Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล - Coggle Diagram
หน่วยที่ 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล
1.พฤติกรรมและลักษณะการแสดงออก
ในการจัดการเรียนการสอนครูผู้สอนต้องรู้ว่าจะสอนให้เกิดพฤติกรรมอะไร(KPA)และที่สำคัญต้องรู้ว่าจะวัดพฤติกรรมอย่างไร โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้เรียนที่ปรากฏในจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ดังนั้น ครูต้องพยายามใช้เครื่องมือต่างๆที่มีคุณภาพมาวัดพฤติกรรมของผู้เรียน
พฤติกรรมการเรียนรู้
ทักษะพิสัย (P) = การกระทำได้
จิตพิสัย (A) = จิตใจ
พุทธิพิสัย (K) = ปัญญา
ในการสอนแต่ละครั้ง/แต่ละแผน ครูต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทางการศึกษา (พฤติกรรมการเรียนรู้) ประเภทใด หรือต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการศึกษาประเภทใด นั้นคือ ครูผู้สอนจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการศึกษาและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วน
2.เครื่องมือในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษา
เครื่องมือหรือเทคนิคที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษามีหลายชนิดและมีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกันตามโอกาสหรือสถานการณ์ ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาและสามารถเลือกใช้เครื่องมือได้ถูกต้อง
2.1ตรวจสอบรายการ ใช้วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย(A)และพฤติกรรมทักษะพิสัย(P) สร้างขึ้นเพื่อวัดเจตคติหรือความสามารถด้านทักษะของผู้เรียน ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามว่า ใช่/ไม่ใช่ มี/ไม่มี เป็นต้น
2.2มาตราส่วนประมาณค่า สามารถวัดระดับความถี่ ความมาก-น้อยของพฤติกรรมผู้เรียนได้ ซึ่งเครื่องมือนี้ใช้วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย(A)และทักษะพิสัย(P) แบ่งออกได้ดังนี้
2มาตราส่วนประมาณค่าแบบตัวเลข (5 4 3 2 1)
3มาตราส่วนประมาณค่าแบบใช้สัญลักษณ์หรือภาพประกอบ วัดด้าน A,P
1มาตราส่วนประมาณค่าแบบบรรยาย (มาก ปานกลาง น้อย)
4การจัดอันดับ จะให้ผู้ถูกวัดจะเรียงความสำคัญตามสถานการณ์ที่กำหนดหรือ จัดเรียงพฤติกรรมที่สนใจให้ถูกต้อง วัดทั้ง 3 ด้าน K,P,A
2.3แบบวัดเชิงสถานการณ์ เป็นการจำลองหรือสร้างสถานการณ์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นแล้วให้บุคคลแสดงความรู้สึก สามารถวัดพฤติกรรมทางการศึกษาได้ทั้ง 3 ด้าน แต่เป็นเครื่องมือที่สร้างได้ยาก จึงเหมาะกับการวัดด้านพุทธิพิสัย(K)ที่สุด
2.4การสังเกต คือ การพิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาความจริงบางอย่างโดยอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง ทำให้ได้ข้อมูลปฐมภูมิซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งแบบการสังเกตสามารถใช้ร่วมกับการตรวจสอบเชิงสถานการณ์ได้ จึงวัดได้ทั้ง 3 ด้าน โดยการสังเกตแบ่งออกได้หลายลักษณะคือ
1.การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม
2.การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง คือ การสังเกตที่ไม่ได้กำหนดเรื่องเฉพาะ
การสังเกตแบบมีโครงสร้าง คือ ผู้สังเกตได้กำหนดเรื่องเฉพาะที่จะสังเกตเอาไว้แล้ว
2.5การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาหรือพูดตอบโต้กันอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ ความจริง ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เครื่องมือนี้ใช้วัดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน K,P,A โดยมีรูปแบบการสัมภาษณ์ 2แบบคือ
1การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
2การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
2.6แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากเพราะมีความสะดวกและสามารถวัดได้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เป็นคำถามแบบชุด เพื่อวัดสิ่งที่ต้องการจะวัด ส่วนใหญ่จะวัดพฤติกรรมด้านจิตตพิสัย (A) โดยรูปแบบของแบบสอบถามมี 2 แบบคือ
คำถามปลายเปิด
คำถามปลายปิด
2.7การวัดผลภาคปฏิบัติ เป็นการวัดผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ทั้งในกรณีที่เป็นสภาพจริงหรือในสถานการณ์จำลอง ซึ่งเครื่องมือนี้เหมาะกับการวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย(P)และพุทธพิสัย(K)
ในการวัดและประเมินผลทางการศึกษาเป็นความพยายามในการใช้เครื่องมือมาวัดพฤติกรรมทางการศึกษา ที่แฝงอยู่ในตัวของผู้เรียนและนำมาเทียบกับเกณฑ์เพื่อตัดสินผู้เรียนหรือดูความก้าวหน้า/พัฒนาการของผู้เรียน