Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Premature uterine contraction with chronic hypertension R/O Pregnancy…

- - - - การเจ็บครรภ์คลอดที่เกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ก่อน 37 สัปดาห์
        โดยมีการหดตัวของมดลูกอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 4 ครั้ง ใน 20 นาที หรือ 8 ครั้ง ใน 60 นาที
        ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกชัดเจน โดยปากมดลูกเปิดอย่างน้อย 2 ซม. หรือปากมดลูกบางตัวตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป
        
        หญิงตั้งครรภ์ G2P1001 last Para 16 ปี GA 32+1wk ประเมิน UC: I 2-3 นาที D 30-40 วินาที Intensity Moderate
    - - ภาวะเจ็บครรภ์คลอดที่เกิดขึ้นก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ โดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 10 นาที. ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก 🟢
        
        UC I 6 min D 40 sec PV 1 cm eff25% MI 0
  - - - ประวัติการเจ็บป่วย หญิงตั้งครรภ์ มีประวัติเดิมเป็น chronic hypertension ประมาณ 3 ปี ก่อนการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ รับการรักษาที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน
        รับการรักษาไม่ต่อเนื่อง loss F/U 8 เดือน (จำชื่อยาที่รับประทานไม่ได้) :check:
      - CHT ทำให้เกิดการหดเกร็งหลอดเลือด (Vasospasm)จึงเกิดแรงต้านในการไหลเวียนเลือดเพิ่มมากขึ้น ,
        นอกจากนี้ยังพบ angiotensin II ที่กระตุ้นให้หลอดเลือดหดรัดตัว ส่งผลให้ endothelial cell มีการหดรัดตัว จึงทำให้ endothelia ถูกทำลายจนกระทั่งเกล็ดเลือดและ fibrinogen ถูกทำลายจนมีจำนวนลดน้อยลง พลาสมารั่วออกนอกเส้นเลือดมากขึ้น จึงทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด
        ในหญิงตั้งครรภ์จึงส่งผลให้เกิดการหดเกร็งของหลอดเลือดส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรกน้อยลงจึงเกิดภาวะที่เลือดไปเลี้ยงมดลูก/รกไม่เพียงพอ (uteroplacental insufficiency)
  - - - เมื่อเข้าสู่ระยะคลอดพบว่าฮอร์โมนprogesterone มีระดับลดลง แต่ฮอร์โมน estrogen มีระดับเพิ่มมากขึ้น ทําให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูก
    - - ปกติเยื่อหุ้มเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกมีตัวรับ oxytocin (oxytocinreceptor) ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น
    - - ในระยะใกลคลอดส่วนประกอบที่สำคัญของปากมดลูก คือ collagen fibersจะถูกย่อยสลายสารเดอร(มาแทน(dermatan) และคอนโดรทีน(chondroitin) ซึ่งเป็นสารจำพวกกัลย์โคสมิโนกัลย์แคน(glycosaminoglycans) ในปากมดทำให้ปากมดลูกถูกอุ้มน้ำเป็นจำนวนมาก มีผลให้ปากมดลูกนุ่มยืดขยายได้ง่าย
    - - ออกฤทธิ์ให้มดลูกหดรัดตัว กระตุ้นการสร้างการเชื่อมต่อกันของเซลล์กล้ามเนื้อและส่งเสริมการออกฤทธิ์ของ oxytocin
      - มีสารกระตุ้นการอักเสบ ชนิด MPC ในปากมดลูกและกล้ามเนื้อมดลูก
    - - จากการกระตุ้นของฮอร์โมน progesterone, estrogen และการยืดขยายของมดลูก เนื่องจากอายุครรภ์มากขึ้น กระตุ้นการสร้างฮอร์โมน Oxytocin ทําให้มดลูกหดรัดตัว
    - - การหดตัวของมดลูก เกิดจากการการผ่านเข้าเซลล์ของแคลเซียม
      - การคลายตัวของกล้ามเนื้อมดลูกเกิดจากการผ่านออกเซลล์ของโพแทสเซียม
  - - - คลําดูการหดรัดตัวของมดลูก (uterine contraction) และการเปิดของปากมดลูก
        
        การหดรัดตัวของมดลูกอย่างสม่ําเสมอห่างกันอย่างน้อย 5-8 นาที
        
        Uterine contraction :Interval 2-3 นาที Duration 30-40 วินาที Intensity Modurate :check:
        
        การตรวจพบอาการแสดงต่อไปนี้ร่วมด้วยอย่างน้อย 1 อย่าง คือ 1) ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
        2)ปากมดลูกเปิดขยายเท่ากับ หรือมากกว่า 2 เซนติเมตร
        3) ปากมดลูกมีการบางตัวมากกว่าร้อยละ 80
        
        PV exam: Cx. dilatation 1 cm. eff 25% MI st-1 :red_cross:
    - - การใช้เครื่องมือตรวจการหดรัดตัวของมดลูก (tocodynamometry)
        
        เพื่อประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
        
        : :check:
      - การตรวจ Fetal fibronectin
        
        ซึ่งเป็น glycoprotein ชนิดหนึ่งสามารถพบได้ในสารคัดหลั่งที่ปากมดลูกหรือในช่องทางคลอด
        ถ้าเข้าสู่ระยะใกล้คลอดสารนี้จะมีการสลายตัว chorion จะแยกชั้นจากdecidua ส่งผลให้ตรวจพบ ผลบวก
        ดังนั้นหากตรวจพบผลบวกแสดงว่าผู้คลอดมีโอกาสเกิดการคลอดสูง
      - การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography)
        
        ด้วยการประเมินความยาวของปากมดลูก (vaginal cervical length: CL) การวัดความยาวของปากมดลูก ถือเป็นการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด
        
        อายุครรภ์22-24 สัปดาห์ ตรวจพบความยาวของปากมดลูกน้อยกว่า 25 มิลลิเมตรที่สตรีตั้งครรภ์จะได้รับการวินิจฉัยว่า มีภาวะปากมดลูกสั้น (short cervix) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกําหนดมากขึ้น
        
        อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ร่วมกับมีอาการเจ็บครรภ์และมีความยาวปาดมดลูกได้น้อยกว่า20 มิลลิเมตร ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะคลอดภายใน 7 วัน แต่หากวัดความยาวปากมดลูกได้มากกว่า 30มิลลิเมตร ถือว่ามีความเสี่ยงต่ําที่จะคลอดภายใน 7 วัน
    - - อาการเจ็บครรภ์ถี่ขึ้น การหดรัดตัวของมดลูกสม่ำเสมอ อาการปวดเอว ปวดหลัง ปวดหน่วงลงช่องคลอด หรือมีมูกเลือดร่วมด้วย
        
        5ชม. ก่อนมารพ. มีอาการเจ็บครรภ์ ท้องแข็ง ไม่มีน้ำเดิน ไม่มีมูกเลือด :check:
  - - - การใช้ยาโปรเจสเตอโรน (progesterone)
        
        เพื่อช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกําหนดโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบรัดตัวของมดลูก และมีความจําเป็นสําหรับการตั้งครรภ์และช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด ไม่มีผลต่อทารกในครรภ์และในระยะหลังคลอด
        
        การบริหารยา
        
        รูปแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
        
        Hydroxyprogesterone caproate ขนาด 250 มิลลิกรัม
        
        ผลข้างเคียง: อาจมีอาการระคายเคือง หรือลักษณะแดงบริเวณที่ฉีดยา
        
        รูปแบบรับประทาน
        
        Hydroxyprogesterone caproate ขนาด 250 มิลลิกรัม
        
        รูปแบบเหน็บช่องคลอด
        
        Hydroxyprogesterone caproate ขนาด 250 มิลลิกรัม vaginal suppo OD จนกระทั่งอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ ร่วมกับการวัดความ
        ยาวของปากมดลูก ทุก 2 สัปดาห์
        
        ผลข้างเคียง: ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
      - การเย็บผูกปากมดลูก (cervicalcerclage)
        
        รักษาภาวะปากมดลูกหลวมซึ่งเป็นหัตถการที่เพิ่มความแข็งแรง ให้กับปากมดลูก ในกรณีสตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติคลอด ก่อนกําหนดร่วมกับการตรวจพบความยาวของปากมดลูกน้อยกว่า 25 มิลลิเมตรในการตั้งครรภ์ครั้งนี้
        
        ตั้งแต่อายุครรภ์16-24 สัปดาห์ จะวัดความยาวปากมดลูก ทุก 2 สัปดาห์ตรวจพบว่าปากมดลูกสั้นกว่า 25 มิลลิเมตร สูติแพทย์ จะพิจารณาให้สตรีตั้งครรภ์ทําการเย็บผูกปากมดลูกร่วมกับการได้รับยาโปรเจสเตอโรนในรูปแบบของยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเปลี่ยนเป็นยาเหน็บทางช่องคลอดจนกระทั่งอายุครรภ์36 สัปดาห์
        
        และถ้าตรวจพบความยาวของปากมดลูกอยู่ระหว่าง 25–29 มิลลิเมตร ACOG แนะนําให้สูติแพทย์ทําการวัดความยาวของปากมดลูกทุก 2 สัปดาห์
    - - การดูแลแบบประคับประคอง
        
        ลดกิจกรรมต่างๆ ลง
        
        ให้นอนพักอาจทําให้การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนดมีแนวโน้มดีขึ้นและหายไปเอง
      - การดูแลให้ได้รับยา
        
        ยากระตุ้นความสมบูรณ์ของปอดทารก
        
        betamethasone 12 mg
        
        อาการข้างเคียง
        
        หัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ
        
        หายใจไม่อิ่ม น้ําหนักตัวเพิ่มหรือแขนขาบวม
        
        อาการแพ้ เช่น มีผื่นแดง บวมคัน เป็นลมพิษ ตุ่มพอง ผิวหนังลอก ซึ่งอาจปรากฏร่วมกับอาการมีไข้ แน่นหน้าอก แน่นคอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจลําบาก พูดลําบาก เสียงแหบผิดปกติ บวมบริเวณปาก ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้าและลําคอ
        
        การบริหารยา
        
        ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 24 ชม.
        
        dexamethasone 6 mg :check:
        
        การบริหารยา
        
        ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทุก 12 ชั่วโมงจํานวน 4 ครั้ง
        
        อาการข้างเคียง
        
        คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องอืด
        
        นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน
        
        ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ รู้สึกว่าตนเองหรือสิ่งแวดล้อมหมุน
        
        ยาปฏิชีวนะ
        
        ไม่สามรถยับยั้งการคลอดได้ แต่ให้เเพื่อป้องกันการติดเชื้อGroup B streptococci carrierในรายที่มีการติดเชื้อ
        
        Ampicilin 2 g v q 6 ้hr
        
        ยากลุ่มยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก : :check:
        
        Terbutaline (Bricanyl R)
        
        Contraindication
        
        โรคหัวใจ ธัยรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ความดันโลหิตสูง/ต่ำมาก โรคหอบหืดที่รักษาด้วยยาชนิดอื่นและโรคตับชนิดรุนแรง
        
        Action
        
        กระตุ้น Beta 1 receptor ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ไม่เป็นจังหวะ เพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทำให้กรดแลคติกคั่ง กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว หลอดลมขยาย ความดันโลหิตลดลง
        
        Tocolytic drug
        
        ฺBricanyl 4 amp in 0.9%NSS 100 ml เริ่ม 10 cc/hr ปรับเพิ่มครั้งละ 10 cc/hr q 30 min (max 75 cc/hr)
        คงอัตราที่ไม่มี UC อย่างน้อย 6 ชม. แล้วปรับลดครั้งละ 10 cc/hr (ไม่ควรให้นาน 48-72 ชม.)
        switch ฺBricanyl 1/2 amp SC q 4hr x 6 dose
        
        Maternal, Fetal & newborn adverse effects
        
        มารดา
        
        อาการใจสั่น (keep PR 120/min) คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เจ็บอก หายใจตื้น
        
        อาจมี Pulmonary edema ในรายที่ได้ IV มากเกินไป
        
        FHS เร็วขี้น
        
        ควรหยุดใช้ยาทันกรณีเมื่อพบภาวะผิดปกติดังนี้
        
        4 more items...
        
        ทารก
        
        เกิดภาวะ Fetal Distress
        
        Nifedipine (adalat) :check:
        
        การบริหารยา
        
        Loading dose ; Nefidipine (20) 1 tab oral q 30 min
        
        Maintenance dose: Nefidipine (20) 1 tab oral q 6 hr
        
        Contraindication
        
        โรคหัวใจ โรคไต ภาวะความดันโลหิตต่ำ (90/60mmHg) ห้ามใช้ร่วมกับ MgSO4
        
        Tocolytic drug
        
        ยับยั้งแคลเซียมเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว ยืดระยะเวลาได้ 48 ชม. ถึง 7 วัน
        
        Maternal, Fetal & newborn adverse effects
        
        มารดา
        
        มีผื่นแดง ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจดียน มีภาวะความดันโลหิตต่ำ
        
        ทารก
        
        การไหลเวียนเลือดบริเวณมดลูกและรกลดลง เกิดภาวะ Fetal distress
        
        Magnesium sulfate :check:
        
        Contraindication
        
        โรค myasthenia gravis กดศูนย์หายใจ
        
        Tocolytic drug
        
        ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อลายทำให้มดลูกคลายตัว ยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกได้ไม่เกิน 48 ชม.
        
        การบริหารยา
        
        10%MgSO4 4-6 g. (40-60 ml) + 5% D/W 100 ml IV slowly push in 15-30 min.
        
        50%MgSO4 IV drip 2 g/hr ** ปรับลดขนาดตาม UC
        
        Maternal, Fetal & newborn adverse effects
        
        มารดา
        
        ร้อนวูบวาบ กดศูนย์หายใจ กล้ามเนื้อออ่นแรง ปากแห้ง คอแห้ง สังเกตการ Urine output 30ml/hr
        
        ทารก
        
        hypotonia, respiratory depression
- - - - ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์/วินิจฉัยได้ก่อน GA 20 wk
        
        ประวัติการเจ็บป่วย หญิงตั้งครรภ์ มีประวัติเดิมเป็น chronic hypertension ประมาณ 3 ปี ก่อนการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ รับการรักษาที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน
        รับการรักษาไม่ต่อเนื่อง loss F/U 8 เดือน (จำชื่อยาที่รับประทานไม่ได้) :check:
    - - เป็นกลุ่มอาการ (Syndrome) ของความดันโลหิตสูงที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลัง GA 20 wk ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ
      - Urine protein>300mg in 24 hr
      - ครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclamsia)
        
        อาการคล้ายPre-eclamsia แต่มีอาการชักร่วมด้วย
      - Preeclampsia without severe features
        
        BP <160/110 mmHg No sings PIH
      - Preeclampsia with severe features
        
        BP >160/110 mmHg + Signs PIH
    - - ภาวะความดันโลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลัง GA 20 wk
      - Urine protein Negative/ < 300mg in 24 hr
    - - ความหมาย
        
        สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์พบว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน โดยที่ไม่เคยพบโปรตีนในปัสสาวะมาก่อน GA 20wk
        
        Case Preg G2P1001 last para16ปี GA 32+1 wk ผลการตรวจปัสสาวะ Albumin negative :check:
      - เดิมเรียกว่า pregnancy aggravated hypertension :check:
        -GA < 20 wk
        -Protein uria > 300 mg in 24 hr
        -BP สูง อย่างรวดเร็ว
        -Plt < 100,000
        
        หญิงตั้งครรภ์แพทย์ R/O pregnancy aggravated hypertension จากการซักประวัติโรคประจำตัวก่อนการตั้งครรภ์ :check:
  - - - ระบบการทํางานของปอด
        
        ทําให้เกิดภาวะปอดบวม
      - ระบบปัสสาวะ
        
        ทําให้เกิดภาวะกําซาบ และการไหลผ่านของหลอดเลือดในไตลดลงดังนั้นจึงทําให้creatinine และ uric acid เพิ่มขึ้น พบโปรตีนในปัสสาวะ ภาวะปัสสาวะเป็นเลือดสามารถพบได้ถ้าเม็ดเลือดแดงแตก ซึ่งมักพบในรายที่รุนแรงและอาจพบปัสสาวะออกน้อยและไตวายในที่สุด
      - ระบบโลหิตวิทยา
        
        จากการถูกทําลายของ endothelial cell พบว่ามีผลทําให้เม็ดโลหิตแดงและเกล็ดเลือดถูกทําลายมากขึ้น ดังนั้นจึงทําให้เม็ดเลือดแดงแตกและปริมาณเกล็ดเลือดลดลงซึ่งก่อให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า HELLP syndrome (H: Hemolysis of red blood cell, EL: Elevated liver enzymes, LP: Low platelet count) จะมีอาการคล้ายผู้ป่วยตับอักเสบ ได้แก่ความรู้สึกไม่สบาย เหนื่อย เพลียคลื่นไส้ และอาเจียน ปวดชายโครงขวา
      - ระบบการทํางานของตับ :check:
        
        มีเลือดออกและเกิดการตายของเนื้อเยื่อในตับซึ่งมักพบว่าผู้ที่มีภาวะแทรกซ่อนนี้จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดบริเวณชายโครงขวาหรือใต้ลิ้นปี่
        
        Lab AST(0-31)/ALT(0-31) 41/44 :check:
      - ระบบหัวใจและหลอดเลือด
        
        ํทำให้เกิดการทํางานของหัวใจล้มเหลวและการกําซาบของเนื้อเยื่อในสมองและไตลดลง
      - การเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อมดลูกและรก
        
        มีผลทําให้มีเส้นเลือดไปเลี้ยงบริเวณรกน้อยกว่าปกติทําให้ทารกได้รับเลือดจากมารดาน้อยลง ทารกในครรภ์ขนาดเล็กกว่าปกติ
      - ระบบประสาท :check:
        
        จากภาวะที่เส้นเลือดในสมองหดเกร็งประกอบกับมีการทําลายของ endothelial cell ในสมองจึงทําให้เนื้อเยื่อในสมองบวม มีเลือดออกและเกิดเนื้อตายขึ้นในสมอง ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์จะมีอาการปวดศีรษะ เห็นภาพซ่อนหรืออาจมองไม่เห็น เกิดปฏิกิริยาสะท้อนที่เร็วเกิน และมักพบว่ามีอาการชักสมอเมื่อเกิดพยาธิสภาพที่สมอง
        
        จากการซักประวัติพบว่าหญิงตั้งครรภ์มีอาการปวดศรีษะด้านขวา ไม่มีตาพร่ามัว มองเห็นชัดเจน
  - - - อาการและอาการแสดง :check:
        
        ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
        
        อาการปวดใต้ชายโครงขวา หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เนื่องจากการยืดขยายหรือการแตกของเยื่อหุ้มตับ
        
        มีเลือดออกในสมอง (cerebral hemorrhage)
        
        BP มากกว่าเท่ากับ 160/110 mmHg :check:
        
        11.00 น. ฺBP 183/111 mmHg PR78/min RR 18/min :check:
        
        Eclampsia คือ มีอาการชักแบบทั้งตัว (Generalized tonic clonic seizure)
        
        น้ำท่วมปอด
        
        มีอาการทางระบบประสาท ปวดศรีษะอย่างรุนแรง สายตาพร่ามัว มีจุดบอดในลานสายตา (scotomata) ซึมลง หรือ หมดสติ :check:
        
        หญิงตั้งครรภ์มีอาการปวดศรีษะ ด้านขวา :check:
      - การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
        
        การทำงานของตับผิดปกติ :check:
        
        AST 41 u/l (0-70IU/L) ALT 44 u/l (0-50IU/L)
        
        เกล็ดเลือดต่ำ :check:
        
        Plt 327,000 / cu.mm. (150,000-500,000 :check:)
        
        ระบบการแข็งตัวของเลือด :check:
        
        PT10.2 sec (12-15) :red_cross: PTT 25.7 sec (25-38) INR 0.91
        
        ภาวะไตวาย serum creatinine มากกว่าเท่ากับ 1.1 mg/dl หรือปริมาณปัสสาวะออกน้อยกว่า 500 ml ใน 24 ชม. ภายหลังจากได้รับน้ำอย่างเพียงพอ :check:
        
        serum creatinine0.71 mg/dl (0.4-1.1):check:
        BUN 7 mg/dl (7.9-20) :red_cross:
  - - - หัวใจล้มเหลว (CHF) จากการมี venous return เพื่มอย่างรวดเร็ว
      - ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure) เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตลดลง
      - หัวใจขาดกเลือด (myocardial infaction)
      - น้ำท่วมปวดหรือปอดบวมน้ำ
      - เลือดแข็งตัวผิดปกติ (DIC)
      - เกล็ดเลือดต่ำ
      - รกลอกตัวก่อนกำหนด (abruption placentae)
      - มีการหลุดลอกของเรติน่า ทำให้ตาบอดชั่วคราวได้่
      - เลือดออกในเซลล์ตับ ตับวาย
      - หลาอดเลือดอุดตัน
      - เลือดออกในสมอง (cerebral hemorrhae)
      - อันตรายจากการชัก เช่นสำลัก
    - - ทารกคลอดก่อนกำหนด
      - แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
      - ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
      - ทารกตายในครรภ์เฉัยบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
      - ทารกโตช้าในครรภ์
      - กรณีรักษาด้วย MgSO4 ในระยะคลอด ยาสามารถผ่านรกไปสู่ทารกได้ ทำให้ทารก Reflex ช้า หายใจไม่มีประสิทธิภาพ แต่อาการจะหายไป 3-4 วัน
    - - H: Hemolysis of red blood cell, EL: Elevated liver enzymes, LP: Low platelet count
    - - ระยะชักเกร็ง(tonic stage) (10-20 วินาที)
        
        เป็นระยะที่อันตรายต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เนื่องจากมีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย จะพบอาการหลังแอ่นเกร็ง กัดฟันแน่น กํามือแน่น ตาแข็ง จนกระทั่งหยุดหายใจเพราะกล้ามเนื้อกระบังลมหดรัดตัว
      - ระยะหมดสติ (unconscious or coma stage)
        
        เป็นระยะของการหยุดชัก สตรีตั้งครรภ์มีอาการคล้าย หลับ ความนานของระยะนี้ไม่แน่นอน แต่หากมีระยะเวลานานอาจบ่งชี้ถึงอันตรายที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้สามารถกลับมาชักซ้ําได้
      - ระยะแรกของอาการชัก (stage of invasion)
        
        มีกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ระยะนี้ใช้เวลา 2-3 วินาที
      - ระยะกระตุก (clonic stage) (60 - 90 วินาที)
        
        อาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่าง รุนแรง อ้าปากขึ้นลง กัดฟันแน่น น้ําลายฟูมปาก อาจกัดลิ้นของตนเองได้ ใบหน้าเขียวคล้ําเพราะขาดออกซิเจน หลังจาก นั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มคลายตัว กลับมาหายใจ จังหวะการหายใจจะเร็วและแรง
      - ระยะก่อนชัก(premonitory stage)10--30 วินาที
        
        อาการที่พบ ได้แก่ กระสับกระส่าย กลอกตาไปมา กระตุกที่กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เช่น เปลือกตา มุมปาก และคิ้ว อาจมีหน้าบูดเบี้ยว
  - - - Labetalol (5mg/ml) >> total fluid 20 ml
        
        ผลข้างเคียง ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้อาเจียน หายใจลำบาก
        
        ออกฤทธิ์กดทั้ง alpha และ beta adrenergic rector ยับยั้ง sympathetic ส่วนปายทำให้ลดความดันโลหิต
        
        การบริหารยา
        
        Labetalol 20 mg (4ml+NSS16ml) IV bolus IV นาน 2 นาที วัดBPซ้ำ 30 นาที
        Labetalol 40 mg (8ml+NSS12ml) IV bolus IV นาน 2 นาที วัดBPซ้ำ 30 นาที
        Labetalol 80 mg (16ml+NSS4ml) IV bolus IV นาน 2 นาที วัดBPซ้ำ 30 นาที
        
        ให้ได้ไม่เกิน 220-300mg
      - Nifedipine
        
        Calcium channel blockersยับยั้งแคลเซียมเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทั้งกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด
        
        ผลข้างเคียง ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้อาเจียน
        
        การบริหารยา
        
        Nifedipine 10-20 mg oral q 15-30 min
        
        ขนาดยารับมากที่สุดที่ได้รับ ไม่เกิน 50 mg และ ไม่ควรเกิน 120 mg/24hr
      - Hydralazine
        
        ผลข้างเคียง ปวดศรีษะ วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ
        
        ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้มากขึ้น
        
        การบริหารยา
        
        Hydralazine 5 mg IV วัดBPซ้ำ 30 นาที
        หรือ
        Hydralazine 10 mg IV วัดBPซ้ำ 30 นาที
        
        ให้ได้ไม่เกิน 30 mg
    - - Magnesium sulfate (MgSO4) :check:
        
        เป็นยา drug of choice สำหรับการรักษา pre-eclampsia ออกฤทธิ์กระตุ้น CNS และออกฤทธิ์ myoneural junction โดยการลดการปล่อย acetylcholine เกิดการปิดกั้น neuromuscular transmission ทำให้กล้ามีเนื้อคลายตัว
        
        การบริหารยา
        
        loading dose:
        10%MgSO4 4 g. (40 ml) IV slowly push in 15 min. the
        
        Maintenance dose:
        50%MgSO4 20ml. (10 amp) + 5%D/W 480 ml IV drip 50 cc/hr
        
        ผลข้างเคียง
        
        อาการร้อนวูบวาบทั้งตัว คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว สับสน กล้ามเนื้ออ่อนแรง กดศูนย์หายใจ
  - - - ฺBP > 90/60 mmHg
      - Urine Output >30 cc/hr
      - RR > 14 /min
      - Mg level อยู่ในช่วง 4-7 mEq/L
      - DTR ต้องไม่ absent