Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
JAZZ - Coggle Diagram
JAZZ
History
ยุคบีบ๊อพ ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 1940 เกิดจากดนตรีแจ๊สแนวสวิง มีลักษณะโครวสร้างที่ซับซ้อนทั้งทำนอง จังหวะแปลกๆเดี่ยวดนตรีมักจะเป็นผู้เป่าแซ็กโซโฟนหรือทรัมเปท โดยมีกลุ่มให้จังหวะคือเปียโน เบส กลอง และเครื่องเคาะอื่นๆ
ยุคคูลแจ๊ส ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 และช่วงต้นทศวรรษ 1950 เป็นดนตรีที่เล่นช้ามีความนุ่มนวลกว่า บีบ๊อพเพราะคนตรีนี้ฟังสบายๆดูเรียบๆดนตรีชนิดนี้มีความนิยมจากนักดนตรีฝั่ง ตะวันออก
แจ๊สยุคใหม่มิได้ปรากฏออกมาอย่างฉับพลันแต่ปรากฏทีละน้อยในผลงานของศิลปินหลายคนเช่น ดิซซี กิลเลสปี, ธีโลเนียส มังค์ ด้วยแนวคิดทดลองสร้างรูปแบบใหม่ขึ้นมา
ยุคฟรีแจ๊ส อยู่ในช่วงราวทศวรรษที่1960คือดนตรีแจ๊สที่เล่นด้นสด ที่มีทำนองหลัก บวกกับการเล่นสดหรือเรียกว่า อิมโพรไวซ์ ซึ่งในวงจะมีแปดคน ทำหน้าที่ของแต่ละคนทั้งทำนอง รูปแบบการประสานเสียงและการอิมโพรไวซ์
ยุคสวิงและบิ๊กแบนด์ ในช่วงปี 1920-1945 ความหมายของสวิงคือแกว่ง ซึ่งในที่นี้คือความรู้สึกที่เป็นอิสระจากบทเพลงบางครั้งเหมือนดูแข่ง กระด้างซึ่งเป็นลีลาที่นิยมเล่นกันในวงใหญ่คือบิ๊กแบนด์ซึ่งประกบด้วย สตริง เบส ฉาบไฮแฮท ทำให้เกิดวงบิ๊กแบงขึ้น
ยุคฟิวชั่น ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 หรือเรียกอีกอย่างว่าแจ๊สร๊อค ลักษณะของดนตรีรูปแบบนี้คือ การผนวกการด้นสดในการบรรเลงดนตรี โดยการใช้รูปแบบจังหวะ และสีสันของเพลงร็อค ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดั้งเดิมและเครื่องดนตรีไฟฟ้า
ยุคชิคาโก ในช่วงปี 1914-1920 ตอนนั้นเกิดสงครมโลกครั้งที่หนึ่งทำให้คนจากนิวออลีนส์อบผยพไปยังชิคาโก ซึ่งในชิคาโกจะมีย่าน เซาไซด์ ซึ่งเป็นแหล่งที่รวมตัวกันของนักดนตรีที่อพยพจากนิวออลียน และชาวชิคาโกท้องถื่น ทำให้เกิดการผสมผสานดนตรีขึ้นซึ่งมีความซับซ้อนจากเดิม
นิวออร์ลีนหรือดิกซีแลนด์ (NewOrleans-Dixieland) ช่วงเวลาประมาณ 1900 ถึง 1917 ดนตรีแจ๊สที่เมือง นิวออร์ลีนที่รู้จักในนามของ ดิกซีแลนด์ลักษณะดนตรีแจ๊สแบบดิกซีแลนด์
-
Style
แนวดนตรี
แนวดนตรีของแจ๊สมีความหลากหลายไม่ตายตัว และมีจังหวะที่ซับซ้อน และมักจะเล่นด้นสด หรือแม่แต่การเล่นลัดจังหวะ มีทั้งช้าเร็ว มีการนำไปผสมกลายเป็นแจ๊สที่หลากหลายให้ชื่นชมทั้งแจ๊สออร์เคสตรา หรือความเป็นเอกลักษณ์อย่างฟรีแจ๊ส
-
Social Impac
แจ๊สถูกทำให้รู้จักไปทั่วโลกในชั่วของสงครามเย็นจากการเผยแพร่วัฒนธรรมของอเมริกา ซึ่งหลังจากสงครามเย็นแจ๊สถูกรู้จักผ่านการเล่นดนตรีในผับ บาร์ เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับร้านที่ขายแอลกอฮอล์ไปเลยทีเดียว และมีคนหันมาสนใจในดนตรีแจ๊สมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งที่รู้จักกันอยู่ทั่วไป
แจ๊สเป็นดนตรีที่เหมือนสัญลักษณ์ของคนชั้นต่ำ แรงงานาสในยุคสมัยแรกเริ่มของดนตรีแจ๊สเนื่องจากดนตรีแจ๊สมักถูกเล่นอยู่ในกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นทาสในยุคนั้น แต่เมื่อระบบชนชั้นหายไปมีคนที่สนใจในดนตรีแจ๊สมากขึ้น แจ๊สก็ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความชั้นต่ำอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเล่นแจ๊สได้อย่างไม่แบ่งแยกสีผิว
Whiplash
Whiplash เล่าเรื่องความฝันของ แอนดรูว์ นีแมนนักศึกษาสาขาดนตรีคนหนึ่งเขามีความฝันที่อยากจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และถูกจดจำดังเช่น"บัดดี ริช"มือกลองในวงแจ๊สที่มีตัวตนอยู่จริงหลังจากที่เขาได้สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านดนตรี เขาก็ได้พบกับ เทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์ ผู้ที่เป็นคนคุมวงดนตรีแจ๊สของมหาลัยเขาได้มาตามหาบางอย่างในวงที่ แอนดรูว์อยู่และได้เลือกแอนดรูว์ไปอยู่ในวงของเขา แต่หลังจากที่เขาได้ลองเล่นกับวงก็ได้ถูก เทอเรนซ์ บอกว่ามันผิดจังหวะและได้ทำการนับจังหวะด้วยการตบหน้าของแอนดรูว์ในจังหวะที่ 4 เพื่อให้เขาตอบว่าจังหวะมันเร่งหรือลาก แต่การกระทำนั้นแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของ เทอเรนซ์เป็นอย่างที่สุดรวมถึงการที่เขาคว้าเก้าอี้ใส่ หรือการพูดกดดัน ถึงแม้การพูดกดดันอาจจะเป็นแรงพลักดันอย่างยิ่งใหญ่ให้ใครหลายคนพัฒนาตัวเองแต่ในขณะเดียวกันควากดดันที่มากเกินไปก็สร้างความเครียดขึ้นมาโดนไม่รู้ตัว เหมือนกับศิกย์เก่าของเทอเรนซ์ทั้งที่เขากำลังไปได้ดีในวงการแจ๊สแต่กลับจบชีวิลงด้วยการฆ่าตวตายเพราะความเครียด หลังจากนั้นแอนดรูว์ได้กลับไปฝึกอย่างหนักจนเลือดตกยางออก ไม่นานการแสดงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเพราะแอนดรูว์ทำสมุดโน้ตของมือกลองหายเขาที่จำโน้ตได้ทั้งหมดจึงได้ขึ้นเล่นแทน หลังจากงานแสดงทุกอย่างดูเหมือนจะดำลังเข้าที่เข้าทางแต่แล้ว เทอเรนซ์ก็ได้พามือกลองคนใหม่มาทำให้แอนดรูว์รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก แอนดรูว์ยังคงพยายามอย่างหนัก ในการซ้อมที่ เทอรเรนซ์ บังคับให้สลับมือกลองไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีคนที่ตีได้ในจังหวะ 400 ครั้งต่อนาทีถือเป็นการถ้าทายความสามารถอย่าที่สุดและแล้วแอนดรูว์ก็ทำได้ แต่ในวันที่มีการแสดงแอนดรูว์พลาดที่มาสายและยังลืมไม้กลองจนสุดท้ายเขาที่รีบไปให้ทันก็เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ขึ้นแต่เขายังคงพยายามที่จะขึ้นไปเล่นถึงแม่มันจะเละไม่เป็นท่าและเขาก็ถูกไล่ออกจากวงและมหาวิทยาลัย เขาล้มเลิกความฝันของตัวเองเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับกลองและดนตรีไว้ในห้องเก็บของ หลังจากนั้นเขาได้พบกับ เทอเรนซ์อีกครั้งในการแสดงในร้านแห่งหนึ่งพวกเขาพูดคุยและเทอเรนซ์ได้ทำการชวนแอนดรูว์ไปขึ้นแสดงในวงที่เขาควบคุมตอนนี้ แอนดรูว์ตัดสินใจที่จะกลับไปเล่นแต่แล้วเขาก็ได้พบความจริงที่ว่า เทอเรนซ์ตั้งใจที่จะหักหน้าเขาบนเวทีเขาไม่มีโน้ตเพลงใหม่ที่เทอเรนซ์ก็ไม่เคยบอกเขาเสียแต่เขาก็กลับมาและเริ่มเล่นโซโล่นำจนดนตรีเข้าจนจบเขายังคงอยู่ในโลกของตัวเองจนจบเรื่องนี้ เรื่องนี้เปนเรื่องที่สะท้อนหลายอย่างความกดดันเป็นสิ่งที่ดีในการผลักดันตนเองมากแค่ไหนก็ส่งผลร้ายต่อตัวเองมากเท่านั้น รวมไปถึงท้ายที่สุด เราหนีความรับผิดชอบจากการตัดสินใจเลือกของเราไม่พ้น หนังที่แสดงด้านของความเป็นจริงที่อาจไม่สวยงามเหมือนในหนังหรือละคร