Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5โรคและอันตรายที่เกิดจากการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัย - Coggle Diagram
บทที่ 5โรคและอันตรายที่เกิดจากการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัย
อาหารไม่ปลอดภัยและอาหารปนเปื้อน
อาหารไม่ปลอดภัย (food insecure) จัดเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่สุขภาพของผู้บริโภค พระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ. 2551กล่าวว่าอาหารที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอันตราย
1.อาหารที่มีจุลินทรีย์ก่อโรคหรือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเจือปนอยู่2.อาหารที่มีสารหรือวัตถุเจือปนอยู่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในปริมาณที่อาจเป็นเหตุให้เกิดอันตราย หรือสามารถสะสมในร่างกายที่ก่อให้เกิดโรค หรือผลกระทบต่อสุขภาพ3.อาหารที่ได้ผลิต ปรุง ประกอบ บรรจุ ขนส่ง หรือมีการเก็บรักษาไว้โดยไม่ถูกสุขลักษณะ4.อาหารที่ผลิตจากสัตว์หรือผลผลิตจากสัตว์ที่เป็นโรคอันตรายอันอาจติดต่อถึงคนได้5.อาหารที่ผลิต ปรุง ประกอบจากสัตว์และพืช หรือผลผลิตจากสัตว์และพืชที่มีสารเคมีอันตราย เภสัชเคมีภัณฑ์หรือยาปฏิชีวนะตกค้างในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ6.อาหารที่มีภาชนะบรรจุประกอบด้วยวัตถุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อาหารปนเปื้อน (contaminated food) เป็นอาหารที่มีการเจือปนของสิ่งแปลงปลอมต่างๆที่โดยปกติไม่ควรพบในอาหาร บางครั้งอาหารที่ปนเปื้อนนั้นอาจพบจุลินทรีย์ก่อโรค สารเคมีทั้งที่อนุญาตให้ใช้และไม่ให้ใช้ในอาหารปนเปื้อนอยู่แต่พบในปริมาณที่น้อยจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ถ้ามีการปนเปื้อนปริมาณมากจนเกินไปอาหารนั้นจะกลายเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัย
1.อันตรายชีวภาพ เป็นอันตรายจากจุลินทรีย์เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรีย ไวรัส รวมทั้งพยาธิ การปนเปื้อนของจุลินทรีย์เกิดจากการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการผลิตอาหารไม่สะอาดและการควบคุมกระบวนการผลิตไม่ดีพอท าให้เกิดการปนเปื้อนระหว่างกระบวนการผลิตและการขนส่ง ตลอดจนการปฏิบัติงานของผู้ผลิตอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะอันตรายจากสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร
2.อันตรายทางกายภาพ เป็นอันตรายจากสิ่งแปลกปลอมในอาหาร เช่น การปนเปื้อนเศษไม้ เศษแก้ว เศษโลหะจากวัตถุดิบ เครื่องมือ หรือการแตกหักของภาชนะตกลงสู่อาหารก่อให้เกิดอันตรายเมื่อบริโภคอาหาร
โรคและอันตรายทางชีวภาพ
อันตรายทางชีวภาพ (biological hazard) หมายถึง อันตรายที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตส่วนมากเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ พยาธิ และไวรัสโดยทางหนึ่งสามารถแพร่ผ่านโดยใช้อาหารเป็นสื่อ จึงเรียกว่า โรคที่มีอาหารเป็นสื่อน า(food borne diseases หรือ food borne illness) อาการแสดงที่ระบบทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ ท าให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง อาเจียนและมีไข้ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของจุลินทรีย์ที่ผู้ป่วยบริโภคเข้าไป
1.จุลินทรีย์ที่ท าให้อาหารเป็นสื่อน าโรคจุลินทรีย์ คือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กๆที่ปกติไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น แบคทีเรีย ราและไวรัส สาหรับจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์นั้นแบ่งออกเป็น 2ชนิด คือ จุลินทรีย์ที่ท าให้เกิดโรคและจุลินทรีย์ที่ท าให้อาหารเน่าเสีย โดยจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ที่ก่อให้เกิดโรคและอันตรายในอาหารจะเป็นแบคทีเรีย
1.คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum)จุลินทรีย์นี้พบแพร่กระจายอยู่ในอากาศตามธรรมชาติ ในดิน น้ าล าไส้ของสัตว์ต่างๆและปลา เจริญและสร้างพิษได้ดีในอาหารในสภาวะที่ไร้อากาศ เช่นในอาหารที่บรรจุกระป๋องหรือบรรจุขวดในอุตสาหกรรมครัวเรือนที่ใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อไม่เพียงพอ คลอสทริเดียม โบทูลินัมท าให้เกิด โรคโบทูลิซึม (botulism) เกิดจากการบริโภคจุลินทรีย์นี้ซึ่งเจริญเติบโตและสร้างสารพิษที่อยู่ในอาหารแล้ว
2.เอสเชอร์ริเชีย โคไล (Escherichia coli)จุลินทรีย์นี้อาศัยอยู่ในล าไส้เล็กตอนปลายและล าไส้ใหญ่ของคนและสัตว์เลือดอุ่น แพร่กระจายไปกับดินและน้า จัดเป็นแบคทีเรียนี้ใช้เป็นดัชนีชี้บ่งถึงการปนเปื้อนอุจจาระของคนหรือสัตว์ในอาหาร
3.ซาลโมเนลลา (Salmonella spp.) จุลินทรีน์นี้อยู่ในล าไส้และทางเดินอาหารของคนและสัตว์ และขับปนออกไปกับอุจจาระ การบริโภคอาหารที่ประกอบด้วยเครื่องในสัตว์ซึ่งมิได้หุงต้มหรือปรุงให้สุกมีโอกาสได้รับเชื้อนี้ หรือถ้าสัตว์ เช่น สุนัข แมว เป็ด ไก่ หนู ไปถ่ายอุจจาระไว้ในบริเวณผลิตและปรุงอาหารโอกาสปนเปื้อนเชื้อจะมีมากขึ้น
4.สแตปไฟโลคอกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) แบคทีเรียที่มีการปนเปื้อนมากในสถานที่ผลิตและจ าหน่ายอาหารที่มีการสุขาภิบาลเกี่ยวกับการจัดการสุขลักษณะส่วนบุคคลไม่ดี มักพบอาศัยอยู่ในอากาศ ผิวหนังของคน ในปาก จมูก ตา หู ใบหน้า คอ
5.วิบริโอ พาราเฮโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) จุลินทรีย์นี้เจริญได้ดีในน้ าเกลือ ไม่เจริญที่อุณหภูมิแช่เย็น ไม่ทนต่อความร้อน แต่ถูกท าลายได้โดยความร้อนในการปรุงอาหารทะเล พบมากในประเทศญี่ปุ่นและชายฝั่งทะเลของประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่นและเขตร้อน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย เจริญได้ดีในช่วงฤดูร้อน อาศัยในดินตะกอนบริเวณชายฝั่งหรือปากแม่น้ าและการปนเปื้อนจากตลาดอาหารทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง
2.ไวรัสการปนเปื้อนของไวรัสในอาหารแตกต่างจากแบคทีเรีย คือ ไวรัสจะไม่เจริญเพิ่มจ านวนจึงมักตรวจไม่พบในอาหารเพราะมีจำนวนน้อย แต่เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเจริญแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้
3.พยาธิพยาธิจัดเป็นอันตรายทางชีวภาพอีกชนิดที่ก่อโรคให้กับผู้บริโภคอาหารที่มีพยาธิ ไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิเข้าไป เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อปลาที่ยังไม่สุก หรือบริโภคอาหารจากวัตถุดิบที่จับหรือเก็บจากแหล่งน้ าที่มีพยาธิ ไข่ หรือตัวอ่อนของพยาธิอาศัยอยู่ เช่นในกุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น หรือวัตถุดิบที่ล้างด้วยน้ าที่มีพยาธิ ไข่ หรือตัวอ่อนของพยาธิปนเปื้อนอยู่และกรรมวิธีที่ใช้ในการแปรรูปอาหารนั้นไม่ได้มีการควบคุมให้ถูกต้อง
อันตรายจากสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร
อันตรายทางเคมี (chemical hazard) หมายถึงอันตรายที่เกิดจากสารเคมีที่อยู่ในธรรมชาติ สารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรและปศุสัตว์ สารพิษจากจุลินทรีย์และสารพิษที่เกิดตามธรรมชาติ อาการเป็นพิษที่เกิดจากสิ่งเป็นพิษในอาหารแบ่งได้เป็น 2ลักษณะ คือ
1.อาการพิษเฉียบพลันคือ การเกิดอาการเป็นพิษภายหลังจากการรับประทานอาหารที่มีพิษเข้าไปไม่นานนัก เรียกว่า เกิดอาการอาหารเป็นพิษ เช่น ภายใน 2 –6ชั่วโมง เกิดอาการท้องเสียอย่างแรง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจไม่ออก
2.อาการเป็นพิษเรื้อรังคือ การเกิดอาหารเป็นพิษเนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีพิษปะปนในปริมาณน้อย แต่รับประทานเป็นเวลานาน สารพิษค่อยๆสะสมภายในอวัยวะร่างกายจนกระทั่งระดับพิษที่ร่างกายสะสมไว้นั้นสูงถึงขั้นที่จะแสดงพิษออกมาให้เห็นซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน ต่อมาอาการพิษจึงแสดงออกมาให้เห็น เช่น การเกิดโรคมะเร็ง
1.อันตรายทางเคมีจากวัตถุดิบในธรรมชาติสารพิษในอาหารบางชนิดมีฤทธิ์ไม่เด่นชัดท าให้การทราบปริมาณในอาหาร สาเหตุและผลร้ายที่เกิดขึ้นได้ช้า (สุพจน์ บุญแรง, 2545) อันตรายทางเคมีของอาหารตามธรรมชาติได้แก่อันตรายจากสัตว์ที่สร้างสารพิษ สารพิษตามธรรมชาติจากสัตว์เกิดจากการที่สัตว์ได้รับสารพิษมาจากพืชประเภทสาหร่ายหรือแบคทีเรียในระบบห่วงโซ่อาหาร เมื่อสัตว์บริโภคเป็นอาหาร สารพิษก็จะสะสมเพิ่มความเข้มข้นจนก่ออาการพิษในที่สุด ตัวอย่างเช่น พิษจากปลาปักเป้า (tetrodotoxin, TTX) ท าให้ผู้ได้รับพิษชาที่ใบหน้า ชาที่ริมฝีปาก คันริมฝีปาก ปลายนิ้ว แขน ระคายในล าคอ ขา อ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง หัวใจเต้นไม่สม่ าเสมอ อึดอัด ความดันเลือดต่ าเสียชีวิตได้เพราะกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจเป็นอัมพาตอันตรายจากพืชที่สร้างสารพิษ สารองค์ประกอบจากพืชหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็งและสารเร่งมะเร็ง เช่น เผือกมีผลึกแคลเซียมออกซาเลตท าให้ผู้บริโภค
2.อันตรายทางเคมีจากสารพิษตกค้าง สารปนเปื้อนและสารปรุงแต่งอาหารอันตรายทางเคมีนั้นเกิดจากสารปนเปื้อนและสารปรุงแต่งอาหารมีหลายชนิดที่อาจปนเปื้อนไปกับวัตถุดิบอาหาร หรือสารเคมีที่ปนมาในอาหารโดยมิได้เจตนา เช่น การปนเปื้อนโลหะหนักจากสิ่งแวดล้อมติดไปกับวัตถุดิบอาหาร
2.1อันตรายจากสารพิษตกค้างทางการเกษตรการบริโภคอาหารที่มีสารพิษตกค้างในปริมาณน้อยแต่เป็นประจ านานเข้าจะสะสมเพิ่มปริมาณมากขึ้นท าให้ร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค
เกษตรกรผู้ใช้ ขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีในการใช้ยาฆ่าแมลง ใช้ในปริมาณมากเกินความจ าเป็น หรือการใช้สารพิษร่วมกันหลายชนิด2. การเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนครบก าหนดหลังจากการใช้สารเคมีท าให้สารพิษยังสลายตัวไม่หมด เกิดการตกค้างในพืชผักผลไม้3. สารพิษที่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่นในดินและน้ าเข้าไปสะสมในผักและผลไม้จึงยากแก่การกาจัดหรือลดปริมาณลง
2.2อันตรายจากสารพิษตกค้างทางปศุสัตว์ สารพิษตกค้างจากการปศุสัตว์ที่พบว่ามีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น สารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (β-agonist) หรือ สารเร่งเนื้อแดง สารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์สามารถกระตุ้นการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายได้ ดังนั้นจึงมีการน ามาใช้ผสมในอาหารให้สัตว์กินเพื่อเพิ่มเนื้อแดงและลดไขมันในกล้ามเนื้อ เพราะความนิยมของผู้บริโภคที่มักเลือกบริโภคหมูเนื้อแดงที่ไม่มีมันซึ่งเป็นการใช้สารเคมีที่ผิดวัตถุประสงค์และเป็นการทรมานสัตว์ที่ขาดเหตุผลและความจ าเป็น นอกจากนี้ถ้าสารเหล่านี้ตกค้างในเนื้อก็จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยมีอาการกล้ามเนื้อสั่น มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ กระวนกระวาย วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หนาวสั่น อาเจียนและเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงห้ามใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ
2.3อันตรายจากสารพิษปนเปื้อนจากโลหะหนัก การปนเปื้อนโลหะหนักมักปนมากับแหล่งน้ าที่ใช้เป็นส่วนประกอบในกระบวนการผลิตอาหาร หรือจากสารพิษตกค้างทางการเกษตร ตัวอย่างของโลหะหนักที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคและอันตรายในอาหาร เช่น อาหารทะเลมักมีการปนเปื้อน ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม ซึ่งมีการสะสมในร่างกายที่ตับและไต เกิดการเบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ง่วงนอน อ่อนเพลีย ซึมเซา อารมณ์แปรปรวน จิตใจไม่สงบ ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้มีอาหารทางสมอง
2.4อันตรายจากวัตถุเจือปนอาหารวัตถุเจือปนอาหาร (food additives) หมายถึง วัตถุที่ตามปกติมิได้ใช้เป็นอาหารหรือเป็นส่วนประกอบที่ส าคัญของอาหาร ไม่ว่าวัตถุนั้นจะมีคุณค่าทางอาหารหรือไม่ก็ตาม แต่ใช้เจือปนอาหารเพื่อประโยชน์ทางเทคโนโลยีการผลิต การแต่งสีอาหาร การปรุงแต่งกลิ่นรสอาหาร การบรรจุ การเก็บรักษาหรือการขนส่งซึ่งมีผลต่อคุณภาพหรือมาตรฐานหรือลักษณะของอาหาร ทั้งนี้ให้หมายความรวมถึงวัตถุที่มิได้เจือปนในอาหาร แต่มีภาชนะบรรจุเอาไว้เฉพาะแล้วใส่รวมอยู่กับอาหารเพื่อประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นด้วย เช่น วัตถุดูดออกซิเจน เป็นต้น
2.5อันตรายจากสารพิษที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปอาหารสารในอาหารสามารถเกิดขึ้นได้โดยปฏิกิริยาระหว่างส่วนประกอบของอาหารจากภายในและภายนอกที่เติมลงไปหรือปนเปื้อนโดยมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น ความร้อน แสง ออกซิเจน เช่น ไนไตรท์เป็นสารพิษจากการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาของไนเตรทซึ่งใช้กันมากในผลิตภัณฑ์เนื้อ ความเป็นพิษของไนไตรท์เกิดจากการออกซิไดส์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงท าให้ กลายเป็น สารเมทฮีโมโกลบิน (methaemoglobin) ส่งผลให้ฮีโมโกลบินไม่สามารถจับกับออกซิเจนได้ เกิดภาวะขาดออกซิเจน หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ ปวดศีรษะ
อันตรายจากสิ่งแปลกปลอมในอาหาร
อันตรายทางกายภาพ (physical hazard) หมายถึงอันตรายที่เกิดจากสิ่งปนปลอม เช่น เศษแก้ว โลหะ ไม้ กรวด หิน ก้างปลา ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารโดยไม่ตั้งใจ อันตรายทางกายภาพเป็นสิ่งที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคมากที่สุด เพราะการบาดเจ็บเกิดขึ้นทันทีทันใดภายหลังบริโภคอาหารและง่ายต่อการระบุหรือค้นหาต้นเหตุของปัญหา อันตรายทางกายภาพนี้มีผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและชื่อเสียงของโรงงานผู้ผลิตอาหารมาก
การป้องกันโรคและอันตรายจากการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัย
การป้องกันโรคและอันตรายทางชีวภาพ1.การท าความสะอาด (clean) วัตถุดิบที่จะน ามาประกอบควรท าความสะอาดอย่างถูกต้อง ล้างอุปกรณ์เครื่องครัว เครื่องจักรและสถานที่ประกอบอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องให้สะอาดเรียบร้อยภายหลังจากการใช้งาน
2.การเก็บรักษา จ าเป็นต้องเก็บรักษาวัตถุดิบควรเก็บในห้องเย็น (chill) ควบคุมอุณหภูมิให้ต่ าระหว่างรอการประกอบอาหารเช่น การเก็บอาหารประเภทเนื้อสัตว์ควรจัดเป็นสัดส่วน แยกประเภทสุก ดิบ หรือตามชนิดอาหาร
3.การแยกอาหารเป็นหมวดหมู่ (separate) แยกอาหารสดจากอาหารปรุงแล้วให้ห่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อกับสัตว์ปีก โดยใช้พื้นผิวที่ท างาน อุปกรณ์ คนละแห่ง แยกอุปกรณ์เครื่องครัว โดยเฉพาะมีดและเขียงระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก
4.หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารแบบดิบๆ หรือ กึ่งสุกกึ่งดิบ ควรใช้อุณหภูมิในการแปรรูปอาหารควรเพียงพอต่อการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ไวรัสและพยาธิที่ก่อโรค โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ให้สุกทั่วถึงทุกส่วนก่อนรับประทาน (cook)
5.ไม่เตรียมอาหารจ านวนมากและเตรียมล่วงหน้าเป็นเวลานานเกินไปและไม่เก็บอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกินไปควรเก็บอาหารไว้ในตู้เย็น และป้องกันไม่ให้อาหารที่ปรุงสุกแล้วถูกปนเปื้อนกลับ
6.สุขลักษณะส่วนบุคคล พนักงานที่สัมผัสอาหารควรสวมถุงมือให้เรียบร้อย กรณีที่มือเป็นบาดแผลต้องให้ปิดพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้ประกอบการโดยให้ล้างมือก่อนและหลังการสัมผัสกับอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสดและสัตว์ปีก ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ าน้ าที่ใช้ล้างอาหารควรเติมคลอรีน
7.การก าจัดของเสีย ควรจัดระบบการก าจัดของเสียและขยะที่ดีและเหมาะสม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและแพร่กระจายของจุลินทรีย์ มีการสุขาภิบาลส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
การป้องกันอันตรายทางเคมีในอาหาร
1.ไม่บริโภคพืชหรือเห็ดที่ไม่เคยบริโภคมาก่อน2.คัดเลือกวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร เช่น การซื้ออาหารแห้ง ถั่วลิสง พริกแห้ง ข้าวโพด หอมแดง กระเทียม ที่ใหม่ๆ ไม่ขึ้นรา โดยการสังเกตลักษณะของราจะมีสีเขียว สีเขียวอมเหลือง สีด าสีขาว ดมวัตถุดิบดูต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับหรือกลิ่นเหม็นหืน ไม่ถูกแมลงสัตว์กัดแทะ ถ้ามีลักษณะดังกล่าวไม่ควรรับซื้อ3.ซื้อวัตถุดิบอาหารให้พอเหมาะในแต่ละครั้งและควรเก็บวัตถุดิบไว้ในที่แห้ง4.ควรเลือกซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร5.ควบคุมการใช้วัตถุเจือปนอาหารตามกฎหมายอาหาร
การป้องกันอันตรายทางกายภาพในอาหาร
1.ผู้ผลิตอาหารต้องให้ความระมัดระวัง ป้องกันอันตรายทางกายภาพที่อาจปนเปื้อนในอาหาร เช่น การครอบหลอดไฟ การบ ารุงรักษาเครื่องมือ เครื่องใช้ในการประกอบอาหารให้ใช้งานได้อย่างปกติ2.ผู้บริโภคที่พบอันตรายทางกายภาพให้หยุดรับประทานแล้วรายงานข้อมูลให้กับส านักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสาธารณสุขจังหวัดให้ทราบโดยเก็บตัวอย่างอาหารและฉลากเพื่อให้ในการอ้างอิงและตรวจสอบ