Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาการติดเชื้อ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาการติดเชื้อ
ภาวะไข้ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กซึ่งสาเหตุส่วนมากมักเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งโดยทั่วไปมักมี อุณหภูมิไม่เกิน 41 องศาเซลเซียส
Remittent Fever ลักษณะไข้ลอยแต่จะแกว่งขึ้นลงมาก มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิใน 24 ชั่วโมง มากกว่า 0.5 องศาเซลเซียส และไข้จะไม่ลดลงมาในเกณฑ์ปกติ
Intermittent Fever ลักษณะไข้จะแกว่งขึ้นลงมาก และลดลงถึงเกณฑ์ปกติแล้วกลับขึ้นไปใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมง
Sustained or Continuous Fever ลักษณะไข้ลอย มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิใน 24 ชั่วโมงไม่เกิน 0.5 องศาเซลเซียส มักพบในผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก
Relapsing or Recurrent Fever ไข้จะมีอยู่หลายวันแล้วลดลงสู่ระดับปกติ หลังจากนั้นจะกลับไข้ขึ้น อีก โรคที่พบเช่น Leptospirosis, มาลาเรียชนิด Plasmodium vivax
โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย
คอตีบ/ดีฟทีเรีย
เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและร้ายแรง พบได้ตลอดปี พบในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน - 14 ปี พบมากในเด็กอายุระหว่าง 1-6 ปี แนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้นโดยร้อยละ 88 ของผู้ติด เชื้อคือรับวัคซีนไม่ครบ
สาเหตุ จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Corynbacterium diphtheriae ซึ่งเป็น gram positive rod
การติดต่อ เชื้อเติบโตและอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยจึงตดิตอ่โดยการหายใจ ไอหรือจาม รดกัน
ระยะฟักตัว ประมาณ 1 - 7 วัน (เฉลี่ย 3 วัน)
อาการและอาการแสดง ไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอเล็กน้อย แต่จะรู้สึกกลืนลำบาก
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย ไข้ 38.5 - 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบ คอบุ๋ม ชีพจรเร็ว การตรวจคอ อาจพบแผ่นฝ้าสีขาวปนเทา
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
นำหนองในลำคอไปตรวจย้อมสีดูเชื้อและเพาะหาเชื้อ
โรคแทรกซ้อน
โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
โรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่นปอดอักเสบ ไตทำงานผิดปกติทำให้ตรวจพบ albumin ในปัสสาวะ
ทางเดินหายใจอุดตัน
ประสาทอักเสบ
การป้องกัน
ฉีดวัคซีนป้องกันโรค DPT 2,4,6 เดือน หรือ dT ในกรณีเด็กโตที่ประวัติการรับวัคซีนไม่ชัดเจน
ดูแลผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยควรได้รับการเพาะเชื้อ และติดตามสังเกตอาการตลอด 7 วัน
แยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคจนกว่าการเพาะเชื้อจะอ่านผลเป็นผลลบติดต่อกัน 2 ครั้ง
ไอกรน
สาเหตุ เชื้อบอร์ดิเทลลา เพอร์ทัสซิส ( Bordetella pertussis) เชื้อนี้จะมีอยู่ในลำคอส่วนลึกและในหลอดลมของ ผู้ป่วยที่เป็นโรคในระยะแรกเท่านั้น
การติดต่อ ติดต่อโดยการไอหรือจามรดกัน สัมผัสน้ำมูกน้ำลายและเสมหะ
ระยะฟักตัว 7 – 15 วัน
อาการและอาการแสดง แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 Catarrhal stage อาการเกิดขึ้นช้า ๆ อาจมีไข้ต่ำ ๆ คล้ายไข้หวัด
ระยะที่ 2 Paroxysmal stage or Spasmodic cough มีอาการไอติดต่อกันครั้งละนานๆ ไอเป็นชุด ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1 เดือน บางรายไอมากจนหายใจไม่ทัน เด็กเล็กอาจมีอาการชักเกร็ง หยุดหายใจ ตัวเขียวเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง
ระยะที่ 3 Convalescent stage เป็นระยะฟื้นตัวอาการไอจะค่อยๆ ลดน้อยลง แต่ถ้ามีโรคแทรกเช่น หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบก็อาจไอตอ่ไปอีก 1 - 2 เดือน
อาการแทรกซ้อน
ทางเดินหายใจอุดตันจนเกิดปอดแฟบ (Atelectasis)
ชัก (Convulsion) เนื่องจากไข้สูง ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
โรคทางระบบทางเดินหายใจ (pneumonia)
ได้รับพลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากการไอหรืออาเจียนมากรับประทานอาหารไม่ได้ตามปกติ
อาจพบเลือดออกที่ใต้เยื่อบุตา
โรคบาดทะยัก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้ในทุกกลุ่มอายุ เชื้อมีผลต่อระบบประสาท ซึ่งในทารกแรกที่ติดเชื้อมีอัตรา การเสียชีวิตสูงมาก แต่ปัจจุบันอัตราป่วยและตายมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะเป็นโรคที่สามารถป้องกัน ได้ผลดีด้วยวัคซีน
สาเหตุ เชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani แกรมลบ ชนิดแท่ง (rod)
การติดต่อ เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เชื้อมักกระจายอยู่ตามพื้นดิน
ระยะฟักตัว 5-12 วัน
อาการและอาการแสด
ระยะที่1 Wound bacterial stage แผลได้รับเชื้อบาดทะยักแต่สามารถรักษาให้หายได้โดยการ dressing แผลและทำลายเชื้อ
ระยะที่2 Tetano-toxemic stage เชื้อบาดทะยักที่แผลจะสร้างสารพิษ 2 อย่าง คือ Tetanospasmin และ Tetanolysin ออกมาและปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด
ระยะสุดท้าย Neurologic stage หากผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีในระยะที่ 2 ผู้ป่วยจะ เริ่มมีอาการของบาดทะยัก คือ มีการชักเกร็ง กระตุก
การรักษา
แพทย์จะให้ tetanus antitoxinทางหลอดเลือดดำและให้Toxiodหรือimmunoglobulin ฉีดเข้ากล้าม
แพทย์อาจให้ antibiotic เช่น PGS, Methacillin ร่วมกับ Gentamicin
แยกผู้ป่วยให้อยู่นิสิ่งแวดล้อมสงบเพื่อลดการกระตุ้นภายจากสิ่งแวดล้อม
ดูแลความสะอาดบาดแผลซึ่งเป็นแหล่งของการติดเชื้อ
รักษาตามอาการ เช่น ชักให้ยากันชัก Phenobarbital, Valium
โรคติดเชื้อจากไวรัส
โปลิโอหรือไข้ไขสันหลังอักเสบ
เป็นโรคที่มีการอักเสบของไขสันหลัง ทำให้มีอัมพาตของแขน ขา พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
สาเหตุ
เชื้อไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) เชื้ออาศัยอยู่ในลำไส้ของคน เสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เชื้อจะถูกขับ ออกทางอุจจาระ เชื้อโปลิโอมีชีวิตได้นานถึง 2 เดือน
การติดต่อ การรับเชื้ออาจผ่านทางลมหายใจโดยสูดเอาเชื้อที่ปนเปื้อนมากับน้ำมูก น้ำลาย หรือมีการปนเปื้อนเชื้อ จากอุจจาระ
ระยะฟักตัว 3 - 35 วัน (พบบ่อยคือ 6-20 วัน)
อาการและอาการแสดง
กลุ่มไม่มีอาการ ไม่มีอาการของโรคปรากฏ แต่สามารถ แพร่เชื้อได้
กลุ่มมีอาการน้อย กลุ่มนี้มักมีอาการคล้ายไข้หวัด คือมีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บ คอ อาจมีน้ำมูก อาจมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ ท้องเดิน บางรายอาจมีอาการท้องผูกและปวดท้อง
กลุ่มมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบแต่ไม่เป็นอัมพาต มีอาการคล้าย abortive poliomyelitis ต่อมาอาจมีอาการคอแข็ง กล้ามเนื้อหลังและแขนขาแข็ง เจ็บปวด และมีอาการท้องผูก ร่วมด้วย
กลุ่มมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบและเป็นอัมพาต มีกล้ามเนื้อเต้นกระตุก และอ่อนปวกเปียกในเวลารวดเร็ว ส่วนมากจะพบที่ขาเพียง ข้างเดียว
การตรวจวินิจฉัย ตรวจร่างกายพบมีไข้ 38 – 40 C กล้ามเนื้อขาอ่อนปวกเปียก แต่ยังรู้สึกเจ็บ รีเฟลกซ์ของข้อเข่า และข้อเท้าพบมีน้อยหรือไม่มีเลย
การรักษา
ในรายที่มีเพียงอาการขาอ่อนปวกเปียก พักอย่างเพียงพอ และทำกายภาพบำบัดพร้อมประคบกล้ามเนื้อเพื่อช่วยลดอาการเจ็บปวดและบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
ในรายที่เป็นอัมพาตทั้งตัว อาจต้องทำการช่วยหายใจด้วยวิธีการต่าง ๆเช่นการเจาะ คอ และรักษาโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
คางทูม
เกิดพยาธิสภาพที่ต่อมน้ำลายโดยมากมักจะเป็นต่อมน้ำลายข้างหูพบมากในเด็กอายุ 4 - 10 ปี ไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ
สาเหตุ เชื้อไวรัสคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus อยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย
การติดต่อ โดยการไอ จามหรือหายใจรดกัน หรือสัมผัสของใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ และสามารถพบเชื้อในปัสสาวะผู้ป่วย นานถึง 14 วันหลังจากเริ่มมีอาการต่อมน้ำลายอักเสบ
ระยะฟักตัว 14 - 20 วัน
อาการและอาการแสดง
ระยะแรก มักมีไข้38 – 40 C ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
บริเวณข้างหูหรือขากรรไกร มีอาการปวดบวมและกดเจ็บ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจมีลักษณะ แดงร้อนและตึง
มีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (parotitis) ทั้ง 2 ข้าง โดยห่างกันประมาณ 4 - 5 วัน
การตรวจวินิจฉัย ตรวจร่างกายพบไข้ 38 - 40 องศาเซลเซียส แต่บางรายอาจไม่มีไข้ สังเกตบริเวณขากรรไกรบวมข้างใดข้าง หนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ตรวจในช่องปากอาจพบอาการบวมแดงบริเวณรูเปิดของท่อน้ำลายที่กระพุ้งแก้ม
การรักษา
ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้นอนพัก ดื่มน้ำมากๆ เช็ดตัวถ้ามีไข้สูง
ถ้ามีลูกอัณฑะอักเสบแทรก แพทย์อาจพิจารณาให้เพร็ดนิโซโลน
ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัวอาจมีภาวะแทรกซ้อนต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม
กลุ่มไข้ออกผื่น
หัด
หัดพบมากในเด็กอายุ 2 - 14 ปี มักไม่พบในทารกอายุต่ำกว่า 8 เดือน
สาเหตุ ไวรัสรูบีโอลาไวรัส (Rubeola Virus) ซึ่งมีอยู่ในน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย
การติดต่อ โดยการไอ จาม หรือ หายใจรดกัน
ระยะฟักตัว 9 - 11 วัน มักพบระบาดตอนปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี
อาการและอาการแสดง
ก่อนออกผื่น ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ไข้จะสงูลอยอยู่ตลอดเวลา
ออกผื่น เด็กมีไข้สูงมาก ตาแดงจัด น้ำตาไหล กลัวแสง
ฟื้นตัว ผื่นขึ้นเต็มที่แล้วไข้จะลดลง แต่ผื่นจะไม่จางหายไปทันทีแต่จะค่อยๆ จางหายไปภายใน 4 - 7 วัน
การตรวจวินิจฉัย ตรวจร่างกายพบไข้ 38.5 - 40.5 องศาเซลเซียส ตาแดง หน้าตาบวมตู่ เปลือกตาแดง หลังมีไข้ 2 วันจะ พบจุดสีขาวเหลืองเล็กๆคล้ายเมล็ดงาที่กระพุ้งแก้มบริเวณใกล้ฟันกรามล่าง
การรักษา
ให้ดูแลปฏิบัติตัวเหมือนไข้หวัด คือ พักผ่อนให้เพียงพอ เช็ดตัวลดไข้
แพทย์อาจให้ยารักษาตามอาการเช่น ยาลดไข้ ถ้าไอให้ยาแก้ไอ
ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเป็นเพราะนอกจากไม่มีความจำเป็น
ถ้าเด็กมีอาการไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนวี , แอมพิซิลลิน
ถ้าเด็กมีอาการหอบมาก ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วนเพราะอาจมีอันตรายถึงตายได้
สุกใส
พบได้บ่อยมากในเด็กวัยเรียนตอนต้น แต่ถ้าทารกแรกเกิดได้รับเชื้อโดยอาจผ่านการสัมผัสกับ ผู้ป่วยหรือจากมารดาที่เป็นโรคสุกใส
สาเหตุ วาริเซลลาไวรัส (Varicella virus) เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด
วาริเซลลาไวรัส (Varicella virus) เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด
ระยะฟักตัว 2 – 20 วัน การแพร่กระจายเชื้อเริ่มตั้งแต่วันที่เริ่มมีไข้จนถึง 5 วันหลังผื่นขึ้น
อาการและอาการแสดง
เด็กจะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลียและเบื่ออาหารเล็กน้อย
ผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และปวดเมื่อยตามตัวคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่
หลังจากมีไข้ 1 วันผู้ป่วยจะมีผื่นแดงราบตั้งแต่ศีรษะแล้วค่อยกระจายตามอวัยวะอื่น ๆ ตามแนวดิ่งจนถึงเท้า
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจร่างกายพบมีไข้ ตามผิวหนังมีผื่นแดงราบ ตุ่มใส ตุ่มหนอง กระจายตามลำตัว
การรักษา
การดูแลความสะอาดของร่างกาย เพื่อป้องกันมิให้ตุ่มกลายเป็นหนอง
แพทย์อาจให้ยารักษาตามอาการเช่น ยาลดไข้ ทาคาลาไมน์โลชั่น ถ้าคันมาก
ถ้าตุ่มกลายเป็นหนอง ให้ทาด้วยขี้ผึ้งเตตราซัยคลีน
ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หอบ ชัก ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล
หัดเยอรมัน/เหือด
่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่มีอาการไข้และออกผื่นคล้ายหัด แต่ไม่รุนแรงและมีโรคแทรก ซ้อนน้อยกว่าหัด มักจะหายได้เอง
สาเหตุ เชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า รูเบลลา(Rubella) ซึ่งมักมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย
การติดต่อ
โดยการ ไอ จาม หรือ หายใจรดกัน เช่นเดียวกับไข้หวัดหรือหัด
ระยะฟักตัว 14 - 21 วัน
อาการและอาการแสดง
ระยะผื่นขึ้น ผู้ป่วยจะมีไข้ร่วมกับมีผื่นเล็กๆ สีชมพูอ่อนขึ้นกระจายทั่วไปโดยเริ่มขึ้นที่หน้าผากตรงชาย ผม รอบปาก และใบหูก่อน
ระยะแรก ผู้ป่ยจะมีอาการนำด้วยไข้ต่ำๆคล้ายไข้หวัด และอาจมีต่อมน้ำเหลืองโต
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจร่างกายพบมีไข้ 37.5 - 38.5 องศาเซลเซียส มีผื่นแดงเล็กๆ กระจายทั่วตัว ตาแดงเล็กน้อย
การตรวจเลือดมักทำในกรณีหญิงตั้งครรภ์ที่มีประวัติสัมผัสโรคหรืออาการไม่เด่นแน่ชัด ทำได้โดยเจาะเลือด
การรักษา
สำหรับหัดเยอรมันที่พบในเด็ก และผู้ใหญ่ทั่วๆไป(ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์)ให้การรักษาตามอาการโดยทั่วไป อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 3 - 5 วัน
ถ้าพบหญิงตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรกติดเชื้อแพทย์อาจพิจารณาให้คำแนะนำในการทำแท้ง
มือ เท้า ปาก เปื่อย
พบบ่อยในเด็กวัยก่อนเรียน และพบการระบาดอย่างรวดเร็วเพราะพฤติกรรมอนามัยใน เด็กวัยนี้ยังไม่ดีและพฤติกรรมตามวัยคือมักเล่นเป็นกลุ่มรวมกันใช้ของเล่นร่วมกัน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Enterovirus
การติดต่อ เชื้อนี้แพร่ผ่านน้ำลายและอุจจาระ ระยะแพร่เชื้อรุนแรงคือเริ่มตั้งแต่มีอาการ ถึง 7 วันหลังจากเริ่มมี อาการ แต่หลังจากหายป่วยแล้วยังเป็นพาหะของโรคได้อีก 1 สัปดาห์โดยพบเชื้อได้ในอุจจาระ
อาการและอาการแสดง มีไข้ และอาจพบน้ำมูกประมาณ 1 – 2 วัน หลังจากนั้นเริ่มพบแผลในช่องปาก ลิ้น หาก เป็นมากจะพบแผลรอบริมฝีปาก มีตมุ่แดงขึ้นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้าอาจพบได้ตามซอกนิ้ว
โรคแทรกซ้อน พบบ่อยและรุนแรงคือ ก้านสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของการ เสียชีวิตแต่พบได้น้อยมาก
ไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะซึ่งส่วนใหญ่มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี การ ระบาดมักพบในฤดูฝน
สาเหตุ
เชื้อเดงกี่ (Dengue Virus) พบสายพันธุ์ 4 ชนิด คือชนิด 1 2 3 4 ถ้าติดเชื้อสายพันธุ์ใดจะมี ภูมิต้านทานตลอดชีวิตในเชื้อชนิดเดิม แต่ถ้ามีการติดเชื้อชนิดใหม่ซ้ำจะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น
ระยะฟักตัว ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส จะใช้เวลาฟักตัว 8-10 วัน ตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือดผู้ป่วยไม่เกิน 5วัน นับตั้งแต่วันที่มีไข้
อาการและอาการแสดง
ระยะที่1 ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส นาน 2-7 วัน มักมี หน้าตาแดง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดชายโครงขวา มีจุดเลือดออกเล็ก ๆตาม ผิวหนัง
ระยะที่ 2 ช็อคหรือระยะวิกฤต มักเกิดขึ้นพร้อมกับไข้ลง ประมาณวันที่ 4-7 ของโรค รายที่ไม่รุนแรง จะมี เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเร็ว ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยช่วงสั้น ๆแล้วดีขึ้น
ระยะที่ 3 พักฟื้น เด็กจะอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว กลับสู่สภาพปกติภายในเวลา 2-3 วัน จะเริ่มรับประทาน อาหารได้ ไม่อาเจียน
พยาธิสภาพ
เกรด1 มีไข้ ร่วมกับ Tourniquet test positive Hct เพิ่มขึ้นไม่ชัดเจน
เกรด 2 เหมือนเกรด 1 แต่มีอาการเลือดออก Hct เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แต่ BP ปกติ
เกรด 3 ระบบการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ชีพจรเบาเร็ว pulse pressure แคบ BP ตำ่
เกรด 4 มีอาการช็อค คลำชีพจรและวัด BP ไม่ได้