Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช,…
บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
การบำบัดรักษาด้านร่างกาย (Somatic therapy)
จิตเภสัชบำบัดและ
การใช้ยาอย่างสมเหตุผล
1. ยารักษาโรคจิต (Antipsychotic
drugs or Major transquilizer drugs)
ทำให้ผู้ป่วยที่กำลังวุ่นวาย สงบลงโดยไม่ง่วงซึม
Phenothiazine derivatives
มีฤทธิ์ทำให้ง่วง ระงับการอาเจียน ปากคอแห้ง และความคิดเชื่องช้า ใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยจิตเภท ข้อบ่งชี้ในการใช้ยากลุ่มนี้ 1.ผู้ป่วยจิตเภท 2.หลงผิด 3.Mania 4.ซึมเศร้าที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย 5.โรคจิตจากสมองพิการ ตัวอย่างยาที่นิยมใช้
Chlopromazine (Largactil) ระงับอาเจียนได้ ทางจิตเวชใช้ควบคุมอาการตื่นเต้น วุ่นวาย
Promazine (Sparine) มีผลดีต่อผู้ป่วยที่มีอาการ Acute agitated
Butyrophenone derivatives
ยาที่สำคัญ Haloperidol มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายฟีโนไทอะซีน ใช้ได้ผลดีในการควบคุมอาการตื่นเต้น ก้าวร้าว ประสาทหลอน หลงผิด หวาดระแวง ฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญ คือ
Extrapyramidal symptom
การพยาบาล
1) ควรดูแลให้ได้รับตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจการทำงานของตับ ปริมาณเม็ดเลือด (CBC) และตรวจวัดสายตาก่อนได้รับยาและหลัง
ได้รับยา
2) การเตรียมยาฉีดควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับยาโดยตรง
3) พยาบาลควรสังเกตในสิ่งต่อไปนี้ ได้แก่ ผลการรักษาของยา ปฏิกิริยาของยากับยาตัวอื่น ๆ ที่อาจเสริมฤทธิ์กัน อาการแสดงของการติดเชื้อ
4) ให้ความรู้กับผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวดังนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สุราและยานอนหลับเพราะจะไปเสริมฤทธิ์กัน หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลานาน และระมัดระวังในการเปลี่ยนอิริยาบถ โดยเฉพาะตอนตื่นนอน เพราะอาจเกิด
ภาวะความดันโลหิตต่ำ
(Postural hypotention)
2. ยารักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant drugs)
1) Conventional antidepressant
(1) Monoamine Oxidase inhibitors (MAOI)
ทำให้มีอารมณ์เป็นสุข สมองตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า สดชื่น
(2) Tricyclic antidepressants ทำให้มีอาการปาก
แห้ง ตาพร่า ง่วงนอน ปัสสาวะคั่ง ท้องผูก
2) Secondary generation antidepressants
Bicyclic antidepressants ใช้ในผู้ป่วยซึมเศร้าได้ผลพอๆ กับ amitriptyline อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย คือ
คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปากแห้ง ใจสั่น ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก แต่น้อยกว่ากลุ่ม TCAs
Tetracyclic antidepressants ข้อบ่งใช้คล้ายๆ กับ amitriptyline และได้ผลพอๆกัน
Serotonin Reuptake Inhibitors นำมาใช้รักษาอาการซึมเศร้า
การพยาบาล
ตรวจสอบและติดตามการมีปฏิกิริยาร่วมกับยาตัวอื่น ๆ
ของยาในกลุ่มนี
ให้คำแนะนำผู้ป่วยในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ หลีกเลี่ยงยาหรือสารต่าง ๆ ที่มาเสริมฤทธิ์และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างรุนแรง
สังเกตและบันทึกอาการข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับอารมณ์ซึมเศร้าของผู้ป่วย
และความคิดฆ่าตัวตาย
3 ยาควบคุมอารมณ์ (Mood-stabilizing drug)
ลิเทียมคาร์บอเนต (Lithium Carbonate) เป็นยาหลักที่ใช้รักษา เชื่อว่าจะไปยับยั้งการปลดปล่อย NE และ Dopamine ที่จุด Synapse และทำให้ Pre-synaptic
re-uptake ของ Neurotransmitter เพิ่มขึ้น
เป็นการปรับสมดุลของ Neurotransmitter
ข้อควรระวัง
ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีปัญหาทางหัวใจ ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองถูกทำลาย และผู้ที่ขาดน้ำอย่างรุนแรง ผู้ที่อยู่ในระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก และมารดาที่ให้นมบุตร
อาการข้างเคียง และการช่วยเหลือ
ที่ไม่เป็นอันตราย ได้แก่ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หากพบลิเธียมในกระแสเลือด 1.5-2 mEq/L จะพบอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเดิน เห็นภาพไม่ชัด สับสน มึนงง สั่นอย่างแรง เดินเซ ถ้าพบลิเธียมในกระแสเลือด 2–2.5 mEq/L จะมีอาการพิษจากลิเธียม ดังนี้ ท้องเสีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนตลอด Hyperreflex แขนขาจะมีอาการ Hyperextention ชัก
การพยาบาล
การออกฤทธิ์ของยาในการควบคุมอาการแมเนียอาจต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนจึงจะออกฤทธิ์เต็มที่
ติดตามและประเมินอาการข้างเคียง
ในระยะแรกของการได้รับยาต้องตรวจหาระดับของลิเธียมในกระแสเลือด สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
แนะนำผู้ป่วยและญาติในการปฏิบัติตัว ดังนี้ รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แนะนำให้เขียนข้อความว่า “เป็นผู้ที่ใช้ยา
ลิเธียม” ใส่กระเป๋าติดตัวไว้เสมอ
ควรให้ผู้ป่วยรับประทานยาระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารทันที
4.ยาคลายกังวล (Anxiolytic, Antianxiety drug or minor transquilizer drugs)
ข้อบ่งใช้ ใช้รักษาโรคทางจิตเวชที่มีอาการกังวล เช่น ตื่นเต้นง่าย กระวนกระวาย หอบ (Hyperventilation) หรือใช้เป็นยานอนหลับ ข้อควรระวัง ผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคไต โรคตับ ผู้ที่มีอาการซึมเศร้ามากๆ อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
อาการข้างเคียง
มีน้อย ที่พบบ่อย คือ ง่วงนอน ความคิดช้า อาจมีสับสน ตื่นเต้น วุ่นวาย ศีรษะหมุน ผื่นตามผิวหนัง และคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการเสพติดได้ถ้าใช้นาน ๆ ไม่ควรใช้คู่กับบาบิทูเรตและแอลกอฮอล์เนื่องจากกดประสาทเสริมฤทธิ์กัน กดการหายใจ
การพยาบาล
1) ควรให้ยาเฉพาะก่อนนอน
2) ในกรณีฉีดยาเข้ากล้ามให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมัดใหญ่
3) สังเกตอาการข้างเคียง และติดตามผลการรักษา
4) ยา Lorazepam (Ativan) ใช้อมใต้ลิ้นจะดูดซึมเร็วกว่าการกลืนทางปาก
5) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ ผู้ป่วยไม่ควรปรับเปลี่ยนขนาดยา รวมทั้งซื้อยามารับประทานเอง ระหว่างรับประทานยากลุ่มนี้ห้ามขับรถ
การรักษาด้วยไฟฟ้า
การรักษาทางจิตเวชโดยใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนจำกัดผ่านเข้าสมองในระยะเวลาจำกัด ทำให้เกิดอาการชักเกร็งทั้งตัว
ทำให้ความผิดปกติทางจิตบางชนิดลดลง
ข้อบ่งใช้ในการรักษา
1) ผู้ป่วยที่อาการเศร้าทุกชนิด และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
2) ผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดที่คลั่งหรือซึมเฉย
3) โรคจิตในวัยเสื่อมในระยะเศร้า
4) โรคความผิดปกติของอารมณ์ทั้งในระยะคลั่งและระยะเศร้า
5) อาการทางจิตเวชอื่นๆ ที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล
ข้อห้ามใช้
1) Brain tumor, โรคของระบบประสาท
2) ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
3) วัณโรคระยะรุนแรง
4) การติดเชื้อที่มีไข้สูง
5) ผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่แข็งแรง
ขนาดของไฟฟ้าที่ใช้
ประมาณ 70-130 โวลท์ในเวลา
0.1-0.5 วินาที (เครื่อง Sine wave) สำหรับเครื่อง B.P.S.
ใช้ไฟฟ้า 150 Milliculombs ใช้เวลากระตุ้น 2-4 วินาที
จำนวนครั้งที่ใช้
โดยทั่วไปแพทย์อาจจะสั่งทำตั้งแต่ 3-
10 ครั้ง โดยทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง วันเว้นวัน
ยกเว้นในบางกรณีแพทย์จะสั่งเป็นกรณีไป
ระดับความรุนแรงของการชัก
ระดับ 1 การชักที่หน้า คอ หรือปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่ไม่ถึงข้อมือหรือข้อเท้า
ระดับ 2 การชักที่มากขึ้น ถึงข้อมือหรือข้อเท้าแต่ไม่ถึงข้อศอกหรือเข่า
ระดับ 3 การชักที่มากขึ้นจนเห็นชัดเจนที่ศอกหรือเข่า
ระดับ 4 การชักที่ชัดเจนทั่วร่ากาย หลัง สะโพก ไหล่ ยกลอยจากพื้นเตียง
การพยาบาลหลังทำ ECT
1) จัดท่านอนหงายราบ เอียงศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง ให้การพยาบาลเหมือนการพยาบาลผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
2) สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดระวังการหยุดหายใจ
3) ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการงุนงงหลงลืมให้ได้รับความสะดวกเกี่ยวกับการหาข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว
4) ให้ผู้ป่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รับประทานอาหาร หลังจากนั้นให้ทำกิจกรรมตามตารางได้ตามปกติ ถ้ายังอ่อนเพลียมากก็ให้นอนพัก
5) ถ้าผู้ป่วยปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อน
6) ลงบันทึกเกี่ยวกับอาการก่อนทำ ขณะทำและหลังทำ ระยะเวลาชัก
อย่างละเอียด
การผูกยึดและการจำกัดพฤติกรรม
การผูกมัดและจำกัดขอบเขตผู้ป่วยยังคงมีความจำเป็นในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยและผู้อื่น พฤติกรรมที่ต้องผูกมัด หรือ จำกัดบริเวณ
ข้อบ่งชี้
1) พฤติกรรมในรูปของการทำลาย
2) พฤติกรรมสับสนวุ่นวาย
3) มีพฤติกรรมที่แสดงออกมาจากผลของความ
ขัดแย้งในใจ หรือบางทีเรียกว่า Acting out
4) พฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่สบายต่าง ๆ
5)พฤติกรรมที่ต้องยึดผู้อื่นเป็นที่พึ่งพิง
การพยาบาล
1) ทีมผู้รักษาจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ป่วยมีความสม่ำเสมอทั้งคำพูดและท่าทาง
2) ให้ความนับถือผู้ป่วยในฐานะบุคคล ๆ หนึ่ง
3) การจำกัดพฤติกรรมควรใช้คำพูดก่อน
4) ขณะที่ควบคุมผู้ป่วย พยาบาลต้องไม่พูดหรือแสดงกิริยาดูถูกว่าผู้ป่วยพูดไม่รู้เรื่อง แต่ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าการที่เราทำเช่นนี้ไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นการช่วยผู้ป่วยในการควบคุมพฤติกรรมไม่ให้เป็นอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น
5) ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ไม่ทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าถูกลงโทษ และต้องตรวจดูการไหลเวียนเป็นระยะ ๆ อาจเปลี่ยนท่าให้ผู้ป่วยทุกครึ่งชั่วโมง
การผูกมัด (Physical restrain) โดยใช้เจ้าหน้าที่ประมาณ 3-5 พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องพยายามพูดให้ผู้ป่วยสนใจ เพลิดเพลิน เมื่อผู้ป่วยเผลอเจ้าหน้าที่ 2 คน จะจับแขนผู้ป่วยไว้คนละข้าง
การใช้ยาและการจำกัดขอบเขต สำหรับรายฉุกเฉิน แพทย์อาจให้ฉีดยาเพื่อให้ผู้ป่วยสงบก่อนนำผู้ป่วยเข้าห้อง หรือให้ยาหลังจากนำผู้ป่วยเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว
การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
(Milieu therapy)
การจัดสภาพบรรยากาศเพื่อการบำบัดอย่างมี
จุดมุ่งหมายเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวชอย่างมีแบบแผน
หลักการในการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
มุ่งที่การให้ความสนใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ป่วยทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพราะหัวใจของการบำบัดแบบนี้ถือว่าทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปใน 1วัน นั้นเป็นนาทีของผู้ป่วย
องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมที่เป็นการบำบัดผู้ป่วย
3) สัมพันธภาพระหว่างบุคคลในหน่วยรักษา
2) สิ่งแวดล้อมด้านบุคคล
ผู้ให้การรักษา ที่สำคัญได้แก่ จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช
นักจิตวิทยาคลินิก นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล ผู้ช่วย ผู้ช่วยเหลือ
คนไข้ นักอาชีวะบำบัด นักนันทนาการบำบัด
1) สิ่งแวดล้อมที่เป็น
สภาพของโรงพยาบาลและหอผู้ป่วย
เงียบสงบ ร่มรื่น น่าอยู่อาศัย
ผู้ป่วยมีอิสระในการไปไหน
บทบาทของพยาบาลในการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
1) เป็นแบบอย่างที่ดี
2) เป็นตัวแทนของบุคคลในสังคมปกติ การตอบสนองต่อผู้ป่วยควรอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของสังคมทั่วไป ไม่ใช่ตอบสนองเพราะผู้ป่วยเป็นผู้ป่วย
3) เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านพฤติกรรมทางสังคม
กิจกรรมบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยจิตเวช
(Activity Therapy)
เป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งโดยใช้สิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด (Milieu Therapy) จัดให้ผู้ได้ท ากิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมให้เข้าสู่สภาพปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แนวคิดเกี่ยวข้องกับการทำงานเป็นกลุ่ม
1) ความต้องการของมนุษย์ โดยพื้นฐาน
มีความปรารถนาจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
2) บุคคลแต่ละคนมีความสามารถพิเศษ
ในตนเองและมีความแตกต่างกัน
3) การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทำให้มีการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลแต่ละคนมีผลต่อการพัฒนาทางด้านอารมณ์และสังคม
ขั้นตอนในการทำกลุ่มกิจกรรมบำบัด
แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียม ได้แก่ การเตรียมความรู้ การเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย การเตรียมอุปกรณ์ การจัดสถานที่
การวางแผนการดำเนินการกลุ่ม เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ขั้นด าเนินการ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นเปิดกลุ่ม ได้แก่ การแนะนำตนเองและแนะนำสมาชิก
ขั้นดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การดำเนินกิจกรรมเป็นขั้นตอน
ตามแผนที่วางไว้
ขั้นปิดกลุ่ม ได้แก่ การสรุปกิจกรรมและประโยชน์ที่ได้รับ
จากการทำกิจกรรม
ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปประเมินผล เป็นการประเมินปัญหา
อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการทำกลุ่มกิจกรรมบำบัด
บทบาทของพยาบาลในการจัดกิจกรรมบำบัด
1) มีความรู้และทักษะในการจัดกิจกรรมนั้นๆ
2) เป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมบำบัดตั้งแต่เริ่มต้น
จนกระทั่งสิ้นสุดกิจกรรม
3) ในระหว่างที่กำลังทำกลุ่ม ผู้นำกลุ่ม ผู้ช่วยผู้นำกลุ่มและผู้สังเกตการณ์จะต้องคอยดูแลกระตุ้นให้สมาชิก
ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างทั่วถึง
4) ให้กำลังใจและส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจในตนเอง
5) สร้างบรรยากาศในกลุ่มให้มีลักษณะของความเป็นมิตร
ยอมรับและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
6) มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย รับฟังความคิดเห็น
ของสมาชิกทุกคน
พฤติกรรมบำบัด
(Behavior Therapy)
เป็นวิธีการรักษาทางจิตเวชวิธีหนึ่งที่นำหลักการของทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) มาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จะพิจารณาปัญหา หรืออาการเจ็บป่วย
ในรูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดจากปัจจัยที่สามารถสังเกตได้
เทคนิคที่ใช้บ่อยในการรักษาผู้ป่วยจิตเวช
2) การฝึกการแสดงออกที่เหมาะสม (Assertive Training)
3) การขจัดความรู้สึกอย่างเป็นระบบ (Systemic Desensitization)
4) การเรียนรู้จากตัวแบบ (Social Modeling Technique)
5) การใช้ตัวกระตุ้นที่ไม่พึงพอใจ (Aversive Therapy)
6) การสร้างพฤติกรรมใหม่ (Behavior rehearsal)
7) การขจัดพฤติกรรม (Extinction)
1) การใช้แรงเสริมพฤติกรรม (Reinforcement) หลักการใช้แรงเสริม
บทบาทของพยาบาล
4) ให้กำลังใจผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มต้นการรักษาจนกระทั่งสิ้นสุดการรักษา
เพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจรักษาอย่างต่อเนื่อง
5) ร่วมกับผู้ป่วยประเมินผลการรักษา
3) ร่วมกับแพทย์และผู้ป่วยเลือกวิธีการรักษา
2) ช่วยสถานที่และจัดสภาพการณ์ที่เหมาะสมกับวิธีการรักษาแต่ละวิธี
1) เป็นผู้บำบัดหรือผู้ช่วยเหลือผู้บำบัด
การบำบัดรักษาทางจิตใจหรือจิตบำบัด
เพื่อแก้ไขอาการอันเกิดจากความผิดปกติด้านจิตใจ อารมณ์ หรือ
ปรับปรุงบุคลิกภาพของผู้ป่วย โดยอาศัยความสัมพันธ์ การสื่อสาร
เป้าหมายของการทำจิตบำบัด รักษาความผิดปกติทางด้านอารมณ์ ปรับปรุงและส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการพัฒนาบุคลิกภาพ แก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่อง ส่งเสริมทักษะในการแก้ไขปัญหาชีวิต
ของผู้ป่วย ประเภทของจิตบำบัด จำแนกตามจำนวนผู้ป่วย
แบ่งเป็น 3 ลักษณะ
1. จิตบำบัดรายบุคคล (Individual psychotherapy)
เป็นการรักษาที่สนใจปัญหาเฉพาะอย่างของผู้ป่วย
ได้แก่ จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
จิตบ าบัดแบบหยั่งเห็น (Insight Psychotherapy)
จิตบ าบัดแบบประคับประคอง (Supportive Psychotherapy)
การสะกดจิต (Hypnosis)
บทบาทของพยาบาลในการทำจิตบำบัดรายบุคคล
1) พยาบาลทั่วไป จะทำหน้าที่บริหารงานใน
หน่วยรักษาให้การพยาบาลตามแผนการรักษา
2) พยาบาลผู้เชี่ยวชาญทางการพยาบาลจิตเวช สามารถทำจิต
บำบัดได้ทั้งกับผู้ป่วยรายบุคคลและเป็นกลุ่ม และเป็นที่ปรึกษา
สำหรับพยาบาลทั่วไป และช่วยแพทย์ในการบำบัด
2. จิตบำบัดกลุ่ม (Group Psychotherapy)
เน้นสัมพันธภาพระหว่างบุคคลช่วยให้เกิดการเรียนรู้ความ ไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ การให้และรับความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ช่วยให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ตนเอง กลุ่มมักจะพบกัน 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ ใช้เวลาครั้งละประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง กลุ่มอาจประกอบด้วยสมาชิกที่มีปัญหาแบบเดียวกัน ขนาดของกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4-8 คน
มักไม่เกิน 12 คน
3. ครอบครัวบำบัด (Family Therapy)
สมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหาทางจิตใจ โดยมี
จุดมุ่งหมายเพื่อให้การกระทำหน้าที่ในครอบครัว
ทั่ว ๆ ไปดีขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงในสัมพันธภาพ
ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อลดปัญหาหรือความ
ไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการรักษาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของทฤษฎีที่ว่าครอบครัวเป็นตัวแทนของระบบอย่างหนึ่ง
ซึ่งพยายามที่จะคงสภาพของภาวะสมดุลเอาไว้
การบำบัดเชิงการรู้คิด
แนวคิดพื้นฐานของการบำบัดความคิดและพฤติกรรม
(Cognitive-behavioral therapy :CBT)
การบำบัดด้วย CBT เชื่อว่าความคิดที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงหรือ dysfunctional thinkingทำให้เกิดผลกระทบต่ออารมณ์ของมนุษย์ เป้าหมายเพื่อค้นพบ ที่มาของปัญหาทางอารมณ์เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหา ได้ปรับเปลี่ยนความคิดอัตโนมัติดังกล่าว การค้นหาและ ปรับเปลี่ยนความคิดอัตโนมัติสามารถทำได้ 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาความคิด อัตโนมัติทางลบ หรือความคิดที่ทำ
ให้เกิดทุกข์ซึ่งมีผลต่อ อารมณ์พฤติกรรม และสรีระ
ขั้นตอนที่ 2 การ ประเมินและตรวจสอบความคิดดังกล่าวว่าเป็น
ความจริง หรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ขั้นตอนที่ 3 การตอบสนองต่อความคิดอัตโนมัติ
ครั้งที่ 1 ในขั้นตอนแรกที่ผู้ให้การปรึกษาได้
พบกับผู้รับการปรึกษามีข้อแนะนำ
ครั้งที่ 2 มีงานในการให้การปรึกษาโดยการปรับ
ความคิดและพฤติกรรม
ครั้งที่ 3 และครั้งต่อๆ ไป มีงานในการให้การปรึกษา
โดยการปรับความคิดและพฤติกรรม โดยทบทวนการบ้าน
ที่ได้มอบหมายในครั้งที่ 2
นางสาวภาวิตา ทิพย์ญาณ
รหัสนักศึกษา 62122301062