Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงปริมาณนํ้า และการไหลเวียนเลือด (Hemodynamic disorder) -…
การเปลี่ยนแปลงปริมาณนํ้า
และการไหลเวียนเลือด (Hemodynamic disorder)
ภาวะเสียสมดุลของสารนํ้าในร่างกาย
(Fluid imbalance)
Total Body Water/Fluid volume
สมดุลนํ้าในภาวะปกติ
การแลกเปลี่ยนสารนํ้าผ่านผนังหลอดเลือดฝอย
ใช้วิธีการกรองและดูดกลับ (Filtration – Reabsorption)
โดยขึ้นกับสมดุลแรงดันที่เรียกว่า
Starling forces 4 ชนิด
➢1. Capillary hydrostatic pressure
แรงดันของสารนํ้าที่อยู่ในหลอดเลือดฝอย หรือความดันเลือดในหลอดเลือดฝอย ซึ่งจะดันนํ้าออกนอกหลอดเลือด
➢2. Interstitial hydrostatic pressure
แรงดันของสารนํ้าระหว่างเซลล์ที่อยู่รอบหลอดเลือดฝอย คอยดันนํ้าเข้าสู่หลอดเลือด
➢3. Capillary osmotic pressure
แรงดันออสโมซิส ซึ่งเกิดจากสารต่างๆในหลอดเลือด แรงนี้จะดึงนํ้ากลับเข้าหลอดเลือดแรงดันนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณโปรตีน โดยเฉพาะอย่างอัลบูมิน
➢4. Interstitial osmotic pressure
อแรงดันออสโมซิส ในสารนํ้าระหว่างเซลล์ที่อยู่รอบหลอดเลือดฝอย ซึ่งจะ ดึงนํ้าออกจากหลอดเลือดฝอย
แรงที่ควบคุมสมดุลสารนํ้า
Net filtration pressure
แรงสุทธิที่กระทำต่อสารนํ้าในหลอดเลือด สามารถบอกทิศทางของนํ้าว่าเข้าหรือออกจากหลอดเลือดฝอยด้วยแรงเท่าไรแต่อัดราการไหลของสารนํ้าจากหลอดเลือดฝอยที่เกิดขึ้นจริงนั้น คือ
Net filtration = Kf x net filtration pressure
ภาวะขาดนํ้าปริมาตรในระบบไหลเวียนลดลง
สาเหตุ
• Inability to Drink Fluids/Sweat/Vomiting/Watery diarrhea
• Diabetes/Hyperglycemia
• Diabetes insipidus
• Prolonged fever
• Hemorrhage
คือ ภาวะที่มีปริมาณนํ้าและเลือดในร่างกายน้อยกว่าปกติ
ภาวะนํ้าเกิน
ระดับนํ้านอกเซลล์มาก ทำให้เกิดการบวม
อาการ
: นํ้าหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาวะบวมนํ้า (edema & effusion)
มีสารนํ้าขังอยู่ใน interstitial tissue และ/หรือในช่องต่างๆ ของ ร่างกาย
>>>tissue (edema) or body cavities >>>effusions
:red_flag:
anasarca
หมายถึงการบวมนํ้าที่เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกายโดยเฉพาะในชั้นใต้ผิวหนัง subcutaneous (tissue)
:red_flag:มักพบในโรค Congestive cardiac failure,Nephrotic syndrome, Liver cirrhosis, Malnutrition
ภาวะนํ้าเกิน
สารนํ้าที่เกิดขึ้นจากการบวม
Morphology of edema
Subcutaneous edema
ในผู้ป่วยหัวใจห้องขวาล้มเหลวจะตรวจพบมีการบวมโดยเฉพาะที่ขา (dependent part)
การอุดตันที่เกิดจากก้อน thrombus หรือการที่ขาไม่ได้เคลื่อนไหวติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
Pitting edema
บวมจากการมีของเหลวนอกเซลล์มาก (extracellular fluid excess) เมื่อถูกกดแรงๆ Fluid จะไหลออกไปข้างๆ แล้วกลับเข้ามาจึงเห็นเป็นรอยบุ๋ม เรียกว่า :red_flag:บวมกดบุ๋ม :red_flag:
Non-pitting edema
บวมตึง มักเกิดจาก lymphatic obstruction เช่น ก้อนมะเร็งกดทับท่อนํ้าเหลืองในเนื้อเยื่อ โรคเท้าช้าง ทำให้มีนํ้าเหลืองคั่ง นํ้าเหลืองมีโปรตีนมากจึงดึงนํ้าไว้ใน เวลากดนํ้าก็ไม่ถูกรีดออกไปจึงไม่บุ๋ม
Pulmonary edema
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้น pulmonary venous pressure จากภาวะหัวใจล้มเหลว
Brain edema / cerebral edema
เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ
❖การติดเชื้อ encephalitis ( or meningitis)
❖สมองตายจากการขาดเลือดหรืออภาวะเลือดออกในสมอง (brain infarcts and hemorrhage)
❖อุบัติเหตุทางสมอง cranial ( or cerebral trauma)
❖เนื้องอกในสมอง (cerebral tumor
Alert signs of edema
❖sudden onset (<72 hours)
❖10-15% increase in body weight
Morphology of effusion
• Hydrothorax: pleural cavity
• Hydropericardium: pericardial cavity
• Hydroperitoneum or ascites : peritoneal cavity
พบได้บ่อยในผู้ป่วย end stage liver disease (cirrhosis) มีสาเหตุมาจากHypoalbuminemia, Portal hypertension
Hyperemia &congestion
Hyperemia
ภาวะที่มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือด มายังเนื้อเยื่อใดเนื้อเยื่อหนึ่ง เนื่องจาก:red_flag:
การขยายตัวของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก (arteriole)
ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีสีแดงเนื่องจากมีการคั่งของเลือดแดง hyperemia ลักษณะแบบนี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า :red_flag:
active hyperemia
Congestion
หรือ passive hyperemia หมายถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือดเนื่องจากเลือดดำไหลกลับ ไม่สะดวกมีการขยายตัวของหลอดเลือดดำ
congestion ที่ปอดอันเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure)
เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจะมีสีเขียวคลํ้า (cyanosis) เนื่องจากเป็นการคั่งของ deoxygenated blood
Pulmonary congestion
Chronic passive congestion
: ภาวะเลือดคั่งเรื้อรังในปอด เกิดจากเลือดที่ผ่านมาที่ปอดไม่สามารถไหลกลับไปยังหัวใจห้องบนซ้ายได้สะดวก
Spider and Varicose Veins
การคั่งของเลือดในหลอดเลือดบริเวณขา ก่อให้เกิดการขยายของ
หลอดเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดดำเล็ก (vein)
Hemostasis&Hemorrhage
Hemostasis
กระบวนการของร่างกายในการควบคุม เมื่อเกิดการบาดเจ็บของหลอดเลือด
“stopping of hemorrhage” :<3:
ขั้นตอน
Primary hemostasis เมื่อมีการบาดเจ็บของหลอดเลือดชักนำให้เกร็ดเลือดมาเกาะบริเวณนั้นเกิดเป็น hemostatic plug
Vasoconstriction endothelin ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ให้หลอดเลือดหดตัว
Antithrombotic counter regulation กระบวนการยับยั้งไม่ให้เกิดลิ่มเลือดมากเกินไป
Secondary hemostasis หลังจากเกิด hemostatic plug เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดจะหลั่งสาร tissue factor และกระตุ้นสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด (Coagulation factors) ทำให้เกิดการสร้าง thrombin และ fibrinภายในลิ่มเลือด
Hemorrhage
ภาวะที่มีเลือดออกมานอกหลอดเลือด สาเหตุเนื่องมาจากมีการฉีกขาดของหลอดเลือด
ภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือดขนาดเล็ก
มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของผนังหลอดเลือดเอง เกร็ดเลือด หรือสารที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด (coagulation factors)
กรณีของหลอดเลือดขนาดใหญ่
มักมีสาเหตุมาจากความเสียหายที่เกิดกับหลอดเลือดโดยตรง เช่น อุบัติเหตุ
Hemorrhage -ตามตำแหน่งที่เกิด
Epistaxis : หรือเลือดกำเดา เกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดในโพรงจมูก
Hemoptysis : การไอเป็นเลือด สาเหตุที่พบบ่อย คือการติดเชื้อวัณโรคและมะเร็งปอด
Hematochezia : การถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากมีเลือดออกในลำไส้ใหญ่
Hematemesis : การอาเจียนเป็นเลือด มักเกิดจากภาวะการมีเลือดออกในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร
Hematuria: ปัสสาวะเป็ นเลือดมีทั้ง microscopic และ macroscopic hematuria
Intracerebral hemorrhage : ภาวะเลือดออกในสมอง
Hematoma : ภาวะที่มีเลือดออกและสะสมในเนื้อเยื่อ
Hemopericardium : เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardialcavity) ส่วนใหญ่เกิดจากการแตกของ หลอดเลือดเอออร์ตาหรือห้องหัวใจทะลุ
Hemothorax : เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด
Hemoperitoneum : เลือดออกในช่องท้อง
Hemarthrosis : เลือดออกในข้อ พบบ่อยในโรคฮีโมฟิเลีย
Hemorrhage-ตามขนาดที่เกิด
Petechiae:
เป็นจุดเลือดออกขนาดเล็กในชั้นผิวหนังหรือเยื่อบุ serosa
ขนาดประมาณ 1-3 มม. สาเหตุ เนื่องจากมีความผิดปกติของผนังหลอดเลือด
หรือความผิดปกติของเกล็ดเลือด
Purpura:
เป็ นจุดเลือดออกขนาดเล็กที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ serosa
หรือขนาดตั้งแต่ 3-10 มม. สาเหตุเหมือนกับ petechiae
Ecchymosis:
เป็นภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นที่ผิวหนัง มีขนาดตั้งแต่ 1-3 ซม.สาเหตุมักเกิดจากความ ผิดปกติของสารที่ท าหน้าที่ในการแข็งตัวของเลือด (coagulationfactors)
พยาธิสภาพและผลกระทบของ Hemorrhage
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดพยาธิสภาพ
ส่วนภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเสียเลือดในปริมาณมาก ผู้ป่ วยจะเกิด ภาวะช็อคจากการเสียเลือดเรียกว่า hypovolemic shock
Thrombosis
ก้อนเลือดที่เกิดขึ้นภายในหลอดเลือดหรือในหัวใจขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเกาะติดกับผนังของหลอดเลือดหรือผนังของหัวใจและอาจจะก่อให้เกิดการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดได้
สำเหตุของการเกิด Thrombus(Rudolf Virchow)
1. การบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด (Endothelial injury
)
เช่น การอักเสบของหลอดเลือดที่ทำให้ผนังหลอด เลือดไม่เรียบ
2.การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือด (Abnormal bloodflow)
ทั้งเลือดไหลช้าลง, เลือดหยุดไหล และเลือดที่มีการไหลวน (turbulen tflow)
3. การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบในเลือด
ภาวะที่มีสารประเภท procoagulant เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาวะที่มี
สารประเภท anticoagulantลดลง (Hypercoagulability)
การเปลี่ยนแปลงใน thrombus
1. Resolution:
ก้อน thrombus อาจจะละลายไปโดยกระบวนการ fibrinolysis
2. Propagation:
ก้อน thrombus ที่ไม่สามารถละลายได้จะมีการสะสมของเกร็ดเลือด, ไฟบรินและ เม็ดเลือดมากขึ้น ท าให้ก้อนเลือดขยายออกเรื่อยๆ
3. Embolization:
ก้อน thrombus ที่แตกและหลุดจะลอยไปตามกระแสเลือด ไปอุดกั้นหลอดเลือดส่วนอื่น เรียกส่วนที่หลุดออกไปว่า embolus
4. Organization:
ก้อน thrombus ที่สลายไม่หมด จะมีการเจริญของ granulation tissue เข้ามาในระยะหลังจะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็น fibrosis ในก้อน ในบางราย capillary ที่เกิดขึ้นอาจงอกทะลุก้อนทำให้เกิดรูขึ้นในก้อน thrombus เลือดสามารถไหลผ่านได้อีกครั้ง เรียกว่า recanalization
ผลของการเกิด thrombosis
1. Infarction:
เป็นลักษณะที่พบใน arterial thrombosis เช่น thrombosisในหลอดเลือด coronary artery ที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด/ตาย
2. Edema and obstruction of venous outflow:
พบใน venous thrombosis
3. Emboli:
เป็ น complication ที่ส าคัญที่สุดของ thrombosis*
4. Infection
5. Inflammation of the vessel wall
Disseminated intravascular coagulation (DIC)
การเกิด microthrombus ในหลอดเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย arterioles
(capillaries and venules) ที่เกิดจากการกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือด
เมื่อเกิด microthrombus จำนวนมากมายในหลอดเลือด ทำให้ร่างกายมีเกร็ดเลือด ไฟบริน และ coagulator factor ต่างๆ เนื่องจากมีการใช้ไปเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเลือดออกในหลายอวัยวะเนื่องจากขาดองค์ประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในการห้ามเลือด
สาเหตุที่พบบ่อย: DIC
Infection
Neoplasm
Massive tissue injury
Shock
Obstetric complications
Deep Vein Thrombosis:DVT
is a blood clot that forms inside a vein
usually deep within your leg.
Symptoms
swollen below the knee
pain in the area of the clot
Embolism
ภาวะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไหลไปตามกระแสเลือด แล้วไปอุดกั้นหลอดเลือดส่วนปลาย สิ่งที่อุดกั้นนั้นเรียกว่า embolus
Sources
Vessels
ชนิดของ emboli
Thromboemboli
มีความสำคัญทางคลินิกและพบบ่อยที่สุดมากกว่าร้อยละ 95 เป็น emboli ที่หลุดมาจากบริเวณที่เกิด thrombosis
Air (gas) emboli
พบได้ในนักดำนํ้าที่ขึ้นสู่ผิวนํ้าเร็วเกินไป ทำให้แก๊สไนโตรเจนที่ละลายในเลือด ในขณะที่อยู่ใต้นํ้ากลายสภาพเป็นฟองอากาศอุดกั้นในเส้นเลือด เรียกกลุ่มอาการนี้ว่า caisson disease หรือพบในกรณีที่ฉีดยาให้ผู้ป่วยแล้วไม่ไล่อากาศที่ปลายเข็มก่อน
Bone marrow emboli
เกิดจากการหลุดของไขกระดูก พบได้บ่อยในขณะที่ทำ cardiopulmonary resuscitation แล้วมีการหักของกระดูกซี่โครงมักไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติทางคลินิก เนื่องจากมักอุดใน แขนงขนาดเล็กของ pulmonary artery
Tumor emboli
ทำให้เกิดการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น
Cholesterol emboli
เกิดจากการหลุดของ cholesterol ที่ atherosclerotic plaque
แForeign body emboli
เช่นผงแป้งจากถุงมือหรือเศษไหมที่ใช้เย็บแผลหลุดเข้าเส้นเลือดในขณะทำการผ่าตัด :red_flag:
Amniotic fluid emboli
พบได้ไม่บ่อยประมาณ1:80000 รายของการคลอด เกิดเนื่องจากมีการฉีกขาดของ uterine vein ขณะที่คลอด
Fat embolism
เกิดจากการหลุดของหยดไขมัน (fat globule)เข้าไปในระบบไหลเวียนเลือด
Emboli แบ่งตามตำแหน่งที่พบ
1. Venous emboli
เกิดในหลอดเลือดดำและมีการไหลต่อไปยังปอด
2. Arterial emboli
ส่วนใหญ่เกิดที่หัวใจ เอออร์ต้าและหลอดเลือดขนาดใหญ่ emboli
3. Paradoxical emboli
เป็น emboli ที่เกิดในหลอดเลือดดำแต่มีการหลุดเข้าไปยังระบบไหลเวียนเลือดแดง
ผลของ embolus
ผลที่สำคัญคือ การเกิด infarct และ gangrene ของอวัยวะ
Pulmonary embolism (PE)
ส่วนใหญ่เกิดจาก thromboemboli จากเส้นเลือดดำบริเวณขา DVT
Risk factors
Surgery
Obstetrics
Cardiorespiratory
Lower limb problems
Malignant Disease
Increasing age
Immobilization
Thrombolic disorders
Oral contraceptive pills
Ischemia/ Infarction
ภาวะขาดเลือดเนื่องจากหลอดเลือดถูกอุดกั้นจากเหตุต่างๆ
การขาดเลือดที่เกิดอย่างฉับพลันจะทำให้เกิดการตายแบบ infarction หรือ gangrene
ส่วนการขาดเลือดที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ จะเกิดการเสื่อมและฝ่อของอวัยวะแทน
Infarction
Arterial
– เกิดจากการอุดกั้นของหลอดเลือดแดง
Venous
- เกิดจากการอุดกั้นของหลอดเลือดดำ
Hypotensive
– เกิดจากการลดลงของเลือดที่มาเลี้ยงเนื้อเยื่อ/ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับภาวะ shock ที่มีความดันเลือดตํ่า
Gangrene
1.Dry gangrene:
พบได้ที่ แขน ขา และนิ้ว เมื่อเกิดการตายของเนื้อเยื่อจะมีการระเหยของนํ้าออกจากเนื้อที่ตายนั้น ทำให้แห้งเหี่ยวและมีสีดำ
2.Wet gangrene:
ใช้เรียกในเนื้อตายที่มีการติดเชื้อซํ้า พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานที่มี infarct ของนิ้วเท้า การตายของลำไส้
Shock
Definition
life-threatening manifestation of circulatory failure
Effects of shock are reversible in the early stages, and a delay in diagnosis
multiorgan failure (MOF) and death.
Types
3) Distributive shock
Septic shock caused by microbial infection
Anaphylactic shock caused by an IgE hypersensitivity reaction.
4) Obstructive shock
pulmonary embolus
pneumothorax or hemothorax
2) Cardiogenic shock
resulting from failure of the cardiac pump
5) Mixed/unknown
Endocrine
Metabolic
1) Hypovolemic shock
resulting from loss of blood or plasma volume
Phase
1. Initial /Compensated or Non progressive shock
ร่างกายมีการใช้กลไก neurohumoral mechanism ปรับให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (Cardiac output) และความดันโลหิตอยู่ในระดับที่ปกติ
2. Decompensated or Progressive shock
มีการคั่งของ lactic acid เกิดภาวะ metabolic acidosis>> vasodilatation>>active coagulationsystem>>DIC
3. Irreversible shock
Hypovolemic shock
เกิดจากการเสียเลือด หรือมีปริมาณสารนํ้าในหลอดเลือดลดลง
hemorrhagic
causes
Gastrointestinal bleed
Vascular etiologies
Spontaneous bleeding
non-hemorrhag
causes
GI losses
Renal losses
Skin losses/insensible losses
Cardiogenic shock
เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ บกพร่องทำให้ไม่สามารถบีบ
เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้
Distributive shock
shock ที่เกิดจาก Vasodilation ของ Peripheral arterioles ทำให้Total peripheral resistance ลดลงผลโดยตรงคือทำให้BP ลดลงทันที→ผลต่อมาคือทำให้เลือด Pool อยู่ใน periphery มากขึ้น
Obstructive shock
คือ ภาวะ shock ที่เกิดจากมีอะไรบางอย่างงมาอุดกั้นใน circulatory system นอกหัวใจจนทำให้ venous return ลดลง
Pericardial pressure สูงขึ้น
Intrathoracic pressure สูงขึ้นมากๆ
Pulmonary resistance สูงขึ้น
Mixed/unknow shock
ภาวะ hypocortisol มีการลดลงของ Affinity ระหว่าง Adrenergic receptor กับ Catecholamine: ภาวะนี้เกิดจาก Cortisol ลดตํ่าลง