Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเพดานโหว่ (Cleft palate), ปัจจัย - Coggle Diagram
โรคเพดานโหว่ (Cleft palate)
ความหมาย
โรคที่มีความผิดปกติแต่กำเนิดบริเวณเพดานส่วนหลังแยกจากกัน (cleft of secondary palate) ซึ่งเกิดขึ้นได้ระยะทารกอยู่ในครรภ์มารดาช่วง 12 wk
เพดานส่วนหลังsecondary palate) เจริญไปเป็นส่วนของเพดานแข็ง (hand palate) และเพดานอ่อน (soft palate) หลังต่อช่องโหว่หลังฟันคู่หน้า (incisive foramen) อาจเกิดร่วมกับโรคปากแหว่งหรือไม่ก็ได้
อุบัติการณ์
ทารกแรกเกิดพบได้ประมาณ1 คนใน 700 คน
ปากแหว่งร่วมกับเพดานโหว่พบได้ประมาณ 46 %
ปากเหว่งอย่างเดียวพบได้ประมาณ 21 %
เพดานโหว่อย่างเดียวพบประมาณ 33 %
พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
พยาธิสภาพ
ทารกอยู่ในครรภ์ จะมีการสร้างเนื้อเยื่อริมฝีปาก ตั้งแต่อายุครรภ์ 3-12 wk เพดานอ่อนและเพดานแข็งจะเชื่อมกันสมบูรณ์เมื่อมีอายุครรภ์ 7-11 wk
เมื่อทารกมีความพิการปากแหว่ง หรือเพดานโหว่ ทารกจะมีการดูดกลืนผิดปกติ เนื่องจาก อมหัวนมไม่แนบสนิท มีรูรั่วให้ลมเข้าและสำลักได้ง่ายขณะดูดนม
ทารกต้องใช้แรงดูดมากขึ้น ลมที่เข้าไปขณะดูดทำให้ท้องอืด
เมื่อเด็กโตขึ้น ฟันจะขึ้นผิดปกติ พูดไม่ชัด อาจมีการ
ติดเชื้อที่หูชั้นกลางทำให้มีปัญหาการได้ยินผิดปกติ
อาการและอาการแสดง
การตรวจร่างกาย
ตรวจภายในช่องปาก
1.ทารที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถอมหัวนมแม่ หรือจุกนมได้สนิท มีลมรั่วเข้าไปขณะดูดนม ทารกต้องออกแรงดูดนมมากขึ้น พบอาการท้องอืดภายหลังดูดนม
ทารกที่มีเพดานโหว่ มักสำลักนมขึ้นจมูก และเข้าช่องหูชั้นกลาง หรือสำลักนมเข้าสู่ปอดได้
การได้ยินผิดปกติ
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น
วัยหัดพูด จะพูดเสียงขึ้นจมูก พูดไม่ชัด
การขึ้นของฟันผิดปกติ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคปากแหว่งพบดั้งแต่ทารกแรกเกิด การตรวจทารกในครรภ์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงสามารถตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13 -14 สัปดาห์ สามารถยืนยันผลที่ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
การชักประวัติ
ควรถามประวัติครอบครัว
หากมีลูกคนแรกเป็นปากแหว่ง เพดานโหว่ ลูกคนต่อไปมีโอกาสเป็นโรคนี้
ครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่หรือเครือญาติทั้งสองฝ่าย เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ลูกมีโอกาสเป็นปากแหว่งเพดานโหว่เช่นเดียวกัน
การตรวจร่างกาย
แพทย์จะตรวจโดยสอดนิ้วตรวจเพดานภายในปากจะตรวจพบได้ หรือในขณะเด็กร้องให้อ้าปากสามารถตรวจดูในช่องปากเห็นเพดานโหว่ได้
การรักษา
การผ่าตัดรักษาโรคปากแหว่ง (repair of cleft lip)
จุดประสงค์เพื่อทำให้ริมฝีปากและจมูกเป็นปกติ
นิยมผ่าตัดโดยยึดหลัก rule of over ten
ซึ่งหมายถึงเด็กอายุประมาณ 10 สัปดาห์ น้ำหนักมากกว่า10 ปอนด์ hemoglobin มากกว่า 10% (จรูญสมิทธ์, 2528)
เมื่อเด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไปร่างกายจะมีความพร้อมผ่าตัด เนื่องจากมีระบบหัวใจหลอดเลือดและปอดสมบูรณ์ ภาวะโภซนาการดี สามารถต่อต้านกับการติดเชื้อได้
รายที่เป็นน้อยเช่น ปากแหว่งข้างเดียวไม่มีความพิการของเหงือก
ผ่าตัดเย็บริมฝีปากเพียงขั้นตอนเดียว นอกจากนี้การดึงรั้งริมฝีปากที่แหว่งเข้ามาชิดกันโดยการปิดserstips จะเป็นการช่วยดึงรั้งให้ริมฝีปากที่แหว่งเจริญเข้ามาอยู่ชิดกันมากขึ้นก่อนทำผ่าตัด
ขั้นตอนในการรักษา
ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใส่เพดานเทียม (obturator)
ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แทนเพดาน ทำให้ผู้ป่วยสามารถดูดนมได้โดยไม่สำลัก ก่อนทำผ่าตัดริมฝีปากและผ่าตัดเพดานปาก เพดาน
เทียมจะเปลี่ยนขนาดทุก 1 เดือนตามการเจริญเติบโตของ
ช่องปากเด็ก
เมื่อทำผ่าตัดริมฝีปากประสบผลสำเร็จ ขั้นต่อไปจะทำ
ผ่าตัดเพดาน (repair of cieft palate)
เพื่อให้มีการ
พูดได้ชัดเจน และมีการเจริญเติบโตของใบหน้าและฟันเป็นไปอย่างสมบูรณ์ นิยมผ่าตัด เมื่ออายุ6-18 เดือน เพื่อให้เพดานมีการเจริญเติบโตในช่วงขวบปีแรกก่อน
เมื่ออายุประมาณ 3 ปี จะทำการ
ผ่าตัดแก้ไขจมูก
ตามด้วยการ
ฝึกพูดจากนักอรรถบำบัด (speech therapist)
ปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเมื่ออายุประมาณ 5 ปี
หลังจากนั้นหากพบมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่จะผ่าตัดแก้ไข
การพยาบาล
ระยะก่อนผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 2
มีโอกาสขาดสารน้ำและสารอาหารเนื่องจากไม่สามารถดูดกลืนได้ปกติ
เป้าหมายการพยาบาล
ได้รับสารน้ำและสารอาหารเพียงพอ
เกณฑ์ประเมินผล
น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ของอายุ
ทารกสามารถดูดและกลืนได้ดีขึ้น
ไม่สำลัก ไม่อาเจียน
ไม่มีอาการขาดสารน้ำเช่น ริมฝีปากแห้ง กระหม่อมบุ๋ม ปัสสาวะลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ให้นมทารกอย่างถูกวิธีในรายที่ปากแหว่งไม่มากทารกสามารถดูดนมแม่ได้ให้ดูดนมแม่ หากทารกไม่สามารถดูดนมแม่ได้ให้นมทารกด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ป้อนน้ำตามทุกครั้งหลังให้นมและใช้ผ้าละอาดและนิ่มชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดคราบนมเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สอนบิดาหรือมารดาวิธีการให้นมที่ถูกต้อง
ชั่งน้ำหนักทารกวันละครั้ง
4.รายงานแพทย์ในรายที่น้ำหนักไม่ขึ้นจากการรับนมทางปากไม่พอ เพื่อพิจารณาใส่สาย ให้อาหารทางปาก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1
บิดามารดาและผู้ดูแลผู้ป่วยขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วย
เป้าหมายการพยาบาล
บิดามารดาและผู้ดูแลผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วย
เกณฑ์ประเมินผล
บอกขั้นตอนการรักษาและวิธีการดูแลทารกได้ถูกต้อง
ร่วมมือในการปฏิบัติดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยกับครอบครัวอื่นที่มีบุตรได้รับการรักษา เช่นเดียวกันได้
บอกความจำเป็นของการผ่าตัดรักษาได้ถูกต้อง
**
กิจกรรมการพยาบาล
**ประเมินความรู้ความเข้าใจเรื่องความผิดปกติของผู้ป่วยและวิธีการผ่าตัดรักษา
อธิบายหรือแก้ไขความเข้าใจผิดต่างๆ ของบิดามารดาหรือผู้ดูแล
3.อธิบายวิธีการผ่าตัด ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด และผลลัพธ์ที่ได้ภายหลังผ่าตัด
4.ให้ดูรูปผู้ป่วยที่เป็นเหมือนกันระยะก่อนและหลังผ่าตัดที่ประสพความสำเร็จ
สอนบิดามารดาและผู้ดูแลเรื่องวิธีการป้อนนมอย่างถูกวิธี
6.แนะนำวิธีการดูแลทารกระยะก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างชัดเจนพร้อมทั้งส่งเสริมให้กำลังใจ
แนะนำวิธีการผูกแขนสองข้างเพื่อป้องกันทารกเอามือจับแผล**
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 3
เสี่ยงต่อการติดเชื้อของหูชั้นกลางเนื่องจากสำลักนม
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง
เกณฑ์ประเมินผล
ไม่มีสิ่งคัดหลั่งจากช่องหู ไม่ปวดหู
สัญญาณชีพปกติ ไม่มีไข้
ไม่มีอาการสำลักนมออกทางจมูก
กิจกรรมการพยาบาล
ให้นมอย่างถูกวิธี
สังเกตและระมัดระวังมิให้ผู้ป่วยสำลักนม
สังเกตอาการมีสิ่งคัดหลั่งจากช่องหูหรือไม่ มีกลิ่นเหม็นหรือไม่
สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพ
ภายหลังให้นม ดูแลความสะอาดช่องปากโดยให้ป้อนน้ำตามทุกครั้งและเช็ดคราบนมด้วยผ้านุ่มชุมน้ำหมาด ๆ แล้วจัดท่านอนให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงประมาณ 30 องศาและนอนตะแคงขวา
ระยะหลังผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1
เสี่ยงต่อการเกิดแผลแยกเลือดออกหรือติดเชื้อ
เป้าหมายการพยาบาล
แผลไม่แยกและไม่ติดเชื้อ
เกณฑ์ประเมินผล
1.สัญญาณชีพปกติ
2.แผลริมฝีปากติดดีไม่มีเลือดออก ไม่มีอาการบวมแดงอักเสบ ไม่มีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติ
แผลเพดานโหว่ไม่ทะลุ ไม่มีอาการพูดเสียงขึ้นจมูกและไม่สำลักอาหารจากปากเข้าจมูก
กิจกรรมการพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังดูแลผู้ป่วย
ผูกยึดข้อศอกทั้งสองข้าง (elbow restraint) มิให้งอเป็นเวลาประมาณ 6 - 8 วันหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้มือล้วงปากและคลายออกทุก 1 - 2 ชั่วโมงนาน 10 - 15 นาที และบริหารแขนให้มีการเคลื่อนไหวตามพิสัยของข้อศอก ข้อมือ
3.สอนบิดาหรือมารดาหรือผู้ดูแลวิธีการผูกตรึงทารกป้องกันมือล้วงภายในปาก
4.งดใส่สายยางดูดเสมหะในช่องปากหรือห้ามนำช้อนหรือวัตถุใด ๆ เข้าปากทำให้แผลแยกมีเลือดออกได้
5.งดให้ทารกดูดนมจากขวดประมาณ 1 เดือนหลังผ่าตัด ควรใช้ช้อนป้อนนมอย่างระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนแผลที่ริมฝีปากและเพดาน
สังเกตอาการแผลมีเลือดออก มีสิ่งคัดหลั่งมีกลิ่นเหม็น แผลมีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน
หากทารกร้องให้ ควรทำให้สงบเช่น ให้ยาบรรเทาอาการปวดหรืออุ้มสัมผัส พูดปลอบโยน
บรรเทาอาการปวดด้วยวิธีใช้ยาและวิธีไม่ใช้ยาให้ทารกเพื่อไม่ให้ทารกร้องไห้
บันทึกสัญญาณชีพ
ให้ดื่มน้ำสะอาด ภายหลังให้นมทารกแล้วทุกครั้ง
การพยาบาลหลังผ่าตัด cleft palate
สังเกตอาการออกเสียงขึ้นจมูกและอาการสำลักอาหารจากปากเข้าจมูก
ให้ดื่มน้ำสะอาด ภายหลังให้นมทารกแล้วทุกครั้ง
ห้ามอ้าปากทารกกว้างๆ ป้องกันแผลแยก
ห้ามดูดเสมหะในช่องปาก ยกเว้นหากจำเป็น ต้องกระทำด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวังหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณแผลที่เย็บไว้
หลีกเลี่ยงการนำของแข็งหรือของที่มีความแหลมเข้าปาก เช่น แปรงสีฟัน หลอดสำหรับดูดเครื่องดื่ม
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 2
มีโอกาสขาดสารน้ำและสารอาหารเนื่องจากข้อจำกัดของการดูดกลืนหลังผ่าตัดปากแหว่งหรือเพดานโหว่
เป้าหมายการพยาบาล
ได้รับสารน้ำและสารอาหารเพียงพอ
เกณฑ์ประเมินผล
ทารกสามารถรับนมหรืออาหารเหลวได้เพียงพอ
3 ไม่มีอาการอาเจียน สำลัก
น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลการให้สารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา 2.วิธีการให้นมหลังผ่าตัด
2.1 จัดทำนอนศีรษะสูงขณะป้อนนม ป้องกันสำลักเข้าสู่ปอด
2.2 ทารกหลังผ่าตัดปากแหว่งเริ่มป้อนอาหารเหลวหรือนมแม่หรือนมผสมตามแผนการรักษา โดยใช้
กระบอกสำหรับฉีดยาหรือใช้หลอดหยดยา (dropper) หยดเข้าด้นช้างของกระฟุ้งแก้ม
2.3 เด็กหลังผ่าตัดเพดานโหวให้อาหารเหลวที่มีคุณค่าให้พลังานสูง เช่น นม น้ำข้าว น้ำซุบ โดยใช้ syringe ต่อกับท่อยางตรงยาวประมาณ 3 เชนติเมตร ป้อนโดยหยอดเช้า บริเวณกระพุ้งแก้มด้านใน
2.4 ภายหลังให้นม ต้องป้อนน้ำตามทุกครั้งเพื่อความสะอาดของแผล และใส่ลมเป็นระยะๆ เสมอเพื่อ ป้องกันภาวะท้องอึด
3.งดการดูดนมชวดหลังผ่าตัดแล้วประมาณ 1 เดือน จึงเริ่มให้ดูดนมชวดได้
4.สอนบิดาหรือมารดาเรื่องวิธีให้นมทารกอย่างถูกต้อง
5.ชั่งน้ำหนักทารกวันละครั้ง
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 3
บิดามารดาหรือผู้ดูแลขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการดูแลทารกที่ได้รับการผ่าตัดเพดานโหว่
เป้าหมายการพยาบาล
บิดามารดาหรือผู้ดูแลมีความรู้ดูแลทารกที่ได้การผ่าตัดเพดานโหว่
เกณฑ์ประเมินผล
1.ตอบคำถามวิธีการดูแลทารกและอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ถูกต้อง
2.ทารกสามารถรับนมหรืออาหารเหลวเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
3.ทารกมีน้ำหนักตามเกณฑ์
4.ทารกใด้มารับตรวจตามนัดทุกครั้ง
กิจกรรมการพยาบาล
แนะนำวิธีการดูแลทารกเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
1.1 วิธีการให้นมด้วยช้อน งดดูดนมตัวยจุกนมหรือหลอดดูดพลาสติกนาน 1 เดือนหลังผ่าตัดและป้อนน้ำตามทุกครั้งภายหลังให้นม เพื่อให้ช่องปากสะอาด
1.2 การทำความสะอาดแผลผ่าตัดด้วยน้ำเกลือนอร์มัล และป้ายยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
1.3 สังเกตอาการผิดปกติของแผลผ่าตัดเช่น บวม แดง ร้อน มีสิ่งคัดหลั่ง
1.4 ป้องกันผู้ป่วยเอามือล้วงปาก โดยผูกยึดข้อตอก อกและถอดออกทุก 1 - 2 ชั่วโมง
1.5 งดนอนคว่ำในรายที่ฝาตัดริมฝีปากพราะทำให้แผลเสียดสีกับที่นอนและหมอนได้
1.6 แนะนำให้ตอบสนองดวามต้องการของทารก เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกร้องให้
1.7 การประเมินดวามผิดปกติเช่น อาการสำลัก น้ำหนักลด มีสิ่งคัดหลั่งออกจากช่องหู
บอกความสำคัญการมารับการรักษาต่อเนื่องตามแพทย์นัด เช่น การฝึกพูด การฝึกใช้ริมฝีปาก
เพดาน การจัดฟัน การตรวจการได้ยิน
แนะนำให้พูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครอบครัวที่มีบุตรเป็นโรคปากแหว่งและ/หรือ
เพดานโหว่
ภาวะแทรกซ้อน
ผู้ป่วยเลี้ยงไม่โต
พูดไม่ชัดออกเสียงขึ้นจมูก
จมูกผิดรูป
ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้นจากการสำลัก
การสำลักนมผ่านเพดานขึ้งไปยังช่องหูชั้นกลางและท่อยูสเตเชียน (eustacian tubes) จะทำให้หูชั้นกลางอักเสบเกิดหูน้ำหนวก
สูญเสียการได้ยิน
ฟันขึ้นผิดรูป
บิดามารดาจะรู้สึกผิด เศร้าเสียใจ ทำให้มีปัญหาต่อการสร้างความรักความ
ผูกพันกับทารก
อ้างอิง
บุญเพียร จันทวัฒนา, ฟองคำ ติลกสกุลชัย, บัญจางค์ สุขเจริญ, วิไล เลิศธรรมเทวี และศรีสมบูรณ์ มุสิกสุคนธ์. (2552).
ตำราการพยาบาลเด็ก เล่ม 2.
ห้างหุ้นส่วนจำกัด พรีวัน.
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาการรับประทานอาหารและการรักษาในเด็กท่ีมีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
สุภาพร ชินชัย,ปิยะวัฒน์ ตรีวิทยา, เพื่อนใจ รัตตากร, นันทิการ์ สันสุวรรณ, กฤษณ์ ขวัญเงิน และสุธิดา เหล็กมูล. (2560).
ปัญหาการรับประทานอาหารและการรักษาในเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่.
Journal of Associated Medical Sciences, 50(3), 533-536
แนวทางการรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่โดยทีมสหวิชาชีพ
ลัดดาวัลย์ สุนันท์ลิกานนท์, วรนุช เชษฐภักดีจิต. (2560).
แนวทางการรักษาผุ้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่โดยทีมสหวิชาชีพ.
วารสารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, 2(2), 25-27.
https://www.hospital.tu.ac.th/TUH_Journal/doc/article22/2.pdf
The Genetics of Cleft Lip and Cleft Palate
Elizabeth J Leslie and Mary L Marazita. (2013).
Genetics of cleft lip and cleft palate.
Am J Med Genet C Semin Med Genet, 163(4), 246-258
ปัจจัย
สิ่งแวดล้อม (environmental agents)
ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
มารดาติดหัดเยอรมัน
มารดามีภาวะขาดวิตามิน และสารโฟเลท
มารดาสูบบุหรี่ ทำให้บุตรมีโอกาสเป็นปากแหว่งมากขึ้นเป็น 2เท่า
มารดาดื่มสุรา
มารดาได้รับยากันชัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยา Phenytoin
กรรมพันธุ์ (heredity)
การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือโครโมโซมที่ผิดปกติ
หากครอบครัวที่มีพ่อ แม่ หรือญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ลูกมีโอกาสเป็นถึง 60 %