างระหว่างวัตถุ 2 ชนิดได้ โดยดูจากขนาดและน้ำหนัก
จำเรื่องราวต่าง ๆ ได้บางส่วน
ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้
พัฒนาการทางร่างกาย
การทรงตัวดีขึ้น กระโดดขาเดียวได้โดยไม่สูญเสียการทรงตัว
สามารถตัดกระดาษตามรูปภาพโดยใช้กรรไกรได้
อาจยังฉี่รดที่นอนอยู่
มีพัฒนาการด้านการมองเห็นที่ดีขึ้น
นอนวันละ 11-13 ชั่วโมง แต่มักไม่นอนกลางวัน
สูงขึ้นกว่าตอนแรกเกิด 2 เท่า
ข้อมูลเส่วนตัว
HN: 590010597
เกิดวันที่: 12/10/2559
อายุ: 4 ปี 11 เดือน
น้ำหนัก: 18 กิโลกรัม
ส่วนสูง: 108 เซนติเมตร
โรคประจำตัวของเด็ก: ปฏิเสธการมีโรคประจำตัว
ประวัติการแพ้ยา: ปฏิเสธการแพ้ยา
โภชนาการ
ความต้องการสารอาหารในวัยเด็กก่อนเรียน อายุ 4-6 ปี
1.พลังงาน เด็กวัยก่อนเรียนต้องการพลังงานเพื่อการเจริญเติบโตและทำกิจกรรมต่างๆ ปัญหาที่พบบ่อยคือ ได้รับอาหารที่ให้พลังงานไม่เพียงพอ ควรให้เด็กวัยนี้กินอาหารอย่างเพียงพอ เด็กอายุช่วง 4-6 ปี ควรได้วันละ 1,450 กิโลแคลอรี่ พลังงานที่ได้รับนี้ ควรมาจากคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-60ไขมันร้อยละ 25-35 และโปรตีนร้อยละ 10-15 ของพลังงานทั้งหมด การคำนวณความต้องการพลังงานเด็กวัยก่อนเรียน อาจทำได้ดังนี้ เด็กอายุหนึ่งปีเต็ม ต้องการพลังงาน 1000 กิโลแคลอรี่ เมื่ออายุ 1 ปีให้บวก 100แคลอรี่ต่อปี
2.โปรตีน ความต้องการโปรตีนเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวในเด็กสูงกว่าวัยผู้ใหญ่ ในเด็กอายุ 4-6 ปีต้องการโปรตีน 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เช่น เด็กอายุ 4 ปี จะต้องการพลังงาน =1000 + 300 = 1300 กิโลแคลอรี่
3.วิตามินและเกลือแร่ มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ถ้าขาดก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เด็กวัยนี้เป็นถ้าได้รับนม 2-3 ถ้วย ก็จะทำให้ได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสเพียงพอต่อการสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังได้วิตามินอื่นๆอีก ได้แก่ วิตามินเอ ดี บีสิบสอง บีหนึ่ง และไนอะซินด้วย
4.เหล็ก เด็กอายุ 1-6 ปี
ควรได้รับเหล็ก 10 มก.ต่อวัน การให้อาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กจึงจำเป็น อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้งและผักใบเขียว
5.แคลเซียม เด็กวัยนี้จำเป็นต้องได้รับแคลเซียม
ในปริมาตรที่เพียงพอในการเจริญเติบโต เด็กวัยนี้จำเป็นต้องได้รับแคลเซียมมากกว่าวัยผู้ใหญ่ 2-3 เท่า อาหารที่มีแคลเซียมสูงสำหรับเด็กวัยนี้ ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม แคลเซียมในนมนั้นร่างกายสามารถดูดซึมได้มากกว่าแคลเซียมในอาหารอื่น
สังกะสี มีความจำเป็นในการเจริญเติบโต การขาดสังกะสีจะมีผลให้เกิดการเจริญเติบโตล้มเหลว ความอยากอาหารลดลง เด็กวันนี้ควรได้รับสังกะสี 10 มก. ต่อวัน อาหารทีมีสังกะสีได้แก่ เนื้อสัตว์และอาหารทะเล
น้ำ เด็กต้องการน้ำ 4-6 แก้วต่อวัน หรือ 1000-1500 มล.
การเจริญเติบโต
เมื่อเทียบกับกราฟ
-น้ำหนักเทียบอายุ ตามเกณฑ์
-ส่วนสูงเทียบอายุ ตามเกณฑ์
-น้ำหนักเทียบส่วนสูง สมส่วน
การส่งเสริมภาวะโภชนาการ
การเพิ่มขนาดของร่างกายเป็นสิ่งบอกการเจริญเติบโต ร่างกายของอวัยวะต่างๆ และเนื้อเยื่อมีการเพิ่มจำนวนหรือขนาดของเซลล์ซึ่งการเจริญเติบโตขึ้นกับอิทธิพลของพันธุกรรม พฤติกรรมสิ่งแวดล้อมฮอร์โมนและองค์ประกอบด้านโภชนาการ ดังนั้นจึงต้องมีการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กในทุกด้านซึ่งต้องอาศัยความรู้ของบุคลากรทางด้านความต้องการภาวะโภชนาการของเด็กแต่ละวัย สภาพความสามารถของร่างกายที่จะรับสารอาหารในรูปแบบต่างๆ เช่น พลังงาน โปรตีนหรือวิตามินเพื่อที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้ให้ร่างกายเกิดความสมดุลอย่างสูงสุด สิ่งบอกการเจริญเติบโต คือ การเพิ่มขนาด หรือจำนวน/ของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายซึ่งขึ้นกับ พฤติกรรม สิ่งแวดล้อม ฮอร์โมนและองค์ประกอบด้านโภชนาการ
การส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอิริคสัน (Erikson) ขั้นการริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative Versus Guilt) อยู่ในช่วงอายุ 3-6 ปี เป็นขั้นพัฒนาการความคิดริเริ่ม หรือความรู้สึกผิด (Sense of VS. of Guilt) เด็กจะมีความกระตือรือร้นที่จะเรียกสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเอง เด็กมีการเลียนแบบผู้อยู่ใกล้ชิดหรือสิ่งแวดล้อมที่ตนรับรู้ เด็กเริ่มเรียนรู้และยอมรับค่านิยมของครอบครัว และสิ่งถ่ายทอดสู่เด็ก ถ้าเด็กไม่มีอิสระในการค้นหาก็จะส่งผลไป สู่ความคับข้องใจที่ไม่สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตนอยากรู้ ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจของเด็กและความรู้สึกผิดติดตัว
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Lawrence Kohlberg) ระดับเริ่มมีจริยธรรม (2-10 ปี)
มีลักษณะทำตามที่สังคมกำหนดว่าดีหรือไม่
ส่วนใหญ่จะมองผลของการกระทำว่าได้รับความเจ็บปวด
หรือความพึงพอใจ และจะทำตามกฎเกณฑ์ที่มีผู้มีอำนาจเหนือตนกำหนดไว้เป็น
ขั้นที่ 1 เด็กจะเคารพกฎเกณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
ขั้นที่ 2 ใช้หลักการแสวงหารางวัล เลือกทำแต่สิ่งที่นำความพอใจมาให้ตน เท่านั้น การมองความสัมพันธ์ของคนยังแคบ มีลักษณะการแลกกัน ถือเกณฑ์กรรมสนองกรรมอย่าตีคนอื่น เพราะเขาจะตีเราตอบ
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้จะอยู่ในช่วง 2-7 ปี ในระยะ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจได้เพียงมิติเดียว ในระยะ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด ที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวออกจากการรับรู้เพียงมิติเดียวไปสู่การรับรู้ได้ในหลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้เท่านั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น แต่ยังคิดและตัดสินผลของการกระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ขั้นความพอใจอยู่ที่อวัยวะเพศ (Phallic) พัฒนาการในขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 3-6 ปี ซึ่งเป็นระยะเกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ สนใจ อยากรู้อยากเห็น สภาพร่างกายแตกต่างไปตามเพศ เรียนรู้บทบาททางเพศของตน เลียนแบบบทบาทพ่อแม่ของตน ต้องการความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่