A Beautiful Mind

ข้อมูลทั่วไป

ข้อมูลส่วนบุคคล

ชื่อ นายจอร์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ (Mr.John Forbes Nash,Jr)

อายุ 24 ปี เชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน

ประวัติครอบครัว

เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

มีน้องสาว 1 คน

มีบุตรจำนวน 1 คน

มีภรรยา 1 คน

ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต

คว่ามสัมพันธภาพในครอบ

ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง

มีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขจนเกือบทำร้ายภรรยาและลูก

เป็นคนเก็บตัว

รู้สึกไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา

ปฏิเสธการแพ้ยา/อาหารและการใช้สารเสพติด

อาการสำคัญ

1 วันก่อนมาโรงพยาบาล หวาดระแวงว่ามีคนสะกดรอยตามจะมาทำร้าย วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวออกจากที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานจึงนำส่งโรงบาลจิตเวช

พัฒนการตามช่วงวัย

วัยเด็ก

วัยรุ่น

วัยผู้ใหญ่ตอนต้น

ชอบเก็บตัว

ไม่มีเพื่อนสนิท

เรียนเก่ง

สนใจวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองอายุ 12 ปี

สนใจทางด้านคณิตศาสตร์

จบปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์ด้วยอายุ 20 ปี

ชอบเก็บตัว

ไม่มีเพื่อนสนิท

จบปริญญาเอก

โดดเด่นทางด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ

มีความคิดหมกมุ่น

เริ่มมีพฤติกรรมแปลกเพิ่มมากขึ้น

โรคที่เชื่อมโยงกับจอร์น

โรคจิตเภท(Schizophrenia)

คือโรคที่มีความผิดปกติของความคิด (thought)เป็นอาการเด่น

มีผลถึงการรับรู้ (perception) อารมณ์ (affect) และพฤติกรรม (behavior)

ผิดปกติกระบวนการคิด (cognitive)

ชนิด Paranoid Schizopheria

อาการ

หวาดระแวง

หลงผิด

ก้าวร้าว

ชอบทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น

อาการและอาการแสดง

ประสาทหลอน

หวาดระแวง

พฤติกรรมผิดปกติ

หูแว่ว ได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำ

เห็นภาพหลอน คิดว่ามีคนตามตลอดเวลา คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย

คิดว่ามีคนสะกดรอยตามตลอดเวลา

คิดว่ามีคนทำร้าย

ไม่มีเพื่อนสนิท

ชอบเก็บตัว

เดินหลังค่อม

พยายามคุยกับใครบางคน

กระสับกระส่าย

มองซ้าย มองขวาเกือบตลอด

ก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่

เหม่อลอย

นั่่งกุมมือและบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการป่วย

ด้านพันธุกรรม

ด้านครอบครัว

ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ด้านจิตใจ

ด้านชีวเคมีของสมอง

สารสื่อประสาทในสมองบกพร่อง

ถูกครอบครัวตำนิ

ครอบครัวไม่ช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น

ไม่มีเพื่อนสนิท

ชอบเก็บตัว

ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ความสามารถในการปรับตัวบกพร่อง

มีความคิดหมุกม่น จนทำให้เครียด

มีปริมาณ dopamine ที่ synapse ในสมองมากเกินไป

จำนวน post synaptic recepter มากเกินไป

การรักษา

การตรวจวุขภาพจิต

  1. ระดับสติปัญญา (Intelligence)
  1. ความตั้งใจและสมาธิ (Attention & Concentration)
  1. ความจำ (Memory)
  1. การตัดสินใจ (Judgment)
  1. การรับรู้ (Orientation)
  1. การคิด (Thought)
  1. ระดับของการรู้สึกตัว (Conscious)
  1. ลักษณะการพูด (Speech)
  1. ความสามารถในการรับสัมผัส (Perception)
  1. พื้นฐานอารมณ์ (Mood)
  1. การเคลื่อนไหว (Psychomotor Activity)
  1. การแสดงอารมณ์ (Affect)

1.ลักษณะทั่วไป (General Appearance)

  1. การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง (Insight)
  1. อัตมโนทัศน์ (Self-concept)

ผู้ป่วยภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง ที่เรียนจบปริญญาเอกทางด้านคณิตศาสตร์และได้รับรางวัลจาก ผลงานชื่อ "Nash Equilibrium"

ผู้ป่วยเชื่อว่าเพราะเขามีความสามารถในการถอดรหัสตัวเลขจึงต้องมาทำงานเป็นสายลับซึ่งเป็นภารกิจในการ ช่วยเหลือประเทศชาติ

ภูมิใจที่มีภรรยาที่สวย เก่ง และเป็นคนดี

ผู้ป่วยยอมรับว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น แต่ไม่คิดว่าตนเองเจ็บป่วยทางจิต

ผู้ป่วยมักมีสีหน้าเรียบเฉย แต่จะแสดงสีหน้า แววตา และท่าทีหวาดกลัวเมื่อพบจิตแพทย์

ผู้ป่วยบอกว่าเขาเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่การมีคนมาสะกดรอยตามทำให้เขากลัวและ กังวลอย่างมาก

ผู้ป่วยเป็นชายชาวตะวันตก วัยผู้ใหญ่ตอนต้น รูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้ม ไม่มัน ไม่มีรังแค ผิวขาว ปากแห้งเล็กน้อย เล็บมือและเท้าตัดสั้นสะอาด นั่งกุมมือและบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา แต่งตัวสะอาด สีหน้าวิตกกังวล แววตาหวาดระแวง ก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่

ผู้ป่วยเดินหลังค่อม มองซ้ายขวาเกือบตลอดเวลา

ผู้ป่วยรับสัมผัสได้ตามปกติ แต่บางครั้งผู้ป่วยพูดคนเดียวเหมือนกำลังสนทนากับใคร

ผู้ป่วยรับรู้วัน เวลา และสถานที่ได้ แต่บอกว่าจิตแพทย์ที่รักษาเขาเป็นสายลับรัสเชีย ผู้ป่วยจึงไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเท่าที่ควร

ผู้ป่วยมีความจำเฉพาะหน้า (Immediate and Recall memory) ความจำระยะสั้น (Recentmemory) และความจำระยะยาว (Remote memory) เป็นปกติ สามารถจำกลุ่มตัวเลขยากๆยาวๆได้เป็นอย่างดี

ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ตอนต้น จบการศึกษาระดับปริญญาเอก มีความรู้ความเข้าใจและมีสติปัญญาในระดับอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์


ผู้ป่วยมีความตั้งใจและสมาธิดี ถึงขั้นหมกมุ่นกับบางเรื่องที่มีความสนใจเป็นพิเศษ

ผู้ป่วยตัดสินใจได้ค่อนข้างเหมาะสม แต่คิดช้า และมีท่าทีหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา

ผู้ป่วยยังคงมีความเชื่อว่าตนเองเป็นสายลับของกระทรวงกลาโหม และกำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับรัสเซีย

ผู้ป่วยถามตอบรู้เรื่อง โดยจะพูดตะกุกตะกักในบางครั้ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ การถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว

การรักษาด้วยยา

ยารับประทาน

ยาฉีด

  1. Perphenazine (เพอเฟนนาซีน)
  1. Clozapine (คลอซาปีน)

:4. Haloperidol (ฮาโลเพอริดอล)

  1. Risperidone (ริสเพอริโดน)
  1. Trifluoperazine (ไดฟลูโอเพอราซีน)
  1. Ziprazidone (ไซพราซิโดน)
  1. Zuclopenthixol acetate
  1. Olanzapine (โอลันซาปีน)
  1. Thioridazine (ไทโอริดาซีน)

ผลข้างเคียง : มีปฏิกิริยาของระบบประสาทที่รุนแรง กล้ามเนื้อแข็ง มีไข้สูง มีเหงื่อออก รู้สึกสับสน หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ตัวสั่น รู้สึกคล้ายจะเป็นลม

ผลข้างเคียง : อาการร้อนรน กล้ามเนื้อออ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน อาการนอนไม่หลับ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ท้องผูก

ผลข้างเคียง : เวียนศีรษะ ง่วงซึม ปากแห้ง กระสับกระส่าย เบื่ออาหาร ท้องเสีย

ผลข้างเคียง : เวียนศีรษะ ปากแห้ง ท้องผูก ท้องเสีย ง่วงซึม ท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน อาเจียน และคัดจมูก

ผลข้างเคียง : น้ำหนักตัวเพิ่ม เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ง่วงซึม สั่น กระสับกระส่าย คลื่นไส้ ท้องผูก มีน้ำลายมาก มองเห็นไม่ชัด หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อออกมาก

ผลข้างเคียง : ปากแห้ง ปวดหัว เจ็บคอ ท้องเสีย น้ำหนักขึ้นหรือง่วงซึม

ผลข้างเคียง : ง่วงนอน เวียนศีรษะ หน้ามืด น้ำลายไหล คลื่นไส้ น้ำหนักเพิ่ม หรืออ่อนเพลีย

ผลข้างเคียง : อ่อนแรงมาก มีไข้ เป็นผื่น ต่อมในร่างกายบวม คล้ายเป็นหวัด ปวดกล้ามเนื้อ

  1. Aripiprazole (เอริพิพราโซน)

ผลข้างเคียง : เครียด กระวนกระวาย ร่างกายกระตุกขณะเคลื่อนไหว

การรักษาด้วยไฟฟ้า

ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ มีเหม่อลอยบ้างเล็กน้อย

การรักษาด้านจิตสังคม

  1. Zuclopenthixol decanoate
  1. chlorpromazine (คลอโปรมาซีน)
  1. Fluphenazine decanoate
  1. Flupenthixol decanoate
  1. Haloperidol decanoate
  1. Diazepam

ผลข้างเคียง : ง่วงซึม ปากแห้ง ปวดศีรษะ ผิวหนังไวต่อแสงแดด ตาสู้แสงไม่ได้ บางรายอาจมีอาการข้างเคียงทางระบบประสาท

ผลข้างเคียง : อาการบวมที่ใบหน้าริมฝีปากหรือลิ้น คันที่ผิวหนังรุนแรง

ผลข้างเคียง : อาการบวมที่ใบหน้าริมฝีปากหรือลิ้น

ผลข้างเคียง : เวียนศีรษะ ปากแห้ง ท้องผูก ท้องเสีย ง่วงซึม เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน อาเจียน และคัดจมูก

ผลข้างเคียง : ท้องผูก ท้องเสีย เวียนศีรษะ ง่วงซึม กระสับกระส่าย

ผลข้างเคียง : เวียนศีรษะ ง่วงซึม ปากแห้ง กระสับกระส่าย ท้องเสีย เบื่ออาหาร

ผลข้างเคียง : ง่วงซึม นอนไม่หลับ ฝันร้าย ปวดศีรษะ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก เดินเซ หายใจลำบาก พูดลำบาก

  • Thorazine 30 mg IM q 6 hrs
  • Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn

เป็นวิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ

ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว สับสน สูญเสียความจำชั่วคราว บางรายอาจถึงขั้นกระดูกหัก ข้อเคลื่อน หรือเสียชีวิตได้ก็มีโดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคจำพวก โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับสมอง โรคเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อ

  • โดยพิจารณาการรักษาด้วยไฟฟ้าร่วมกับการใช้ยา

6.การป้องกันการเกิดอาการกำเริบ

5.การบำบัดที่เน้นอารมณ์

7.การบำบัดที่เน้นผู้ดูแล

8.การบำบัดที่เน้นพฤติกรรม

9.การบำบัดที่เน้นเรื่องการกระตุ้น

10.การใช้สัมพันธภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด

4.การบำบัดที่เน้นการฝึกทักษะ

3.การบำบัดที่เน้นการฝึกแก้ปัญหา

2.การบำบัดที่เน้น Cognitive

1.สุขภาพจิตศึกษา

:

ข้อวินิจฉัยการพยาบาล

พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551

มาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต คือ มีภาวะอันตราย หรือ มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจโดยเร็ว

มาตรา 24 เมื่อพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งหรือพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต ให้ดำเนินการนำตัวผู้นั้นไปยังสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยไม่สามารถผูกมัดร่างกายของบุคคลนั้น เว้นแต่ความจำเป็น

มาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา

มาตรา 25 ผู้รับผิดชอบดูแลสถานคุมขัง สถานสงเคราะห์ พนักงานคุมพฤติกรรม ถ้าพบบุคคลที่อยู่ในความดูแลมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต ให้ส่งตัวบุุคลนั้นไปสถานพยาบาลโดยเร็ว

มาตรา 21 การบำบัดจะกระทำต่อได้เมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายความจำเป็นในการบำบัดรักษา รายละเอียดและประโยชน์ของการบำบัดรักษา ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย ในมาตรา 22

มาตรา 26 ในกรณีฉุกเฉินเมื่อพนักงานเจ้าหน้ที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจำได้รับแจ้งตามมาตรา 22 ให้มีอำนาจนำตัวบุคคลนั้นหรือเข้าไปในถานที่ใดๆ เพื่อนำตัวบุคคลนั้นส่งสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบำบัดรักษาซึ่งอยู่ใกล้โดยไม่ชักช้า

มาตรา 18 การรักษาทางจิตด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy: ECT) ให้กระทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องรับทราบถึงเหตุผลความจำเป็น ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ประโยชน์ของการบำบัด

มาตรา 30 คณะกรรมการบำบัดรักษากำหนดวิธีารและระยะเวลาการบำบัดรักษาตมความรุนแรงของความผิดปกติทางจิต แต่ต้องไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่ง ขยายระยะเวลาได้อีกครั้งละไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งครั้งแรกหรือครั้งถัดไป

มาตรา 17 การบำบัดโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผูู้ป่วยจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่เป็นคงามจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อตัวผู็ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น

มาตรา 34 เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย ให้คณะกรรฒการสถานบำบัดรักษามีอำนาจสั่งย้ายผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาในสถานบำบัดรักษาอื่นได้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

-มีภาวะอันตราย

-มีความจำเป็นที่ต้องๆด้รับการบำบัดรักษา

มาตรา 27 การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้น ต้องให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่บุคคลนั้นมาถึงสถานพยาบาล

มาตรา 29 สถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต มีหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำส่ง หรือส่งต่อจากแพทย์ ให้ตรวจวินิจฉัยและระเมินอาการบุคคลนั้นโดยละเอียด ภายใน 30 วัน และให้มีการพิจารณาว่าบุคคลนั้นต้องเข้ารับการบำบัดรักษาหรือไม่

เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและผู้อื่น เนื่องจากมีอาการหลงผิดและประสาทหลอน

ข้อมสนับสนุน

เกณฑ์การประเมิน

วัตถุประสงค์

กิจกรรมการพยาบาล

S: ผู้ป่วยบอกว่า “ถูกปองร้ายเห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน”



S:ผู้ป่วยบอกว่า “ได้ยินเสี่ยงวิลเลี่ยมบอกให้ห้ามภรรยาที่กำลังโทรหาโรงพยาบาลและสั่งให้ทำร้ายภรรยาว่าคุณต้องหยุดเจอจอร์น เธอจะเผยความลับของเราอีกและคุณจะถูกเข้าโรงพยาบาล และบอกอีกว่าห้ามเธอซะ

S:ผู้ป่วยบอกว่า “เห็นคนพยายามตามทำร้าย”

O: ผู้ป่วยมีประวัติทำร้ายตนเองและผู้อื่น

O:ผู้ป่วยมีประวัติทำร้ายข้าวของ

เพื่อป้องกันการทำร้ายตนเองและผู้อื่น

1.ผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น

2.ผู้ป่วยควบคุมตนเองได้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า

click to edit

  1. สร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ
  1. จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ปราศจากอาวุธ เพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเองและผู้อื่น
  1. ยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง และไม่ควรนำคำพูดของผู้ป่วยไปพูดล้อเล่น เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
  1. การให้ความจริง โดยใช้คำพูดให้ผู้ป่วยรับรู้ เช่น "เสียงนั้น" แทนคำว่า "เขา" หรือ"ภาพที่คุณเห็นเป็นอย่างไรคะ"ตลอดการสนทนาบอกให้ผู้ป่วยรับทราบว่าพยาบาลรับรู้อย่างไร เช่น "คุณได้ยินเสียงคนพูด แต่ฉันไม่ได้ยินอะไร" เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในโลกความเป็นจริง
  1. สังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น การหยิบจับสิ่งของ การเข้าใกล้คนอื่น เพื่อเฝ้าระวังการทำร้ายตัวเองและคนอื่น
  1. หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วย และไม่ควรใช้ภาษาหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความสงสัยหรือตีความได้ไม่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดคิดว่าพยาบาลจะเข้าไปทำร้าย

บกพร่องในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัว

ข้อมูลสนับสนุน

S: ผู้ป่วยบอกว่า “ถูกปองร้าย เห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน”

S: ผู้ป่วยบอกว่า “ได้ยินเสียงวิลเลี่ยมบอกให้ห้ามภรรยาที่กำลัง โทรหาโรงพยาบาลและสั่งให้ทำร้ายภรรยาว่า คุณต้องหยุดเธอจอห์น เธอจะเผยความลับของเราอีกและคุณจะถูกเข้าโรงพยาบาล และบอกอีกว่าห้ามเธอซะ”

S: ผู้ป่วยบอกว่า “เห็นวิลเลี่ยมกำลังจะทำร้ายภรรยาของตนเอง”

S: ผู้ป่วยบอกว่า “เห็นคนพยายามตามทำร้าย”

O: ผู้ป่วยมีประวัติ ทำร้ายตนเอง และผู้อื่น

O: ผู้ป่วยมีประวัติ ทำลายข้าวของ

วัตถุประสงค์

เพื่อป้องกันการทำร้ายตนเองและผู้อื่น

เกณฑ์การประเมิน

1.ผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น

2.ผู้ป่วยควบคุมตนเองได้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า

กิจกรรมการพยาบาล

  1. สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอด้วยท่าทีเป็นมิตร โดยใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเงียบพยายามสบตาและสัมผัสผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ผู้ป่วยทราบว่าพยาบาลเห็นใจ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและระบายความรู้สึกออกมา
  1. สอนวิธีแสดงออกอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยมีอารมณ์มั่นคงมากขึ้น
  1. ให้ผู้ป่วยได้มีกิจกรรมเข้ากลุ่มบำบัด ลดเวลาการอยู่คนเดียว เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
  1. กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกอื่น และพยาบาลควรให้กำลังใจหรือเสริมแรง เพื่อให้ผู้ป่วยสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น

พร่องกิจวัตรประจำวันเนื่องจากไม่สนใจดูแลตัวเอง

มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรค

ข้อมูลสนับสนุน

O: ผู้ป่วยมีหนวด เครายาว

O: ผู้ป่วยผมยาว

O: ผู้ป่วยไม่ค่อยรับประทานอาหาร

O: ผู้ป่วยมีรูปร่างผอม

วัตถุประสงค์

ไม่พร่องกิจวัตรประจำวัน

เกณฑ์การประเมินผล

  1. ผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายของตัวเองได้
  2. ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

กิจกรมมการพยาบาล

  1. กระตุ้นเเละดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในการรับประทานอาหารและน้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
  1. กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน โกนหนวด เครา และตัดผมให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อดูแลสุขลักษณะของผู้ป่วยให้สะอาดอยู่เสมอ
  1. ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้
  1. บันทึกการรับประทานอาหารและชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์ เพื่อประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย

วัตถุประสงค์

เกณฑ์การประเมิน


1.ผู้ป่วยรับประทานยาและไม่ซ่อนยา
2.ครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น

กิจกรรมการพยาบาล

1 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการกลับมาเป็นซ้ำ

2 ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย การร่วมมือในการรักษาด้วยยา เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย

3 ให้ความรู้กับผู้ป่วยและครอบครัว ถึงพยาธิสภาพของโรค แผนการรักษาพยาบาล เพื่อร่วมกัน

ให้การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสมกับโรค

4 สอนให้ผู้ป่วยและครอบครัว สังเกตอาการเตือนก่อนอาการทางจิตกำเริบ เช่น เริ่ม

หงุดหงิดง่าย ไม่นอนหรือนอนไม่หลับ อาจเริ่มมีอาการประสาทหลอน รวมถึงมีพฤติกรรม

ไม่ร่วมมือ เช่น ทิ้งยา ไม่กินยา พูดห้วน และตาขวาง ให้รีบมาพบแพทย์

5 เสริมสร้างพลังอำนาจ และสอนทักษะการจัดการกับความเครียด แก่ครอบครัว ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้เข้าใจในเรื่องโรคของผู้ป่วย

6 ให้ข้อมูลในแหล่งที่สามารถช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน แก่ครอบครัว เพื่อป้องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและช่วยเหลือได้ทันที

ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

ข้อมสนับสนุน

O: ผู้ป่วยมีประวัติ ไม่รับประทานยา ซ่อนยา

O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่เข้าใจความเจ็บป่วยของผู้ป่วย

O: ครอบครัวมีประวัติ ทะเลาะเบาะแว้งกับอาการหลงผิดของผู้ป่วย

O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่พาผู้ป่วยมารับการรักษา

O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วยให้ได้รับประทานยา ต่อเนื่อง

นางสาวพรรณศา คงแจ่ม ปี3 ห้อง A