Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำ และการไหลเวียนเลือด (Hemodynamics disorder),…
การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำ
และการไหลเวียนเลือด
(Hemodynamics disorder)
Hemostasis & Hemorrhage
Hemostasis
เป็นกระบวนการของร่างกายในการควบคุมเมื่อเกิดการบาดเจ็บ ของหลอดเลือด โดยเกิดเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
Primary hemostasis เมื่อมีการบาดเจ็บของหลอดเลือดจะทำให้อ xtracellular matrix ที่อยู่ภายนอกหลอดเลือดซักนำให้เกร็ดเลือดมาเกาะบริเวณนั้นและเกิดการกระตุ้นเกร็ดเลือด (platelet activation) ท้าให้เกร็ดเลือดหลั่งสารที่สามารถชักนำให้เกร็ดเลือดอื่น ๆ มาเกาะในบริเวณนั้นมากขึ้น (platelet aggregation) เกิดเป็น hemostatic plug
Vasoconstriction การหดตัวของ arteriole เป็นผลมาจากการตอบสนอง ของระบบประสาท (reflex neurogenic response) และสาร endothelin ซึ่งเป็น สารที่ออกฤทธิ์ให้หลอดเลือดหดตัว
Secondary hemostasis หลังจากเกิด hemostatic plug เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดจะหลั่งสาร tissue factor และกระตุ้นสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด (Coagulation factors) ทำให้เกิดการสร้าง thrombin และ fibrin ภายในลิ่มเลือดนอกจากนี้ thrombie ยังสามารถกระตุ้นให้เกรีดเลือดเข้ามาในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นเกิดกระบวนการปรับให้ลิ่มเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้น
Antithrombotic counter regulation กระบวนการยับยั้งไม่ให้เกิดลิ่มเลือดมากเกินไปเช่นมีการหลั่งสาร tissue plastminogern activator (t-PA) ซึ่งทำหน้าที่สลายลิ่มเลือดนั้นและ thronibomodulin ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของ coagulation factors
Hemorrhage
ภาวะที่มีเลือดออกมานอกหลอดเลือดสาเหตุเนื่องมาจากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดโดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหลอดเลือดขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือดขนาดเล็กมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของผนังหลอดเลือดเองความผิดปกติของเกร็ดเลือดหรือความผิดปกติของสารที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด (coagulation factors)
ในกรณีของหลอดเลือดขนาดใหญ่มักมีสาเหตุมาจากความเสียหายที่เกิดกับหลอดเลือดโดยตรงเช่นอุบัติเหตุ otherosclerosis, กาวะอักเสบของผนังหลอดเลือดหรือการสุกลามของมะเร็งสู่ผนังหลอดเลือด
Hemorrhage - ตามตำแหน่งที่เกิด
Hematochezia: การถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากมีเลือดออกในล้าใส่ใหญ่ซึ่งต่างจาก melena คือการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหารส่วนล่าง
Hennaturia: ปัสสาวะเป็นเลือดมีทั้ง microscopic และ macroscopic hematuria Intracerebral
Intracerebral hemorrhage: ภาวะเลือดออกในสมอง
Hematoma: ภาวะที่มีเลือดออกและสะสมในเนื้อเยื่อมักมีขนาดใหญ่และสามารถดล้ำได้เป็นก้อนหากมีขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
Hematemnesis: การอาเจียนเป็นเลือดมักเกิดจากกาวะการมีเลือดออกในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร
Hemopericardium: เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial cavity) ส่วนใหญ่เกิดจากการแตกของหลอดเลือดเอออร์ตาหรือห้องหัวใจทะลุ
Hemothorax: เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอดอาจเกิดจากอุบัติเหตุซี่โครงหักแล้วมีการฉีกขาดของหลอดเลือด interCostal artery หรือเกิดจากการฉีกขาดของเอออร์ตา
Hemoptosis: การไอเป็นเลือดสาเหตุที่พบบ่อยคือการติดเชื้อวัณโรคและมะเร็งปอด
Hemoperitoneum: เลือดออกในช่องท้องโดยมากเกิดจากการแตกของหลอดเลือดเอออร์ตาโป่งพอง aortic (aneurysrn) หรืออุบัติเหตุที่มีการแตกของตับ, บ้าน, หรือเอออร์ตาเอง
Epistaxis: หรือเลือดกำเดาเกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดในโพรงจมูก
Hemarthrosis: เลือดออกในข้อพบบ่อยในโรดฮีโมฟีเลีย
Hemorrhage - ตามขนาดที่เกิด
Purpura : เป็นจุดเลือดออกขนาดเล็กที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ seross หรือขนาดตั้งแต่ 3 10 มม. สาเหตุเหมือนกับ petechise
Ecchymosis: เป็นกาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นที่ผิวหนังมีขนาดตั้งแต่ 1-3 ชม. สาเหตุมักเกิดจากความผิดปกติของสารทำหน้าที่ในการแข็งตัวเลือด (coagulation factors)
Petechiae: เป็นจุดเลือดออกขนาดเล็กในชั้นผิวหนังหรือเยื่อบุ serosa ขนาดประมาณ 1-3 มม. สาเหตุเนื่องจากมีความผิดปกติของผนังหลอดเลือดหรือความผิดปกติของเกล็ดเลือด
พยาธิสภาพและผลกระทบของ Hemorrhage
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดพยาธิสภาพปริมาณเลือดที่ออกเช่นเลือดออกในสมองอาจเกิด brain herniation ขึ้นได้
ส่วนกาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเสียเลือดในปริมาณมากผู้ป่วยจะเกิดภาวะช็อกจากการเสียเลือดเรียกว่า hypovolemic shock
Ischemia / Infarction
Ischemia
ภาวะขาดเลือดเนื่องจากหลอดเลือดถูกอุดกั้นจากเหตุต่าง ๆ
การขาดเลือดที่เกิดอย่างฉับพลันจะทำให้เกิดการตายแบบ infarction และ gangrene
ส่วนการขาดเลือดที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จะเกิดการเสื่อมและฝ่อของอวัยวะแทน
Infarction
Ovenous-เกิดจากการอุดกั้นของหลอดเลือดดำ
Arterial – เกิดจากการอุดกั้นของหลอดเลือดแดง
Hypotensive – เกิดจากการลดลงของเลือดที่มาเลี้ยงเนื้อเยื่อ / ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับภาวะ shock ที่มีความดันเลือดต่ำ
Gangrene
1.Dry gangrene: พบได้ที่แขนขาและนิ้วเมื่อเกิดการตายของเนื้อเยื่อจะมีการระเหยของน้ำออกจากเนื้อที่ตายนั้นทำให้แห้งเที่ยวและมีสีดำ
2.Wet gangrene: ใช้เรียกในเนื้อตายที่มีการติดเชื้อซ้ำพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานที่มี infarct ของนิ้วเท้าการตายของล้าไส้
ภาวะเสียสมดุลของสารสารน้ำ
ในร่างกาย
(Fluid imbalance)
สมดุลเเรงดัน Starling forces
Interstitial hydrostatic pressure
แรงดันของสารน้ำระหว่างเซลล์ ดันน้ำเข้าสู่หลอดเลือด
Capillary oncotic (osmotic) pressure
แรงดันออสโมซิส ดึงน้ำกลับเข้าหลอดเลือด ขึ้นอยู่กับปริมาณอัลบูมิน
Capillary hydrostatic pressure
แรงดันของสารน้ำที่อยู่ในหลอดเลือดฝอย ดันน้ำออกนอกหลอดเลือด
Interstitial oncotic (osmotic) pressure
แรงดันออสโมซิส ดึงน้ำออกจากหลอดเลือดฝอย
Thrombosis / Embolism
Thrombosis
การเปลี่ยนแปลงใน thrombus
Propagation: ก้อน thrombus ที่ไม่สามารถละลายได้จะมีการสะสมของเกรีดเลือด, ไฟบรินและเม็ดเลือดมากขึ้นทำให้ก่อนเลือดขยายออกเรื่อย ๆ
Embolization: ก้อน thrombus ที่แตกและหลดจะลอยไปตามกระแสเลือดไปอุดกั้นหลอดเลือดส่วนอื่นเรียกส่วนที่หลุดออกไปว่า embolus
Resolution: ก้อน thronibus อาจจะละลายไปโดยกระบวนการ fibrinolysis
Organization: ก้อน thrombus ที่สลายไม่หมดจะมีการเจริญของ granulations tissue เข้ามาในระยะหลังจะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็น fibrosis ในก้อนในบางราย capillary ที่เกิดขึ้นอาจงอกทะลุท้อนทำให้เกิดขึ้นในก้อน thronibus เลือดสามารถไหลผ่านได้อีกครั้งเรียกว่า recanalization
สาเหตุของการเกิด Thrombus (Rudolf Virchow)
การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือด (Abnormal blood low) ทั้งเลือดไหลช้าลง, เลือดหยุดไหลและเลือดที่มีการไหลวน (turbulent flow)
การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบในเลือดกาวะที่มีสารประเภท procoagulant เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาวะที่มีสารประเภท anticoagulant ลดลง (Hypercoagulability)
การบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด (Endothelial injury) เช่นการอักเสบของหลอดเลือดที่ทำให้ผนังหลอดเลือดไม่เรียบ
ก้อนเลือดที่เกิดขึ้นกายในหลอดเลือดหรือในหัวใจขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จะเกาะติดกับผนังของหลอดเลือดหรือผนังของหัวใจและอาจจะก่อให้เกิดการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดได้
ผลของการเกิด thrombosis
Edema and obstruction of venous outflow : พบใน venous thrombosis
Emboli: เป็น complication ที่สำคัญที่สุดของ thrombosis
Infarction: เป็นลักษณะที่พบใน arterial thrombosis เช่นปา raybosis lunaonton coronary artery ที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
Infection
Inflammation of the vessel wall
Embolism
ภาวะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไหลไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดกั้นหลอดเลือดส่วนปลายสิ่งที่อุดกั้นนั้นเรียกว่า embolus
Sources of Thromboemboli
Heart
Rheumatic heart disease
Cardiomyopathy
Left atria / fibrillation
Infective endocarditis
Left ventricle / imyocarcial infarction
Valve prosthesis
Vessels
Aortic aneurysm
Arterial prosthesis
Ulcerated arteriosclerotic plaques
ชนิดของ emboli
Turnor emboli ทำให้เกิดการแพร์กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น
Cholesterol emboli เกิดจากการหลุดของ cholesterol ที่ atherosclerotic plaque
Bone tnarrow ernboi เกิดจากการหลุดของไซกระดูกพบได้บ่อยในขณะที่ทำ cardiopulmonary resuscitatios) แล้วมีการหักของกระดูกซี่โครงมักไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติทางคลินิกเนื่องจากมักอุตโนแชมงขนาดเล็กของ pulrnonary artery
Amniotic fluid emboli พบได้ไม่บ่อยประมาณ 1: 80000 รายของการคลอดเกิดเนื่องจากมีการฉีกขาดของ uterine vein ขณะที่คลอด
Air (gas) emboli พบได้ในนักดำน้ำที่ขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไปทำให้แก๊สในโตรเจนที่ละลายในเลือดในขณะที่อยู่ใต้น้ำกลายสภาพเป็นฟองอากาศอุดกันในเส้นเลือดเรียกกลุ่มอาการนี้ว่า galsson diseast หรือพบในกรณีที่ฉีดยาให้ผู้ป่วยแล้วไม่ใส่อากาศที่ปลายเข็มก่อน
Fat embolism เกิดจากการหลุดของหยดไขมัน (fat globule) เข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีการหักของกระดูกท่อนใหญ่โดยเฉพาะกระดูกต้นขา
Thromboembol มีความสำคัญทางคลินิกและพบบ่อยที่สุดมากกว่าร้อยละ 95 เป็น embol ที่หลุดมาจากบริเวณที่เกิด thrombosis
Foreign body emboli เช่นผงแป้งจากถุงมือหรือเศษไหมที่ใช้เย็บแผลหลุดเข้าเส้นเลือดในขณะทำการผ่าตัดพบได้ไม่บ่อย
Emboli แบ่งตามตำแหน่งที่พบ
Arterial emboli ส่วนใหญ่เกิดที่หัวใจเอออร์ด้าและหลอดเลือดขนาดใหญ่ propoli นี้จะไหลไปตามการไหลเวียนเลือดแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปที่สมอง To juua un mesenteric artery
Paradoxical embol เป็น ernbkoli ที่เกิดในหลอดเลือดดำ แต่มีการหลุดเข้าไปยังระบบไหลเวียนเลือดแตงโดยผ่านทาง forarmen wale หรือพยาธิสภาพใด ๆ ที่ทำให้เกิด right to left shunt
Venous emboli เกิดในหลอดเลือดดำและมีการไหลต่อไปยังปอด
ผลของ embolus
คล้ายกับของ thrombus ถ้ามีขนาดเล็กหรือเนื้อเยื่อมีเลือดไหลเวียนมาเสริมเพียงพอก็มักจะไม่มีผลอะไร แต่บางราย embolus ไปอุดหลอดเลือดที่สำคัญเช่น pulmonary embolism หรือ coronary artery emboism ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ผลที่สำคัญคือการเกิด infarct และ gangrene ของอวัยวะในรายที่ ermibolus นั้นเกิดจากการหลุดของก้อนเลือดที่มีการติดเชื้อก็จะทำให้เกิดการอักเสบ, ฝีในเนื้อเยื่อที่ถูกอุดกั้นด้วย embolus นั้นได้ส่วน erribolus ที่ประกอบด้วยเซลล์มะเร็งอาจทำให้เกิดมะเร็งแพร่กระจาย (metastasis)
Disseminated intravascular coagulation (DIC)
การเกิด microthrorobus ในหลอดเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย arterioles capillaries and venules) ที่เกิดจากการกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือด
เมื่อเกิด microthrornbus จำนวนมากมายในหลอดเลือดทำให้ร่างกายมีเกร็ดเลือดไฟบรินและ coagulator factor ต่าง ๆ ต่ำเนื่องจากมีการใช้ไปเป็นจำนวนมากผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเลือดออกในหลายอวัยวะเนื่องจากขาดองค์ประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในการห้ามเลือด
สาเหตุที่พบบ่อย: DIC
Massive tissue injury-trauma, burns, extensive surgery
Shock-any form
Neoplasm-carcinoma, promyelocytic leukemia
Obstetric complications-amniotic fluid embolism, eclampsia, abruptio placenta
Infection-Gram negative sepsis, fungal infection, meningococcemia, เป็นต้น
Deep Vein Thrombosis: DVT
usually deep within your leg, Bishop
is a blood clot that forms inside a vein
The danger is that part of the clot can break off and travel through your bloodstream.
lt could get stuck in your lungs and block blood flow, causing organ damage or death
Who Is Likely to Get DVT?
Smoke
Are overweight or obese
Are older
Sit for long times, like on a long airplane flight
Have had surgery
Are on extended bed rest
Have cancer
Shock
อาการ
หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหายใจตื้นและเร็ว
ตาค้าง ตาเหลือก
ชีพจรเต้นเร็ว แต่เบาหรือบางรายอาจไม่เต้น
เจ็บแน่นหน้าอก
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ความรู้สึกตัวลดลงหรือหมดสติ
การรักษา
ในรายที่พบว่ามีประวัติการเสียน้ำในร่างกายเช่นอาเจียนถ่ายเหลวปริมาณมากอาจให้น้ำเกลือเพื่อรักษาภาวะช็อกจากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง
ผู้ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดรักษาด้วยการจ่ายยาปฏิชีวนะหรือผู้ที่ช็อกจากสาเหตุของโรคหัวใจจะรักษาด้วยการใช้ยาการสวนหัวใจหรือการผ่าตัดแรง
ภาวะช็อกจากอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรงจะใช้ยาอีไพเนฟริน (Epinephrine) หรือยาชนิดอื่นเพื่อช่วยต้านสารที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการให้เลือดเมื่อมีประวัติการเสียเลือดมาก
ประเภท
ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลง (Distributive Shock) เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดขยายตัวใหญ่ขึ้น แต่ยังมีปริมาณเลือดเท่าเดิมจึงทำให้หลอดเลือดสูญเสียการดึงตัวและเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอซึ่งมีหลายสาเหตุเช่นปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างฉับพลันภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดพิษของยา (Drug Toxicity) หรือการได้รับบาดเจ็บทางสมอง
ภาวะช็อกจากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock) เกิดจากปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายลดลงหรือปริมาณเลือดในร่างกายลดลงทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดเพื่อขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกายเพียงพอ
ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ (Cardiogenic Shock) มีสาเหตุมาจากหัวใจและหลอดเลือดขนาดใหญ่ได้ความเสียหายหรือเกิดความผิดปกติจึงทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้น้อยลงซึ่งอาจเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นช้าผิดปกติกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นนอกหัวใจ (Obstructive Shock) เกิดจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ตามปกติซึ่งเป็นผลที่เกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นลิ่มเลือดอุดกันในปอด
การตายของเนื้อเยื่อที่เกิดจากการขาดเลือดมาเลี้ยงแบ่งออกเป็น