Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 40 ปี :boy::skin-tone-4:, รับใหม่ ER. :red_flag:,…

- - - - เป็นกลุ่มที่เลือดออกเองในสมองจากหลอดเลือด แดงสมองขนาดเล็ก (perforating artery) ตรวจ ทาง neuroimaging เช่น cerebralangiogram, CT angiogram ไม่พบความผิดปกติของ หลอดเลือดสมอง ซึ่งมีสาเหตุจาก chronic hypertension หรือ amyloid angiopathy
        
        Amyloidangiopathy เกิดจากความ เสื่อมของหลอดเลือดเนื่องจากมีbeta amyloid protein เกาะหลอดเลือด มักพบในผู้ป่วยสูงอายุ อาจมีอาการโรคสมองเสื่อมร่วมด้วยส่วนตำแหน่ง เป็น lobar hemorrhage โดยเฉพาะบริเวณ parietooccipital lobe และความดันโลหิต มักไม่สูง
    - - เป็นกลุ่มที่เลือดออกจากพยาธิสภาพที่หลอดเลือด สมองซึ่งสามารถตรวจพบได้และสาเหตุอื่นๆ เช่น cerebral aneurysm, arteriovenous malformation, cavernous malformation, coagulopathy, cerebral venous thrombosis
  - - - • Subfalcine (cingurate) herniation เป็นการขยายของสมอง โดยมากจะเป็นส่วน cerebral hemisphere ทําให้ไปกดสมองส่วน cingurate gyrus ให้เคลื่อนไปอยู่ใต้ต่อ falx cerebri การ herniation แบบนี้อาจทําให้มีการกดทับของ anterior cerebral artery
      - • Transtentorial herniation :check: เป็นการเคลื่อนของ medial aspect of temporal lobe of cerebral hemisphere ผ่านขอบของ tentorium cerebelli
        
        การ herniation แบบนี้อาจทําให้มีการกดทับของ posterior cerebral artery ทําให้มีเลือด ไปเลี้ยงสมองส่วน occipital lobe :arrow_down:
        
        ซึ่งสมองส่วนดังกล่าวมีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น ผู้ป่วยจึงมีอาการ ตาบอดไปหนึ่งซีก (hemianopia) :
        
        นอกจากนี้ยังอาจเกิดการกดเส้นประสาทสมองเส้นที่ 3 ทําให้มีความผิดปกติ ของรูม่านตา การควบคุมหนังตา และการกลอกตา :face_with_rolling_eyes:
        
        อาจพบภาวะเลือดออกใน midbrain และ pons ต่อเนื่อง ตามมาเรียก secondary brain stem hemorrhages หรือ Duret hemorrhage
      - • Tonsillar herniation :check: เป็นการเคลื่อนของสมองส่วน cerebellar tonsil ผ่าน foramen magnum
        
        เป็นภาวะคุกคาม :warning: ต่อการเสียชีวิตที่สําคัญภาวะหนึ่ง เพราะมีการกดของสมองส่วน medulla oblongata ซึ่งเป็นที่อยู่ของศูนย์ควบคุมการหายใจและศูนย์ควบคุมการเต้นของหัวใจ
        
        กดการหายใจ :nose:
        
        อัตราการหายใจลดลง :arrow_down:
        
        ยับยั้ง :no_entry: reticular activating system (RAS)
        
        หมดสติ :warning:
        
        left to right subfalcine herniation with about 1.7-cm shifting of midline structures to the right, bilateral descending transtentorial herniation, and tonsillar herniation
    - - วันที่ 21/3/64 ได้รับยาขับปัสสาวะ 20% Manitol 200 ml IV drip in 30 min
        
        ยานี้จะออกฤทธิ์ดึงน้ำจากสมองสู่พลาสม่าลดการดูดกลับของน้ำเพิ่มการขับปัสสาวะ เเต่ไม่เพิ่มการขับโซเดียม
      - ไปกดเนื้อสมอง :arrow_right: ทำให้สมองขาดเลือด
  - - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อให้มีความสมดุลอิเล็กโตรไลต์
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของHypokalemia ได้แก่ อ่อนเพลีย มีตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        K = 3.4 –4.5 mmol/L
        
        Intake = Output
        
        EKG ปกติ
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของHypokalemia ได้แก่ อ่อนเพลีย เป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ เพื่อวางแผนการพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
        
        ประเมินวัดสัญญาณชีพทุก 1ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        
        ทำ EKG 12 lead เพื่อติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
        
        ดูแลให้ได้รับ 0.9% NSS 1000 ml + KCl40 mEqIV rate 80 ml/hrตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มสารน้าสารอาหารและโพแทสเซียมในเลือด
        
        สังเกตผลข้างเคียงของKClได้แก่ คลื่นไส้ ลมพิษ หายใจลาบาก บวมตามใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลาคอ หัวใจเต้นช้า เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของKClและติดตามติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจหลังจากได้รับยา
        
        ดูแลภาวะ IICPที่เป็นสาเหตุของภาวะ ของHypokalemiaเหมือนกับข้อวินิจฉัยข้อที่ 1
        
        บันทึกสารน้าเข้า –ออก ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อประเมินสมดุลน้าในร่างกาย
        
        ติดตามค่าอิเล็กโตรไลต์ทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ K 9. หากผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ แนะนาให้รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ แตงโม กล้วยมะเขือเทศ ผักโขม ฝรั่ง ผีกชี เพื่อเพิ่มโพแทสเซียมและสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
      - ประเมินผล
        
        วันที่ 22/3/64
        
        ไม่ได้บอกอาการและอาการแสดงของHypokalemia ได้แก่ อ่อนเพลีย มีตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        K = 3.4 –4.5 mmol/L (ไม่ได้บอกผล)
        
        Intake = Output (ไม่ได้บอกผล)
        
        EKG ปกติ (ไม่ได้บอกผล)
    - - O :
        
        21/3/2564 เวลา 8.00 น.
        เกร็งเเขนขา หมดสติ ปัสสาวะ อุจาระราด ไม่รู้สึกตัว E1M1Vt
        
        จากผล CT Scan พบ 8.3x5.8x5.2-cm intraparenchymal hematoma in left basal ganglia and left frontal lobe
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา โดยดูแลทางเดินหายใจให้โล่งอยู่เสมอ โดยการจัดท่าให้เหมาะสม ในผู้ป่วยที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวควรใส่ Oral หรือ Nasal airway เพื่อป้องกันลิ้นตก และช่วยให้ดูดเสมหะได้สะดวก เมื่อดูดเสมหะในผู้ป่วย ต้องระวังเป็นพิเศษ ก่อนดูดเสมหะ ควรให้ออกซิเจน 100% (Hyperventilation) และการดูดเสมหะแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 10-15 วินาที แม้จะมีเสมหะมากก็ควรให้ออกซิเจนก่อนจึงดูดครั้ง เพื่อป้องกันมิให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์
        2 . ประเมินเสียงปอด และแรงดันก๊าซในหลอดเลือดแดง หรือ วัดระดับความเข้มข้นของออกซิเจนใน
        เลือด ควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวิเคราะห์แก๊สในเลือดแดงให้มีค่า PaO2 มากกว่า 70 มม.ปรอท บางรายอาจใช้ PEEP เพื่อปรับระดับออกซิเจนในเลือด ในผู้ปุวยที่ปอดทำหน้าที่บกพร่อง จะทำให้ลดความดันในสมองได้
        3 . ดูเเลส่งเสริมการไหลกลับของเลือดจากสมอง โดยจัดให้นอนศีรษะสูง 30 องศา ซึ่งต้องดูแลให้คออยู่ในท่าตรงไม่ก้มคอมากเกินไป เพราะจะขัดขวางการไหลของเลือดดาสู่หลอดเลือดจุกูลาร์ ขณะเปลี่ยนท่านอนต้องระวังไม่ให้คอหมุนบิด ก้มหรือเหยียดเกินไป หรือทำให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจ หลีกเลี่ยงการงอสะโพก (งอมากกว่า 90 องศา) ซึ่งจะทำให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจลำบาก
        4 . ดูเเลลดภาวะสมองบวม โดยการให้ยาตามแผนการรักษา คือ ได้รับยาขับปัสสาวะ 20% Manitol 200 ml IV drip in 30 min จะเพิ่มการขับน้าออกจากสมอง ลดปริมาณ CSF และเพิ่มการซึมผ่านเนื้อเยื่อ ซึ่งใช้ได้ผลในการลดความดันสมองที่เกิดขึ้นในเวลารวดเร็ว พยาบาลดูติดตามบันทึกสมดุลน้ำและอีเลคโตรไลท์ด้วย บันทึกจานวนน้าเข้าและออก ทุก 1 2 ชั่วโมง เพื่อประเมินสมดุลน้าในร่างกาย
        5 . ดูเเลให้งดน้ำงดอาหารทางปากตามเเผนการรักษาของเเพทย์
        6 . หลีกเลี่ยงเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มความดันในกะโหลกศีรษะ กิจกรรมบางอย่างทำให้ผู้ป่วยต้องกลั้นหายใจ เช่น การยกผู้ป่วยขึ้น การดูดเสมหะ การสัมผัสแรงๆ ที่ไม่ใช่การรักษา (Noxious stimuli) การปลุกผู้ปุวยที่กาลังหลับและกลอกตา เพิ่มความดันในสมองได้ ดังนั้นก่อนให้การพยาบาลควรบอก ผู้ป่วยเบาๆ ก่อนว่าจะทำอะไรให้แล้วจึงสัมผัสผู้ปุวยเบาๆ ที่หน้าและมือ ทั้งในผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดีและไม่รู้สึกตัว
        6.1 หลีกเลี่ยงการกระตุ้นผู้ป่วยด้วยเสียงดัง จะทำให้ผู้ป่วยตกใจ เพิ่มความดันในกะโหลกได้ แม้แต่เสียงเครื่องมือ เสียงพยาบาลคุยกัน
        6.2 หลีกเลี่ยงการพยาบาลใดๆอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจะกระตุ้นให้มีการเพิ่มความดันในกะโหลกศีรษะ ดังนั้นในการพยาบาลผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรเว้นช่วงว่างให้ผู้ป่วยได้พักอย่างน้อย 10 นาที
        7.ดูเเลควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ประเมินภาวะไข้โดยวัดอุณหภูมิทุก 2-4 ชั่วโมง
        ในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการภาวะความดันในกะโหลกสูง การมีไข้ทำให้การเผาผลาญในร่างกายเพิ่มขึ้น
        การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น เพิ่มความดันในกะโหลกศีรษะ การที่อุณหภูมิเพิ่มเพียง 37.8 องศาเซลเซียส ก็ต้องรีบเช็ดตัวลดไข้ให้ทันที ถ้าอุณหภูมิเกิน 38.5 องศาเซลเซียส อาจต้องใช้เครื่องลดอุณหภูมิ (Hypothermia) และให้ยาลดไข้พร้อมทั้งนำผู้ป่วยเข้าไปในห้องที่เย็น ในระหว่างการลดอุณหภูมิ ต้องดูแลไม่ให้ผู้ป่วยหนาวสั่นด้วย เพราะการสั่นจะทำให้เพิ่มความดันในกะโหลก ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีอาการเกร็งกระตุก เกร็งแอ่น ก็ต้องดูแลให้ได้รับยาควบคุมอาการชักเกร็ง
        8 . จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ เช่น ยกไม้กั้นข้างเตียงทุกครั้งหลังให้การพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเตียง
        9 . ดูแลผู้ป่วยให้นอนพักผ่อนช่วยผู้ป่วยทากิจกรรมต่างๆ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการพักผ่อนนอนหลับได้ ลดการกระตุ้นให้เกิดอาการชัก เนื่องจากความอ่อนเพลียที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทาให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดกระตุ้นให้เกิดการชักได้
        10 .ติดตามผล CT Scan เเละระดับความรู้สึกตัว
      - การประเมินผล
        
        วันที่ 22/3/64
        
        สัญญาณชีพพบ
        PR = 130 bpm, RR=20 bpm, BP = 140/96 mmHg
        
        ค่าความดันปกติภายในกะโหลกศีรษะจะมีค่าระหว่าง 80-180 มม.น้ำ (ไม่ได้บอกผล)
        
        ไม่ได้บอกอาการและอาการแสดงของความดันภายในกะโหลกศีรษะสูง ได้เเก่ ปวดศีรษะ อาเจียน จอประสาทตาบวม เกิดการชักแบบตัวเกร็งหลังแอ่นแขนขาเหยียดได้ ระดับความรู้สึกตัวลดลง มีอาการของสมองเคลื่อนต่ำเป็นต้น
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดความดันในกะโหลกศีรษะ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        1.1 V/S ปกติ BT = 36.5-37.4 °C,
        PR = 60-100 bpm, RR=16-20 bpm, BP = 80-120/60-90 mmHg
        
        ค่าความดันปกติภายในกะโหลกศีรษะจะมีค่าระหว่าง 80-180 มม.น้ำ
        
        ไม่พบอาการและอาการแสดงของความดันภายในกะโหลกศีรษะสูง ได้เเก่ ปวดศีรษะ อาเจียน จอประสาทตาบวม เกิดการชักแบบตัวเกร็งหลังแอ่นแขนขาเหยียดได้ ระดับความรู้สึกตัวลดลง มีอาการของสมองเคลื่อนต่ำเป็นต้น
    - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.สังเกตอาการและอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออกในสมอง เช่น อาการปวดศีรษะที่รุนแรง อาเจียน แขนขาอ่อนแรงมากขึ้น กระสับกระส่าย
        2.สัญญาณชีพปกติได้แก่ BT = 36.5-37.4oC, RR = 16 –20 bpm, PR = 60-100 bpm, BP = 80-120/60-90 mmHg -Sat O295 –100%
        
        ABGปกติ ได้แก่ pH = 7.35 –7.45, CO2 = 35 -45 mmHg, O2 = 80 –100 mmHg, HCO3 = 22 –26 mmol/L
        
        ผล CT scan ปกติ
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงการกาซาบเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงได้แก่ หายใจสั้น เร็ว กระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว ชัก หมดสติ เพื่อประเมินอาการสมองขาดออกซิเจน
        
        ดูเเลจัดท่านอนให้ศีรษะสูง 15 -30 องศา ดูแลศีรษะ ลาคอ และสะโพก ไม่พับงอมากกว่า 90 องศา เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองได้สะดวกและมีการไหลกลับของเลือดดาจากสมองดีขึ้น ห้ามจัดท่านอนคว่า
        
        เฝ้าระวังอาการทางระบบประสาท ทุก1ชั่วโมง เพื่อประเมินการได้รับเลือดไปเลี้ยงสมอง
        
        วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1ชั่วโมง และเฝ้าระวังภาวะพร่องออกซิเจน O2 Sat <95%หากพบความผิดปกติ ให้รีบรายงานแพทย์ทราบ
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและดูแลทางเดินหายใจให้โล่งเพื่อเพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
        5.1. ดูแลเครื่องช่วยหายใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ PCV mode PIP 12 PEEP5 cmH2O FiO2 0.21 เพื่อให้ได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการร่างกาย
        5.2. ดูแลให้ ETT No 6.5 Depth22 cm ให้mask tube อยู่ที่มุมปาก ดูแลไม่ให้เกิดการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ และตรวจวัดปริมาณ Cuff pressure ทุกเวรให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม คือ 20-30 mmHg เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกชิเจนอย่างเพียงพอ
        5.3. ฟังเสียงปอด เพื่อประเมินสิ่งคัดหลั่งภายในปอด หากพบว่ามีเสมหะให้ทาการ Suction เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
        6 .ดูแลให้พักผ่อนบนเตียง หลีกเลี่ยงการรบกวนผู้ป่วยให้มากที่สุด จัดสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงบ ให้ผู้ป่วยพักผ่อน เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        7 . ติดตาม ค่าABGและผล CT scan เพื่อติดตามภาวะสมองขาดออกซิเจน
      - การประเมินผล
        
        วันที่ 22/3/64
        1.ไม่ได้บอกอาการและอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออกในสมอง เช่น อาการปวดศีรษะที่รุนแรง อาเจียน แขนขาอ่อนแรงมากขึ้น กระสับกระส่าย (ไม่ได้บอกผล)
        2.สัญญาณชีพพบ RR = 20 bpm, PR = 130 bpm, BP = 140/96 mmHg - Sat O2 98%
        
        ABGปกติ (ไม่ได้บอกผล)
        
        ผล CT scan (ไม่ได้บอกผล)
- - - - RR : 20 bpm
        
        HR : :<3: 130 bpm
        
        BP : 200/130 mmHg.
      - ร่างกายต้องการ O2 เเละพลังงานเพิ่มขึ้น
        
        อัตราการเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น
        
        ของเสียจากการเผาผลาญ CO2 lactate
        
        หลอดเลือดสมองขยายตัว
    - - AW below right eye
        
        Abrasion wound /AW. = แผลถลอก
        
        เเผลถลอกที่ตาขวาล่าง :eye:
      - knee ขวาเข่าถลอก
    - - Tachycardia :<3: :arrow_up:
    - - Pupil 4/4 Fixed dilated :eyes:
        
        รูม่านตามีขนาดใหญ่เเละไม่มีปฏิริยาต่อเเสง :red_cross:
        
        เกิดจากเนื้อเยื่อสมอง ขาด :red_cross: O2 หรือ ขาดเลือดอย่างรุนเเรง
- - - - มีการเลื่อนของสมอง brain herniation
        
        โดยมีการเลื่อนของสมองบริเวณกึ่งกลางไปทางขวาประมาณ 1.7 ซม.
        
        GCS พบ E1M1Vt pupil 5 mm. fixed
        
        ดูเเล On Ventilator PCV mode
        
        PCV คือเครื่องช่วยหายใจชนิดที่ควบคุมการทำงานด้วยเเรงดัน ซึ่งทำงานโดยอาศัยเเรงดันส่งอากาศ เข้าไปในตัวผู้ป่วยจนถึงความดันตามที่ตั้งไว้ เเล้วเครื่องจะหยุด :no_entry:เเล้วเปลี่ยนเป็นการหายใจออกทันที :outbox_tray:
        
        อาจไดรับอันตราย :warning: จากการได้รับเเรงดันสูงได้
        
        1 more item...
        
        on ETT No.6,5 Depth 22 ventilator : PCV PIP
        12 cmH20 PEEP 5 cmH2O FiO2 0.21 %
        
        :red_cross:
    - - เนื่องจากลักษณะของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงจะมีความเปราะบาง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแตกของหลอดเลือดได้ง่าย
    - - ปริมาณการไหลเวียนเลือดมายังสมอง :arrow_down:
        
        ระดับ CO2 ในเลือด :arrow_up:
        
        สมองมีภาวะเป็นกรด :arrow_up:
        
        หลอดเลือดสมองขยาย :left_right_arrow: ปริมาณการไหลเวียนเลือดในสมองเพิ่มขึ้น
        
        O2 ในเลือด :arrow_down:
        
        การกำซาบของเนื้อเยื่อสมองจึงลดลง
        
        เซลล์อาศัยกระบวนการสร้างพลังงานโดยไม่ใช้ออกซิเจน
        
        2 more items...
        
        Na Ca เข้าภายในเซลล์สมอง
        
        สมอง :red_cross: เก็บ K
      - เลือดที่ออกมารวมตัวกันเป็นก้อนเลือด
        
        สะสมปริมาณจากก้อนเล็กกลายเป็นก้อนใหญ่
        
        เบียดเเทนที่เนื้อสมองที่มีการเเตกของหลอดเลือด
        
        เนื้อสมองถูกกด
  - - - มีการหนาตัวของผนังหลอดเลือดเเดงขนาดเล็ก
        
        หลอดเลือดมีเเรงต้านทานมากขึ้น
        
        การไหลเวียนเลือดลดลง
        
        ทำให้เซลล์ขาดเลือด เซลล์ตาย
        
        การนำไฟฟ้าคลื่นสมองผิดปกติ
        
        ชัก : :warning:
        
        1 more item...
        
        เกิดการกำจัดเซลล์ตายเเละสิ่งเเปลกปลอม
        
        ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวมากำจัด
        
        1 more item...
        
        ร่างกายมีการปรับชดเชย เพื่อให้เลือดผ่านหลอดเลือดได้
        
        ผนังหลอดเลือดเสื่อม เเละมีความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดลดลง
        
        เกิดการโป่งพองของผนังหลอดเลือด (Aneurysm :
        
        2 more items...
      - BP 200/130 mmHg.
    - - ติดตาม ความดันภายในกะโหลกศีรษะ = ปริมาตรของเนื้อสมอง + ปริมาตรของน้าไขสันหลัง + ปริมาตร
        ของเลือดในหลอดเลือด
      - Cushing's reflex
        
        1.ระยะที่มีการชดเชยโดยการควบคุมอัตโนมัติ
        
        เป็นระยะที่เริ่มมีสิ่งกินที่ (Space occupying lesion) เกิดขึ้นในช่องกะโหลกศีรษะ
        
        โดยดูดซึมน้ำหล่อสมองเข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อลดปริมาตรลงให้สมดุลกับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นจากสิ่งกินที่
        
        ระยะที่เริ่มมีการชดเชยโดย คูชชิ่งรีเฟล็กซ์ (Cushing's reflex)
        
        เริ่มสูญเสียระยะที่ 1 ความดันในกะโหลกศีรษะสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็วทันที และสมองจะถูกเบียดดันจนเคลื่อนที่ไปกดเบียดก้านสมอง
        
        ระดับความรู้สึกตัวเลวลง ตลอดจนรูม่านตาขยาย
        
        จึงมีการชดเชยให้มีการไหลเวียนเลือดสู่สมองให้มากที่สุด
        
        ทำให้อาการเปลี่ยนแปลงทางสัญญาณชีพ โดยมีแรงดันซีสโตลิคสูงขึ้นและช่วงกว้างของแรงดันชีพจร (Pulse pressure) จะกว้างออกกว่าปกติ พร้อมทั้งหัวใจจะเต้นช้าลงและแรง การหายใจช้าและลึก หรือหายใจไม่สมำ่เสมอ
        
        2 more items...
- - - - Intake 200 ml. Out put 600 ml.
      - EKG พบ rapid atrial rhythm