Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 12 บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจ…
บทที่ 12 บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
การบำบัดรักษาด้านร่างกาย (Somatic therapy)
2.การรักษาด้วยไฟฟ้า
ข้อบ่งใช้ในการรักษา
โรคจิตในวัยเสื่อมในระยะเศร้า
โรคความผิดปกติของอารมณ์ทั้งในระยะคลั่งและระยะเศร้า
ผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดที่คลั่งหรือซึมเฉย
อาการทางจิตเวชอื่นๆ ที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล
ผู้ป่วยที่อาการเศร้าทุกชนิด และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
ข้อห้ามใช้
วัณโรคระยะรุนแรง
ผู้ป่วยที่เป็นกระดูก
ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่นความดันโลหิตสูงที่ไม่ใช่สาเหตุจากอารมณ์ หอบ กล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดที่ยังมีอาการเพราะขณะชักอาจเกิด Arrhythmias ได้
การติดเชื้อที่มีไข้สูง
Brain tumor (เพราะการทำให้ช็อคจะทำให้ความดันในสมองเพิ่มขึ้นทำให้เกิดTentorial herniation และเสียชีวิตได้
ผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่แข็งแรง
การรักษาทางจิตเวชโดยใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนจำกัดผ่านเข้าสมองในระยะเวลาจำกัดทำให้เกิดอาการชักเกร็งทั้งตัว (Grandmal Seizaue) ทำให้ความผิดปกติทางจิตบางชนิดลดลง
3.การผูกยึดและการจำกัดพฤติกรรม
การผูกมัด (Physical restrain) โดยใช้เจ้าหน้าที่ประมาณ 3-5 คนวิธีการนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องรู้ขั้นตอนในการดำเนินงาน ทำอย่างรวดเร็ว มั่นใจ ไม่กลัวก่อนทำพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องพยายามพูดให้ผู้ป่วยสนใจ เพลิดเพลิน เมื่อผู้ป่วยเผลอ เจ้าหน้าที่2 คน จะจับแขนผู้ป่วยไว้คนละข้าง แล้วนำผู้ป่วยไปไว้ในห้องพักที่เตรียมไว้
การผูกมัด (Physical restrain) โดยใช้เจ้าหน้าที่ประมาณ 3-5 คนวิธีการนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องรู้ขั้นตอนในการดำเนินงาน ทำอย่างรวดเร็ว มั่นใจ ไม่กลัวก่อนทำพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องพยายามพูดให้ผู้ป่วยสนใจ เพลิดเพลิน เมื่อผู้ป่วยเผลอ เจ้าหน้าที่2 คน จะจับแขนผู้ป่วยไว้คนละข้าง แล้วนำผู้ป่วยไปไว้ในห้องพักที่เตรียมไว้
ปัจจุบันการผูกมัดและจำกัดขอบเขตผู้ป่วยยังคงมีความจำเป็นในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยและผู้อื่นพฤติกรรมที่ต้องผูกมัด หรือ จำกัดบริเวณ
จิตเภสัชบำบัดและการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ยาควบคุมอารมณ์ (Mood-stabilizing drug)
ลิเทียมคาร์บอเนต (Lithium Carbonate) เป็นยาหลักที่ใช้รักษาเชื่อว่าจะไปยับยั้งการปลดปล่อย NE และ Dopamine ที่จุด Synapse และทำให้ Pre-synaptic re-uptakeของ Neurotransmitter เพิ่มขึ้น เป็นการปรับสมดุลของ Neurotransmitter
ยาควบคุมอารมณ์ (Mood-stabilizing drug)
มีประโยชน์ในการรักษาโรคประสาท (Neurosis)ทุกชนิดเพราะมีคุณสมบัติลดความวิตกกังวลและความกดดันโดยไม่ทำให้เกิดการง่วงมากเหมือนยานอนหลับ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวป้องกันอาการชัก นอนหลับได้ ยาที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ Benzodiazepines
ยารักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant drugs)
1) Conventional antidepressant
Monoamine Oxidase inhibitors (MAOI) มีฤทธิ์ไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ MAO ที่ทำให้ระดับของ Serotonin และ Catecholamine ในสมองสูงขึ้น ทำให้มีอารมณ์เป็นสุขสมองตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า สดชื่น อยากอาหาร ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้นอาจทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเมื่อให้ยาในระดับสูง
Tricyclic antidepressants ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากมีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ กลไกการออกฤทธิ์เชื่อว่าลดอาการซึมเศร้า โดยไม่เพิ่มระดับของ Nor-epinephrine และ serotonin ในสมอง ทำให้มีอาการปากแห้ง ตาพร่า ง่วงนอน ปัสสาวะคั่ง ท้องผูกได้ผลต่อระบบไหลเวียนทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
2) Secondary generation antidepressants
Tetracyclic antidepressants เช่น Maprotiline (Ludiomil), Mianserin(Talvon) ข้อบ่งใช้คล้ายๆ กับ amitriptyline และได้ผลพอๆ กันห้ามใช้กับผู้ที่เป็นโรคตับ ต่อมลูกหมากโตต้อหิน ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ น้ำหนักลด โรคเบาหวาน หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกและหญิงให้นมบุตร
Serotonin Reuptake Inhibitors นำมาใช้รักษาอาการซึมเศร้า(Antidepressant) ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะ Reuptake ของ Serotonin เรียกชื่อย่อว่า SSRIs (Selectiveserotonin reuptake inhibitors) ยาในกลุ่มนี้ที่นำมาใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิด คือ Fluoxetine,Paroxetine, Sertraline และFluvoxamine
Bicyclic antidepressants เช่น Zimelidine (Zelmid), Viloxazine (Vivalan)การออกฤทธิ์ยับยั้ง Nor-epinephrine reuptake และ Serotonin reuptakeใช้ในผู้ป่วยซึมเศร้าได้ผลพอๆ กับ amitriptyline และ Imipramine อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย คือคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปากแห้ง ใจสั่น ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก
ยารักษาโรคจิต (Antipsychotic drugs or Major transquilizer drugs)เป็นยาที่นำมาใช้รักษาโรคจิต เนื่องจากสาเหตุต่างๆ ได้ผลดี โดยเฉพาะโรคจิตเภท แมเนียและโรคจิตจากสมองพิการ
1) Phenothiazine derivatives ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาทั่วๆ ไป มีดังนี้ ง่วง (Sedation)ระงับอาการอาเจียน (Antiemetic) ปากแห้งคอแห้ง (Anticholinergic)ความคิดเชื่องช้า(Antiadrenaline) และ antihistamine มีผลต่อการรักษาผู้ป่วยจิตเภทเป็นส่วนใหญ่และยังใช้รักษาผู้ป่วยคลั่งเศร้า (Mania) ลุกลี้ลุกลน (Agitated depression) และพฤติกรรมหลงผิดซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติของสมอง
2) Risperidone เป็นยารักษาโรคจิต ซึ่งมีประสิทธิภาพเท่า Haloperidolแต่ต้องให้ขนาดปานกลาง (4-10 มก/วัน) ทำให้เกิดผลข้างเคียง Extrapyramidal effects น้อยกว่าHaloperidol อาการข้างเคียงอย่างอื่น คือ น้ำหนักเพิ่ม และความดันโลหิตต่ำเวลายืน
กิจกรรมบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยจิตเวช (Activity Therapy)
ประโยชน์ของกระบวนการกลุ่มช่วยให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มได้นำเอาความสามารถต่าง ๆของตนเองออกมาใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วยเสริมสร้างทัศนคติและพฤติกรรมของสมาชิกและประสบการณ์ที่ได้รับจากกลุ่มจะส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มได้พัฒนาความสามารถพิเศษขึ้นมาแล้วนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและกลุ่มได้พัฒนาทางด้านสังคมไปในทางที่ดี
ประเภทของกลุ่ม
แบ่งตามเทคนิคการดำเนินการกลุ่ม
กำหนดโครงสร้าง
ไม่กำหนดโครงสร้าง
แบ่งตามวัตถุประสงค์
แบ่งตามลักษณะการรับสมาชิก
กลุ่มเปิด (Open Group)
กลุ่มปิด (Closed Group)
แนวคิดเกี่ยวข้องกับการทำงานเป็นกลุ่ม
การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทำให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแต่ละคนมีผลต่อการพัฒนาทางด้านอารมณ์และสังคม
บุคคลแต่ละคนมีความสามารถพิเศษในตนเองและมีความแตกต่างกัน
ความต้องการของมนุษย์ โดยพื้นฐานมีความปรารถนาจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
ชนิดของกิจกรรมบำบัด
นันทนาการบำบัด (Recreation Therapy Group)เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อรื่นเริงบันเทิงใจ และให้ทุกคนในกลุ่มได้สนุกสนาน เพลิดเพลิน
กลุ่มการศึกษาบำบัด (Re-Education Therapy Groups)เป็นกลุ่มกิจกรรมที่สัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาในการปรับตัวบางอย่างของผู้ป่วย
กลุ่มอาชีวบำบัด (Occupational Therapy Group)เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณค่าของตนเอง และสอนทักษะใหม่ ๆ ในด้านอาชีวะใช้ได้กับ ผู้ป่วยทุกวัย
กลุ่มฝึกหัดการเข้าสังคม (Resocialization Therapy Groups)เป็นกลุ่มที่จัดให้ผู้ป่วยได้พบปะสังสรรค์กัน เพื่อฝึกการเข้าสังคม รู้จักวางตัวให้ถูกต้องเหมาะสม
หลักการรักษาด้วยกลุ่มกิจกรรมบำบัด
ป้องกันความเสื่อมถอย (Prevention)
พัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น (Development)
สนองความต้องการขั้นพื้นฐาน (Meeting basic need)
การคงสภาพที่เหลืออยู่เอาไว้ (Maintenance)
หลักในการเลือกผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรม
ผู้ป่วยก้าวร้าว (Aggressive) ควรจัดให้เข้ากลุ่มกิจกรรมที่ได้ออกแรง
สมาชิกในกลุ่มควรมีทั้งเพศชายและหญิง
เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยได้ปรับตัวอยู่ในสังคมที่เป็นจริง
ผู้ป่วยวิตกกังวล (Anxiety) ควรจัดให้เข้ากลุ่มกิจกรรมที่ให้พลังงาน
เป็นผู้ป่วยที่มีอาการทุเลาและมีพฤติกรรมที่เหมาะสม
เลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับเพศ วัย การศึกษา และความสามารถ
ผู้ป่วยซึมเศร้า (Depression) ควรจัดให้เข้ากลุ่มกิจกรรม
ความสำคัญของกลุ่มกิจกรรมบำบัด
กลุ่มกิจกรรมบำบัดเป็นวิธีการบำบัดรักษาวิธีหนึ่งที่พยาบาลมีบทบาทสำคัญในปัจจุบันเป็นบทบาทอิสระที่พยาบาลสามารถกระทำได้เองและมีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเวชเป็นอย่างมากเนื่องจากผู้ป่วยซึ่งเข้ารับการบำบัดรักษาในกลุ่มกิจกรรมบำบัดสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนเองจากการพูดคุยกับสมาชิกในกลุ่มทำให้ผู้ป่วยลดความวิตกกังวล
บทบาทของพยาบาลในการจัดกิจกรรมบำบัด
ในระหว่างที่กำลังทำกลุ่มผู้นำกลุ่ม ผู้ช่วยผู้นำกลุ่มและผู้สังเกตการณ์จะต้องคอยดูแลกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างทั่วถึง
ให้กำลังใจและส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจในตนเอง
เป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมบำบัดตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดกิจกรรม
สร้างบรรยากาศในกลุ่มให้มีลักษณะของความเป็นมิตร
มีความรู้และทักษะในการจัดกิจกรรมนั้นๆ
มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกทุกคน
ความหมายของกลุ่มกิจกรรมบำบัดกลุ่มกิจกรรมบำบัด (Group ActivityTherapy)เป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งโดยใช้สิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด (Milieu Therapy)จัดให้ผู้ได้ทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมให้เข้าสู่สภาพปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยยึดหลักการช่วยให้ผู้ป่วยที่หมกมุ่นอยู่กับความเจ็บป่วยหรือปัญหาของตนเองมาสนใจกิจกรรมซึ่งอาศัยแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด (Milieu therapy)
วัตถุประสงค์ของ Milieu therapy
เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตใจ
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมที่เป็นจริง
เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง
ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดทัศนคติที่ดีต่อทีมสุขภาพจิต
บทบาทของพยาบาลในการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
เป็นตัวแทนของบุคคลในสังคมปกติการตอบสนองต่อผู้ป่วยควรอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของสังคมทั่วไป ไม่ใช่ตอบสนองเพราะผู้ป่วยเป็นผู้ป่วยเช่น สามารถปฏิเสธคำร้องขอของผู้ป่วยที่เป็นคำร้องขอที่มากเกินไป
เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านพฤติกรรมทางสังคม เช่นพฤติกรรมการตอบรับในกรณีที่พยาบาลควรตอบรับ และพฤติกรรมการตอบปฏิเสธในกรณีที่ควรปฏิเสธการแสดงความชื่นชมในกรณีที่มีผู้ทำสิ่งที่ควรชื่นชม การขอโทษ ขอบคุณ
เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการตอบสนองทางอารมณ์ เช่น ในยามโกรธจะบอกความรู้สึกโกรธแทนการแสดงออกให้เห็นทางพฤติกรรมว่ากำลังโกรธหรือแสดงพฤติกรรมรุนแรงเช่นที่คนทั่วไปและผู้ป่วยกระทำ ผู้ป่วยจะได้เห็นแบบอย่างของการแสดงออกของพฤติกรรมที่เหมาะสม
ลักษณะของ Milieu therapy
มีความหลากหลายของกิจกรรมบำบัด
ต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับครอบครัว
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความรับผิดชอบมากขึ้น
ต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชุมชน ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ออกไปสู่ชุมชน
มีรูปแบบการปกครองตนเอง เพื่อฝึกให้ผู้ป่วยมีความรับผิดชอบ และรู้จักพึ่งพาตนเอง
ทีมสุขภาพจิตต้องร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มีโปรแกรมสำหรับการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ทีมสุขภาพจิตต้องมีความเป็นมนุษย์ในตนเอง คือ มีความรัก มีทัศนคติที่ดี มีการให้เกียรติกัน
หลักการในการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
กลุ่มบำบัดแต่ละชนิดควรมีจำนวนที่เหมาะสม
การตัดสินใจทุกอย่างของผู้ป่วยและผู้บำบัดจะต้องเห็นชอบด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
โปรแกรมนิเวศบำบัด ต้องวางแผนอย่างดี โดยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วยกับผู้บำบัดกลุ่มบำบัดและกิจกรรมบำบัดที่ยึดเอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
หลักการช่วยเหลือผู้ป่วยต้องการกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอยากทำงาน
3) การแต่งกายของพยาบาลไม่ยึดหลักการแสดงสัญลักษณ์ของความเจ็บป่วย คือการสวมยูนิฟอร์มสีขาว เพราะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทของพยาบาล ที่ต้องให้ความช่วยเหลือ
การจัดกิจกรรมในนิเวศบำบัด ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
สมาชิกทุกคนในทีมผู้บำบัดต้องแสดงตนเป็นแบบอย่างหรือตัวอย่างที่ดีและเหมาะสมแก่ผู้ป่วย
ในการทำงานหากมีสิ่งบกพร่องเกิดขึ้น ผู้บำบัดจะปักความรับผิดชอบ
ในการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัดยึดหลักการอำนวยความสะดวกสบายตามสภาพของสถานที่ซึ่งสามารถจัดให้ได้อย่างดีที่สุดที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้บำบัดและผู้ป่วยกับผู้ป่วยสามารถจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคม และการอยู่ร่วมกัน
การชี้ปัญหาหรือข้อบกพร่องของสมาชิกในกลุ่ม