"นายถุงชา"

  1. ระบุลักษณะอาการความผิดปกติ / ปัญหาทางจิตของกรณีศึกษา

1.ข้อมูลของผู้ป่วย และสาเหตุที่สัมพันธ์กับปัญหาเรื่องโรคและการบำบัดรักษา

  1. สมมติฐาน ที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา และบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิตในโจทย์สถานการณ์

ข้อมูลส่วนบุคคล

ชื่อผู้ป่วย นายถุงชา อายุ 45 ปี เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ

ระดับการศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น (ม. 3) อาชีพ รับจ้างทั่วไป

รายได้ 1,000-3,000 บาท / เดือน (ไม่แน่นอน)

วินิจฉัยโรคแรกรับ Schizophrenia with aggressive behavior

วินิจฉัยโรคปัจจุบัน Schizophrenia

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพของผู้รับบริการ

20 ปีก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการใจสั่น หงุดหงิดง่าย คิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช เดินแก้ผ้าในค่ายทหาร ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลค่ายนเรศวร

18 ปีก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการใจสั่น หงุดหงิด โมโหง่าย เดินร้องเพลงคนเดียว ไม่อาบน้ำ เก็บตัวคนเดียว บางครั้งจำชื่อตนเองไม่ได้ รับการรักษาที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ วินิจฉัยโรค Schizophrenia

16 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์ เป็นแผลถลอกที่หัวเข่า นอนไม่หลับ หงุดหงิดพูดมาก เดินไปทั่ว ท้าตีท้าต่อยกับแพทย์ จะไปขอใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ป่วยทางจิตเวช

15 ปีก่อนมาโรงพยาบาล รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ทำร้ายมารดา วุ่นวาย น้ำลายไหล พูดไม่ชัด เดินไม่มีแรง ใจคอไม่ดี ปฏิเสธหูแว่วภาพหลอน ญาติจึงไปไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ผู้ ป่วยมีอาการวุ่นวานจะชกต่อยแพทย์ ไม่ยอมนอน แพทย์จึงส่งต่อมารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์

14 ปีก่อนมาโรงพยาบาล พี่ชายให้ประวัติว่าทำร้ายร่างกายแม่ค้าในตลาดเห็นแม่ค้าเป็นทหารพม่า และคิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม่ค้าแจ้งความให้ตำรวจจับ แต่ตำรวจปล่อยตัวไปรักษาญาติจึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ รับยาไม่ต่อเนื่อง รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ พูดเรื่อยเปื่อย อาการเป็น ๆ หาย ๆ แพทย์จึงส่งต่อโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์

8 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยวุ่นวายเป็นพัก ๆ มีอาการก้าวร้าว พี่ชายให้ประวัติว่าผู้ป่วยใช้ขวาน ทำร้ายคนในตลาด เตะมารดา ผู้ป่วยถามตอบรู้เรื่อง แพทย์จึงส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์

4 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีอาการหงุดหงิด มีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายมารดา เคยเข้ารับการรักษา 3 ครั้ง หลังจากมีอาการกำเริบ รับยา ใกล้บ้าน

1 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล คิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่อาบน้ำ แยกตัวมีอาการหงุดหงิดง่าย ทำร้ายมารดาด้วยการชกต่อย เพราะขอเงินไปซื้อของแล้วไม่ได้

2 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล ญาติให้ประวัติว่าผู้ป่วยดื่มสุราทุกวัน ไม่ใช้สารเสพติดชนิดอื่น ๆ เดินไปเดินมาวุ่นวาย ไม่อาบน้ำ แยกตัว และบอกว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต (Past history: PH) : ปฏิเสธการเจ็บป่วยในอดีตและการผ่าตัด

ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว

บิดาเป็นโรคจิตเภท

รักษาต่อเนื่องที่รพ.จิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์

การรักษาในปัจจุบัน

Haloperidol decanoate 50 mg. IM q 2 weeks

Depakine CR (500) 1 tab x 2 O เช้า, h.s.

Haloperidol 5 mg. IM p.r.n. for agitation 96 hrs.

Chlorpromazine (25) 1 tab O h.s.

Lorazepam (2) 1 tab O p.r.n.

Clozapine (100) 1.5 tab O h.s.

Benzhexol 5 1 tab O h.s.

กลุ่มยา ยาต้านพาร์กินสัน

สรรพคุณ เป็นยาสำหรับรักษาโรคพาร์กินสัน รักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาบางชนิด

กลุ่มยา เบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine)

สรรพคุณ เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรควิตกกังวลหรือผู้ที่มีความวิตกกังวลจากระดับสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุลกัน และยังมีผลทางการรักษาอาการอื่น อย่างอาการนอน

กลุ่มยา ยาระงับอาการทางจิต

สรรพคุณ รักษาอาการทางจิต
ผลข้างเคียง การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เจ็บหน้าอก สับสน ปัสสาวะน้อยมีสีเข็ม

กลุ่มยา ยาระงับอาการทางจิต

สรรพคุณ รักษาอาการทางจิต
ผลข้างเคียง การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เจ็บหน้าอก สับสน ปัสสาวะน้อยมีสีเข็ม

กลุ่มยา ยากันชัก

สรรพคุณ เป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการโรคลมชัก รักษาความผิดปกติทางอารมณ์อย่างภาวะ (Mania) ในผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ และป้องกันอาการปวดหัว ไมเกรน

กลุ่มยา ฟีโนไทอาซีน
(Phenothiazine)

สรรพคุณ นำมาใช้รักษา ความผิดปกติของจิตใจ อารมณ์ และสภาวะอื่น ๆ เช่น กลุ่มโรคจิตเภทหรือโรคจิต ซึ่งเป็นความผิดปกติทางด้านจิตใจที่ส่งผลกระทบต่อความคิด ความรู้สึก อาการประสาทหลอน อาการก้าวร้าว และอาการหลงผิด

ลักษณะอาการทางความผิดปกติ

กลุ่มอาการด้านลบ

กลุ่มอาการด้านบวก

ผู้ป่วยอาจมีปัญหาด้านการแสดงออกทางอารมณ์พฤติกรรม และความสามารถ เคลื่อนไหวน้อยและไม่ค่อยทำอะไร ปลีกตัวออกจากสังคม มีปัญหาใน การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่อาบน้ำ น้ำลายไหล เก็บตัวคนเดียว ไม่นอนหลับ

แสดงออกในด้านความผิดปกติของความคิดการรับรู้การติดต่อ สื่อสาร และพฤติกรรม

อาการหลงผิด (Delusion) คือ การมีความคิดความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การหลงผิดคิดว่ามีคนจะมาทำร้าย เนื่องจากผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของ พระนเรศวร

สาเหตุของปัญหา

บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิต

ไปรับยาไม่ต่อเนื่อง รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ มีอาการเป็นๆ หาย ๆ

2 สัปดาห์ ก่อนมาโรงพยาบาล ญาติให้ประวัติว่าผู้ป่วยดื่มสุราทุกวัน ไม่ใช้สารเสพติดชนิดอื่น ๆ เดินไป เดินมาวุ่นวาย ไม่อาบน้ำ แยกตัว บอกว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

หงุดหงิดง่าย มีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายร่างกายมารดาด้วยการชกต่อย เพราะขอเงินไปซื้อของแล้วไม่ได้

ทำร้ายร่างกายแม่ค้าในตลาดเห็นแม่ค้าเป็นทหารพม่า และคิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช

ท้าตีท้าต่อยกับแพทย์ จะไปขอใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ป่วยทางจิตเวช

5.การวางแผนการพยาบาลแบบองค์รวมในการแก้ไขปัญหาในผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มีความผิดปกติของความคิดและการรับรู้

สรุปความเบี่ยงเบนจากปกติที่พบในแบบแผนสุขภาพ

แบบแผนที่ 7 พบความเบี่ยงเบนจากปกติ เนื่องจากผู้ป่วยไม่ยอมรับว่าตนเองป่วยทางจิต

แบบแผนที่ 6 พบความเบี่ยงเบนจากปกติ เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการหลงผิด

แบบแผนที่ 8 พบความเบี่ยงเบนจากปกติ เนื่องจากผู้ป่วยมีพฤติกรรมการแยกตัวและไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมารดา

แบบแผนที่ 2 พบความเบี่ยงเบนจากปกติ เนื่องจากผู้ป่วยมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมและมีการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย

เรียงลำดับข้อวินิจฉัยการพยาบาลตามลำดับ

ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 บกพร่องในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัว

ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีความบกพร่องในการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจความต้องการของตน เนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัวจากผู้อื่น

ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและผู้อื่น เนื่องจากมีความคิดหลงผิด

ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำของโรค เนื่องจากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่องและปฏิเสธการเจ็บป่วย

ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำของโรค เนื่องจากผู้ป่วยดื่มสุรา

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม

เกณฑ์การประเมินผล

ผู้ป่วยพูดคุยกับผู้อื่นมากขึ้นจากเดิม

ผู้ป่วยไม่แยกตัว

กิจกรรมการพยาบาล

1.ดูแลสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดกับผู้ป่วย โดยการทักทาย เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับสาเหตุของความบกพร่องในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น พร้อมยอมรับและรับฟังด้วยท่าทีเป็นมิตร เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ

2.ดูแลให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมกลุ่มบำบัด เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พูดคุย แสดงความคิดเห็นกับบุคคลอื่นเพิ่มขึ้น

3.ให้ข้อมูลถึงผลดีและประโยชน์ของการมีปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลอื่น เพื่อให้ผู้ป่วยทราบและตระหนักถึงผลดี และมีแรงจูงใจในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น

4.สอนทักษะการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น เช่น การทักทาย การยิ้ม การสบตา วิธีการเริ่มต้น การสนทนา การขอบคุณ การขอโทษ เพื่อให้ผู้ป่วยมีทักษะในการเริ่มต้นสร้างสัมพันธภาพกับ บุคคลอื่น

5.กระตุ้นและส่งเสริมการมีสัมพันธภาพของผู้ป่วยกับบุคคลอื่น

6.ให้คำชมเชยและให้กำลังใจ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยในการมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นต่อไป

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้ป่วยสื่อสารด้วยภาษาพูดที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจและลดพฤติกรรมแยกตัว

เกณฑ์การประเมินผล

ผู้ป่วยสามารถสื่อสารด้วยภาษาพูดที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ

ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมแยกตัว

กิจกรรมการพยาบาล

1.พยาบาลควรประเมินลักษณะการสื่อสารของผู้ป่วยว่ามีความพกพร่องอย่างไร เช่น พูดหลายเรื่อง ผสมกันจนคนฟังไม่เข้าใจ หรือไม่พูดเพราะอาการทางจิตต่าง ๆ

2.พยาบาลสร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ จัดเวลาเข้าไปพบและพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยพูด หรือผู้ป่วยไม่โต้ตอบเพราะ จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับและยังเป็นที่ต้องการของผู้อื่นพยาบาลควรสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างชัดเจน เช่น สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยประโยคสั้น ๆ เข้าใจง่ายเรียกชื่อผู้ป่วยให้ถูกต้อง

3.พยาบาลต้องนำเทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดมาใช้ เช่น ในกรณีที่พูดหลายเรื่องพยาบาลควรให้ผู้ป่วยหยุดพูดเป็นครั้งคราว และกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้อธิบายสิ่งที่เขาได้พูดไป กรณีผู้ป่วยไม่พูดหรือไม่โต้ตอบ พยาบาลควรใช้การตีความหรือการคาดเดาจากภาษาท่าทาง (non-verbal) ของผู้ป่วยและกระตุ้นผู้ป่วย โดยการวิเคราะห์ความรู้สึกขอผู้ป่วย (verbalizing the implied) เช่น คุณกังวลใจเมื่อใกล้จะถึงเวลาที่แม่จะกลับบ้าน

4.เมื่อสัมพันธภาพดำเนินมาสักระยะ พยาบาลควรชักชวนผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งกิจกรรมระยะแรกควรเป็นกิจกรรมที่ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว และมีสมาชิกกลุ่มไม่มากเกินไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยสื่อสารมากขึ้น เช่น จัดกิจกรรมสร้างความคุ้นเคย มีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กัน มีกิจกรรมการแนะนำตนเองให้ผู้อื่นรู้จัก พยาบาลควรร่วมกิจกรรมกลุ่มพร้อมกับผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอบอุ่นสบายใจเมื่อเห็นคนที่คุ้นเคย

5.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยกระตุ้นให้ ผู้ป่วยทำกิจกรรมกับสมาชิกอื่นที่ผู้ป่วยพอใจและพยาบาลควรให้กำลังใจ หรือแรงเสริม เมื่อเห็นผู้ป่วยร่วมในกิจกรรม

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยให้มีความคิดอยู่ในความเป็นจริงและป้องกันไม่ให้ผลของความคิดหลงผิดเกิดเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่น

เกณฑ์การประเมินผล

ผู้ป่วยไม่มีอาการหลงผิด

ผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น

กิจกรรมการพยาบาล

1.พยาบาลต้องประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย เช่น คิดว่าตนเองเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พยาบาลจึงควรระมัดระวังในประเด็นนี้

2.พยาบาลต้องตระหนักว่า ความคิดของผู้ป่วยเป็นความคิดที่ยึดแน่นและผู้ป่วยเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น

3.พยาบาลต้องยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง หรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้นไม่จริง และพยาบาลไม่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ป่วยเชื่อ และไม่ควรนำคำพูดของผู้ป่วยไปพูดล้อเล่น

4.พยาบาลต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ป่วยถึงความคิดงเขาได้อย่างอิสระ และเพื่อได้รับฟังความคิดของผู้ป่วย

5.สำหรับผู้ป่วยที่มีความคิดหลงผิดแบบระแวงพยาบาลควรปฏิบัติดังนี้

5.1 พยาบาลต้องไม่ทำให้ผู้ป่วยสงสัยในพฤติกรรมของพยาบาลเพราะผู้ป่วยจะระมัดระวังตัว

5.2 การเข้าไปสนทนากับผู้ป่วยต้องแนะนำตัวและบอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน

5.3 การปฏิบัติต่อผู้ป่วยต้องคงเส้นคงวาเมื่อมีข้อตกลงต่อกันแล้วจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง

5.4 หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วยและไม่ควรใช้ภาษาหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความสงสัยหรือ ตีความได้ไม่ชัดเจน

วัตถุประสงค์

เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นซ้ำ

เกณฑ์การประเมินผล

ผู้ป่วยมาตามแพทย์นัด

ผู้ป่วยรับยาอย่างต่อเนื่อง

ผู้ป่วยไม่มีอาการกำเริบหรือกลับไปเป็นซ้ำ

กิจกรรมการพยาบาล

1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจพูดคุยและให้การเสริมแรงทางบวกเกี่ยวกับการรับประทานยา

2.ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการของโรคไม่สงบ ญาติต้องเป็นบุคคลที่ให้ผู้ป่วยรับประทานยา

ดูแลให้รับประทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ ไม่ควรลดหรือเพิ่มยา หรือหยุดรับประทานยาเอง โดยต้องให้ผู้ป่วยกลืนยาต่อหน้า ตรวจเช็คยาในช่องปากของผู้ป่วยทุกครั้งหลังรับประทานยา และเฝ้าระวังการทิ้งยา หรือการล้วงคออาเจียนหลังรับประทานยา

หากผู้ป่วยไม่ร่วมมือรับประทานยา ให้ถามถึงสาเหตุของการไม่รับประทานยา บอกถึงผลดีของยาที่มีต่อผู้ป่วยด้วยเสียงเป็นมิตร นุ่มนวล หากผู้ป่วยยังไม่ยอมรับประทานยา ให้ญาติ โทรปรึกษาแพทย์และพาผู้ป่วยมาพบแพทย์

3.ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็นแก่ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงความรู้เรื่องการรับประทานยา คือ รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ห้ามปรับหรือลดยาเอง

4.เสนอแนะให้ครอบครัวสอบถามและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้ดี

5.เสนอแนะผู้ดูแลเกี่ยวกับการจัดยาใส่ กล่องยาเพื่อเตรียมไว้สำหรับแต่ละมื้อของวัน และการวางไว้ในที่ที่สามารถเตือนความจำได้ เพื่อป้องกันการลืมกินยา

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดื่มสุราลดลงเกณฑ์

การประเมินผล

ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดื่มสุราลดลงหรือไม่ดื่มสุรา

กิจกรรมการพยาบาล

1.ประเมินอาการการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดสุรา ทัศนคติต่อการใช้สุรา ความเชื่อ แรงจูงใจ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มสุราของผู้ป่วย ทัศนคติของญาติต่อการดูแลผู้ป่วย

2.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานยาโรคจิตเภทตามแผนการรักษาของแพทย์

3.ให้ความรู้เรื่องการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ที่ผู้ป่วยได้รับเกี่ยวกับโทษผลกระทบต่อร่างกายจิตใจเน้นให้ผู้ป่วยตระหนักถึงปัญหาการยอมรับและเข้าใจตนเอง

4.อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงความสำคัญของการบำบัดทางจิตสังคมเพื่อช่วยปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมผู้ป่วยในการลดละเลิกสุราป้องกันการกลับไปเสพโดยช่วยให้ผู้ป่วยมีวิธีการที่เหมาะสมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะเลิกสุรามีพฤติกรรมเหมาะสมในการแก้ไขปัญหา

แบบแผนที่ 1 พบความเบี่ยงเบนจากปกติ เนื่องจากผู้ป่วยขาดความตระหนักและความรู้ในการดูแลตัวเอง