Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาทางจิตใจ (Psychological treatment) - Coggle Diagram
การรักษาทางจิตใจ
(Psychological treatment)
1.การให้คำปรึกษา (Counseling)
ความหมาย
กระบวนการช่วยเหลือบุคคลระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและ ผู้รับคำปรึกษา ด้วยสัมพันธภาพที่ดี มีบรรยากาศของความเป็นมิตร อบอุ่นและเต็มใจในการช่วยเหลือ
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาและสามารถเลือกตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
จุดมุ่งหมาย
ช่วยให้บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองไม่โดดเดี่ยวเมื่อเกิดปัญหา
ช่วยให้บุคคลสามารถรู้จักและเข้าใจตนเองได้อย่างถูกต้อง
ช่วยให้บุคคลรู้จักใช้ความคิด สติปัญญาทั้งหมดนำไปใช้ในการตัดสินใจในแก้ปัญหา
ช่วยให้บุคคลนั้นมองเห็นลู่ทางในการแก้ปัญหา
ช่วยให้บุคคลเห็นถึงความสำคัญ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการบริการแนะแนว
ช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้
ช่วยให้บุคคลรู้จักความอดทน เสียสละ ยอมรับต่อสภาวการณ์ที่แท้จริง
ช่วยให้บุคคลมีการพัฒนาการ และเจริญงอกงามไปถึงขีดสูงสุด
คุณสมบัติของผู้ให้คำปรึกษา
2.ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ขอคำปรึกษา ช่วยให้การให้คำปรึกษาเกิดความร่วมมือในการหาหนทางในการแก้ปัญหาด้วยกัน
3.ด้านจริยธรรม (Ethics) ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำต้องรับรู้ปัญหาต่างๆ ของบุคคลอื่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการปฏิบัติงานผู้ให้คำปรึกษาแนะนำจำเป็นต้องรักษาความลับของผู้ขอคำปรึกษาและการให้คำปรึกษาก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการ โดยไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ต้องวางตัวเป็นกลางอยู่บนหลักการและเหตุผล โดยมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
1.ด้านความรู้ความสามารถ (knowledge) เนื่องจากการให้คำปรึกษา แนะนำ มีขอบข่ายกว้างขวาง ผู้ให้คำปรึกษาจำเป็นต้องรู้หลักการและเทคนิคในการให้คําปรึกษา
หลักการสำคัญของการให้คำปรึกษา
4.ไม่ด่วนสรุปหรือตัดสินผู้มีปัญหา
5.เน้นที่ความเป็นจริงตามเหตุการณ์และสถานการณ์
3.เข้าใจและยอมรับในอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของผู้มีปัญหา
6.มีการตอบโต้เป็นจริงตามเหตุการณ์และสถานการณ์
2.เน้นที่อารมณ์ความรู้สึกของผู้มีปัญหา
7.ผู้มีปัญหาเกิดการเรียนรู้ด้วยเหตุของปัญหาและตัดสินใจเลือกทางแก้ไขด้วยตนเอง
1.ยึดเอาผู้มีปัญหาเป็นหลัก
การให้คำปรึกษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.การให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล (Individual Counseling)
การให้คำปรึกษาประเภทนี้เป็นแบบที่ได้รับความนิยม โดยจะเป็นการพบกันระหว่างผู้ให้คำปรึกษา 1 คนกับผู้ขอคำปรึกษา 1 คน
2.การให้คำศึกษาแบบกลุ่ม (Group Counseling)
เป็นกระบวนการที่บุคคลที่มีความต้องการหรือปัญหาที่คล้ายกันหรือตรงกัน ต้องการปรับปรุงตนเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยมารวมกันเป็นกลุ่มเพื่อปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน โดยมีผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ช่วยเหลือ จะมีสมาชิกในกลุ่มประมาณ 7-9 คน ต่อผู้ให้คำปรึกษา 1 คน
กระบวนการให้คำปรึกษา (process of counseling)
มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 3 การเข้าใจปัญหา
สาเหตุและความต้องการของผู้รับการปรึกษา
ขั้นตอนที่ 4 การวางแผนแก้ไขปัญหา
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญโดยผู้ให้การปรึกษาเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ของปัญหานั้นและเสนอทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้รับการปรึกษาได้ใช้ความคิดในการตัดสินใจในการแก้ปัญหานั้น
ขั้นตอนที่ 2 การสำรวจปัญหา
ขั้นตอนนี้ผู้ให้การปรึกษาจะต้องกระตุ้นให้ผู้รับการปรึกษาบอกถึงปัญหา ค้นหาสาเหตุและความต้องการของตนเองให้มากที่สุด เพื่อนำมาประกอบในการแก้ไขปัญหานั้น
ขั้นตอนที่ 5 การยุติการให้การปรึกษา
ผู้ให้การปรึกษาควรส่งสัญญาณให้ผู้รับการปรึกษารับทราบก่อนหมดเวลา เพื่อให้เกิดการเตรียมตัว เตรียมใจ และเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสทบทวนประเด็นปัญหาที่ได้คุยไป และเปิดโอกาสให้มีการซักถามในประเด็นที่สงสัย จากนั้นผู้ให้การปรึกษาทำหน้าที่ตอบข้อซักถามเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพและตกลงบริการ
เป้าหมายคือ เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเกิดความรู้สึกไว้วางใจปลอดภัยและเชื่อมั่นต่อการช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษา
2.จิตบำบัด (psychotherapy)
ความหมาย
การรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ อารมณ์และพฤติกรรม โดยใช้การสนทนา และการสร้างสัมพันธภาพในรูปแบบวิชาชีพ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือความผิดปกติทางด้านจิตใจ ของผู้ป่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งด้านความคิด ความรู้สึกและการกระทํา รวมทั้งพัฒนาบุคลิกภาพให้ดีขึ้น
วิธีการทำจิตบำบัดมี 2 วิธี ดังนี้
1.จิตบำบัดระดับลึก
(Genetic-dynamic Therapy / Deep Psycho-therapy) เน้นการเปลี่ยนบุคลิกภาพระยะยาวในผู้ป่วย
มีจิตใต้สำนึก (preconscious) และจิตไร้สำนึก (unconscious)
การทำจิตบำบัดมี 2 แบบ
1.จิตวิเคราะห์
(Psychoanalysis) ตามแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์
Dream interpretation เน้นให้ผู้ป่วยเล่าความฝัน และผู้รักษาตีความจากฝัน
Transference เน้นการโอนถ่ายความรู้สึกไปยังบุคคลอื่น
Free-association เน้นให้ผู้ป่วยรู้สึกอิสระ ผ่อนคลาย
2.จิตบำบัดแบบ Distributive-Synthesis
ตามแนวคิดของ Adof Meyer เน้นวิธีการให้ผู้ป่วยเล่าเหตุการณ์ในอดีต
2.จิตบำบัดระดับต้น
(Superficial Psychotherapy) เน้นการบำบัดเบื้องต้น 3 ลักษณะ
จิตบำบัดเน้นการระบายปัญหา (Superficial expressive psycho-therapy) เน้นการระบายปัญหา ความทุกข์ใจ
จิตบำบัดเน้นการกดเจ็บ (Suppressive psychotherapy) เน้นการให้ข้อเสนอแนะ เพื่อลดภาวะเครียด
จิตแบบประคับประคอง (Supportive psychotherapy) เน้นการพูดคุย
ชนิดของจิตบำบัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.จิตบำบัดรายบุคคล
(Individual psychotherapy) เป็นการรักษาผู้ป่วยเป็นรายบุคคล ด้วยกรพูดคุยสนทนากันตัวต่อตัวและผู้บำบัด
กระบวนการในการจิตบำบัดรายบุคคล เน้น 3 ระยะ
ระยะที่ 2
เป็นระยะการโอนถ่ายความรู้สึกสู่ผู้รักษา
ระยะสิ้นสุด
เป็นการเตรียมสิ้นสุดสัมพันธภาพ
ระยะแรก
เน้นการสร้างสัมพันธภาพ รับฟังปัญหา การแสดงความเห็นใจและรับความรู้สึก
2.จิตบำบัดแบบกลุ่ม
(Group psychotherapy) เป็นวิธีการทำจิตบำบัดผู้ป่วยที่มีปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมที่สมาชิกตั้งแต่ 2 ขึ้นไป
ชนิดของจิตบำบัดกลุ่ม
3.Repreessive interaction group การพบปะสนทนากันและทำกิจกรรมร่วมในสิ่งที่มีประโยชน์
4.Free-interaction group อาจเรียกว่า group-centered การพูดคุยแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
2.Therapeutic social ผู้ป่วยเลือกตัวแทนหนึ่งคนมาช่วยในการบริหารกิจกรรมต่างๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้ออกจำหน่ายจากโรงพยาบาลแล้ว
5.Psychodrama (ละครจิตบำบัด) กลุ่มที่ให้ผู้ป่วยแสดงละครโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ป่วยระบายอารมณ์
6.ครอบครัวบำบัด (family therapy) สมาชิกครอบครัวคุยกัน เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอารมณ์
1.Didactic group การทำงานกลุ่มลักษณะนี้ต้องอาศัยความรู้เป็นหลัก
7.สมรสบำบัด (marital therapy) เป็นการทำจิตบำบัดระหว่างคู่สมรสที่มีปัญหา
การดำเนินกลุ่มแต่ละครั้ง แบ่งเป็น 3 ระยะ
2.ระยะดำเนินกลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มไต่ถามหารายละเอียดของปัญหา
กลุ่มวิจารณ์ให้ข้อเสนอแนะ
นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มมาพิจารณาและแก้ไข
เวลาที่ใช้ 4/6 ของเวลาทั้งหมด
เป็นปัญหาในปัจจุบันหรือปัญหาที่เกิดเมื่อเร็วๆ นี้
นำปัญหาเข้าสู่ความสนใจของกลุ่ม
3.ระยะสรุป ประกอบด้วย
การวางแผนสำหรับการทำกลุ่มในคราวต่อไป (ถ้ามี)
เวลาที่ใช้ 1/6 ของเวลาทั้งหมด
สรุปการเรียนรู้กันในกลุ่ม
สรุปปัญหาและข้อเสนอแนะ
1.ระยะเริ่มต้นกลุ่ม ประกอบด้วย
ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ กฎเกณฑ์ กติการการเข้ากลุ่ม
เวลาที่ใช้ 1/6 ของเวลาทั้งหมด
เริ่มจากการทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
ปัจจัยบำบัด (therapeutic factors)
มีทั้งหมด 11 ปัจจัย
6.การพัฒนาเทคนิคเพื่อการเข้าสังคม (development of social techniques)
7.การเลียนแบบพฤติกรรม (imitative behavior)
5.การแก้ไขประสบการณ์เดิมในครอบครัว (corrective recapitulation of the family group)
8.การระบายอารมณ์ (catharsis)
4.การรู้สึกได้ทำประโยชน์ (altruism)
9.การเรียนรู้ความจริงอันเป็นสัจธรรม (existential factors)
3.การได้รับข้อมูล (imparting information)
10.ความ รู้สึกผูกพัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (cohesiveness)
2.ความรู้สึกอันเป็นสากล (universality)
11.การเรียนรู้วิธีที่จะติดต่อและสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (interpersonal learning)
1.การมีความหวัง (instillation of hope)
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการทำจิตบำบัด
2.จิตบำบัดแนวทฤษฎีมนุษยนิยม (humanism) ผู้ริเริ่มแนวคิดคือ Carl R. Rogers กล่าวว่า มนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น
3.จิตบำบัดแนวทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (behaviorism)
ประสบการณ์เรียนรู้บุคคลที่เจ็บป่วย โดยใช้หลักการสร้างเงื่อนไขการเรียนรู้ใหม่
1.จิตบำบัดแนวทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory) คิดค้นขึ้นโดย Sigmund Freud แนวคิดว่า พฤติกรรมที่ผิดปกติเกิดจากกระบวนการของจิตใต้สำนึก
4.จิตบำบัดแนวทฤษฏีทางปัญญานิยม (Cognitivism) ผู้คิดริเริ่มคือ Aaron T. Beck กล่าวว่า การนึกคิดมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก
3.พฤติกรรมบําบัด (Behavior Therapy)
ความหมาย
ใช้หลักการเรียนรู้และผลการทดลองทางจิตวิทยามาใช้กับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
ไม่คำนึงถึงสาเหตุของพฤติกรรมในอดีต
มุ่งเน้นการควบคุมพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สังเกตได้
การเสริมแรง (reinforcement)
เป็นการทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้น มี 2 ประเภท
2.การเสริมแรงทางลบ (negative reinforcement)
มีผลทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้น
เช่น การตัดสิทธิ์ลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ
เป็นการนำเอาพฤติกรรมที่สามารถถอดหรือหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าที่ไม่พึงพอใจ (aversive stimulus) ออกไป
1.การเสริมแรงทางบวก (positive reinforcement)
เช่น การให้รางวัลชมเชย เพิ่มพฤติกรรมที่ต้องการ
มีผลให้พฤติกรรมที่เสริมแรงมีความถี่เพิ่มขึ้น
หลักของการให้การเสริมแรงทางบวก
3.ควรมีการบอกถึงเงื่อนไขการให้การเสริมแรง
4.ตัวเสริมแรงนั้น ควรมีปริมาณพอเหมาะที่จะเสริมแรงพฤติกรรม
2.การเสริมแรงต้องกระทำทันทีที่พฤติกรรมเป้าหมายเกิดขึ้น และกระทำอย่างสม่ำเสมอ
5.ตัวเสริมแรงนั้นจะต้องเลือกให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
1.การเสริมแรงทางบวกต้องให้หลังจากเกิดพฤติกรรมเป้าหมายเท่านั้น
6.ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ตัวเสริมแรงที่อยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น
7.ควรมีการใช้ตัวแบบหรือการชี้แนะควบคู่ไปกับการเสริมแรง
8.ควรมีการวางแผนการใช้ตารางการเสริมแรง หรือยืดเวลาการเสริมแรง
ชนิดของตัวเสริมแรง
1.ตัวเสริมแรงที่เป็นสิ่งของ (material reinforcers)
2.ตัวเสริมแรงทางสังคม (social reinforcers)
ได้แก่ การยิ้ม การชมเชย ด้วยความจริงใจ
หากใช้ด้วยความไม่จริงใจแล้วจะก่อให้เกิดผลในแง่ลบ
3.ตัวเสริมแรงที่เป็นกิจกรรม
เป็นพฤติกรรมที่บุคคลชอบทำมากที่สุดมาเสริมแรง
เช่น การใช้หลักการตกลงกับเด็กว่า ถ้าต้องการจะเล่นเกมส์ ต้องทำแบบฝึกหัดให้เสร็จก่อน
เทคนิคและวิธีการของพฤติกรรมบําบัด
4.การลดความรู้สึกอย่างเป็นระบบ (Systematic desensitization)
โดยบุคคลไม่สามารถที่จะจัดการกับสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไขนั้นได้เลย
ซึ่งเป็นการลดความรู้สึกวิตกกังวลอย่างมีระบบ มี 3 ขั้นตอน
1.Hierrachy construction การจัดลำดับความกังวลจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด
2.Relaxation training การฝึกการผ่อนคลายความเครียด
3.Pairing of relaxation and anxiety scene การจับคู่กันระหว่างการผ่อนคลายกับความวิตกกังวล
เป็นเทคนิคที่ใช้ลดความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลที่ถูกวางเงื่อนไข
เช่น กลัวลิฟต์ ก็ค่อยๆให้ลงลิฟต์วันละชั้นจนสามารถลงได้หลายชั้น
5.การเสนอตัวแบบ (Modeling technique)
ช่วยให้บุคคลเรียนรู้พฤติกรรมใหม่จากตัวแบบ
เช่น พยาบาลแสดงทักษะทางสังคมเพื่อเป็นแบบอย่างกับผู้ป่วย
หลักการในการฝึกทักษะทางสังคม ได้แก่ การชี้แนะ การสาธิต การปฏิบัติ และการให้ข้อมูลป้อน
3.การใช้เบี้ยอรรถกร (token economy)
โดยที่เบี้ยต่างๆ สามารถนําไปแลกเป็นตัวเสริมแรงอื่นๆ มากกว่า 1 ตัวขึ้นไป
เช่น นําเบี้ยไปแลกอาหาร ขนม เวลาเดินเล่นพักผ่อน
เป็นเทคนิคการเสริมแรงทางบวกที่ใช้เบี้ย คะแนน ดาว หรือแต้ม
6.Assertive training
เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยกล้าแสดงออกถึงความรู้สึกที่ควรจะแสดงออกในสังคมโดยไม่วิตกกังวล
2.การชี้แนะ (prompting) และ การจางหายไปของสิ่งชี้แนะ (fading)
การชี้แนะ คือ การใช้สิ่งเร้าบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นให้บุคคลเกิดการตอบสนอง
เช่น พยาบาลใช้มือแตะข้อศอกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระหว่างมื้ออาหาร
พร้อมพูดว่า “จับ” เด็กจะมีพฤติกรรมจับซ้อนตักอาหารทันที
การจางหายของสิ่งชี้แนะ คือ การค่อยๆ ถอดถอนการชี้แนะออกเมื่อบุคคลได้ฝึกฝนพฤติกรรมเป็นอย่างดีแล้ว
เช่น พยาบาลจะลดสิ่งชี้แนะโดยไม่แตะข้อศอกเด็ก เหลือแค่การพูดว่า “จับ”
เด็กก็จับซ้อนรับประทานอาหาร
7.การทำพันธะสัญญา (Contract)
เป็นการทำข้อตกลงระหว่างผู้บําบัดกับผู้ป่วยโดยใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
เช่น ต้องการให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สัญญานั้นอาจกําหนดว่าถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักเพิ่ม จะได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกโรงพยาบาลตามสัดส่วนน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
1.การปรับแต่งพฤติกรรม (Shaping Teachique)
เช่น การฝึกเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้าให้ใส่เสื้อ
ใช้วิธีการให้แรงเสริมพฤติกรรมที่คาดว่าจะนําไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ
การเสริมสร้างพฤติกรรมใหม่
8.การใช้เวลานอก (time out)
เป็นการนําบุคคลออกจากสถานที่ที่มีการเสริมแรงในระยะเวลาหนึ่ง มีผลทำให้เกิดพฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงยุติลง
เช่น การนําผู้ป่วยเข้าห้องแยกเมื่อผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในหอผู้ป่วย
เป็นเทคนิคการลดพฤติกรรม โดยอาศัยหลักของการลงโทษ (punishment)
ข้อบ่งใช้ในการบําบัดด้วยพฤติกรรมบําบัด
4.ความผิดปกติทางการกินและความผิดปกติย้ำคิดย้ำทำ
ใช้เทคนิคการขจัดพฤติกรรมตอบสนอง (response prevention)
5.โรคอ้วน
ใช้การประเมินและกํากับตนเอง (self-monitoring) และเทคนิคการใช้ตัวแบบ
3.ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual Disabilities)
ใช้เทคนิคการแต่งพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนเชิงเศรษฐศาสตร์
2.ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมพึ่งพา (dependent patient) ในผู้ติดแอลกอฮอล์ (alcoholism) ยาเสพติด
ใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข (classical conditioning technique)
6.โรคกลัวผิดปกติ โรควิตกกังวล โรคแพนิค
สามารถพิจารณาเลือกใช้เทคนิค เช่น เทคนิคการผ่อนคลาย ความวิตกกังวล เทคนิคการใช้ตัวแบบ เทคนิคการหยุดยั้ง
1.เด็กที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น สมาธิสั้น ดูดนิ้ว กลัวโรงเรียน ปัสสาวะรดที่นอน และในเด็กได้รับการฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อขับถ่าย
7.ผู้ป่วยจิตเภท (Schizophrenia)
ใช้เทคนิคการฝึกการสอนตนเอง
8.โรคซึมเศร้า
ใช้การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT)
การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม
มีเป้าหมายเพื่อช่วยจัดการกับอารมณ์ในทางลบของมนุษย์
ด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนความคิด (cognitive) และพฤติกรรม (behaviour)
CBT ย่อมาจาก Cognitive behavioral therapy เป็นจิตบำบัดชนิดหนึ่ง
ใช้ได้ผลดีในการรักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งมักจะเกิดจากมีความคิดไม่ถูกต้อง (Cognitive error)
เทคนิคการทำ CBT
2.ใช้จัดการพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งที่กลัว โดยใช้วิธีฝึกให้เผชิญสิ่งที่กลัวทีละน้อย
3.ใช้จัดการพฤติกรรมย้ำคิด
ใช้วิธีฝึกการมีสติอยู่กับปัจจุบัน
ให้รู้ตัวว่าคิดซ้ำแล้วหยุดคิด
1.การจัดการความคิดและความรู้สึกตนเองให้อยู่กับปัจจุบัน
โดยการรู้จักและติดตามความคิดความรู้สึก ทำได้ 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาความคิดอัตโนมัติทางลบ
ขั้นตอนที่ 2 การประเมินและตรวจสอบความคิดดังกล่าวว่าเป็นความจริงหรือไม่
ขั้นตอนที่ 3 การตอบสนองต่อความคิดอัตโนมัติ
4.ใช้จัดการพฤติกรรมทำ
ใช้วิธีฝืนใจตนเองไม่ทําซ้ำ (response prevention)
จะรู้สึกเครียด เมื่ออดทนได้ ความเครียดจะลดลง
4.กลุ่มบําบัด
เป็นวิธีการบําบัดอย่างหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวช ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
ชนิดของกลุ่มบําบัด
1.กลุ่มกิจกรรม (activity groups)
เป็นกิจกรรมอย่างง่ายเมื่อผู้ป่วยทำสำเร็จจะเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
เป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายเน้นให้ผู้ป่วยได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
2.กลุ่มให้ความรู้ (educational groups)
เช่น กลุ่มให้ความรู้เรื่องยา การผ่อนคลายความเครียด
เป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายเน้นเกี่ยวกับการให้ข้อมูลความรู้ต่างๆ
3.กลุ่มบําบัดเพื่อการรักษา (therapeutic groups)
เป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจและพัฒนาความตระหนักรู้อารมณ์
เช่น กลุ่มจิตบําบัด กลุ่มจิตละครบําบัด
4.กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (self – help groups)
มีเป้าหมายในการให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาคล้ายกันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
พยาบาลอาจเป็นเพียงแค่ผู้ประคับประคองให้กลุ่มยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
การจัดกลุ่มกิจกรรมบําบัด
6.กลุ่มเสริมแรงจูงใจ (Group Remotivation)
เป็นกลุ่มกิจกรรมที่มุ่งฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย
ป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมถอยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
กิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นการนําผู้ป่วยกลับไปสู่สภาพการณ์ที่เขาเคยประสบมา
ให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสรื้อฟื้นความรู้ความทรงจำเก่าๆรวมทั้งการเพิ่มความรู้ใหม่ๆ
5.สังคมสังสรรค์ (Social Meeting)
เป็นการจัดให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้และฝึกทักษะในการเข้าสังคม
รู้วิธีการปรับตัวหรือวางตัวให้เหมาะสมเมื่อเข้ากลุ่มสังคมกับบุคคลอื่น
ลดปัญหาการแยกตัว การคิดเพ้อฝัน การหมกมุ่นครุ่นคิดและอาการหลงผิดลงได้
4.กลุ่มการศึกษา (Group Education)
เป็นการจัดกลุ่มที่ให้โอกาสผู้ป่วยได้รับความรู้ ได้รับข่าวสาร ทันต่อความเปลี่ยนแปลง ก้าวหน้าในสังคม
ในขณะเข้าร่วมกลุ่มจะได้ฝึกสมาธิความตั้งใจที่จะฟัง ได้ทบทวนความรู้ความจํา กล้าแสดงความคิดเห็น
3.นันทนาการบําบัด (Recreational Therapy)
เป็นการจัดกิจกรรมบันเทิงให้ผู้ป่วยได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รู้จักการแบ่งเวลาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เรียนรู้วิธีผ่อนคลายความตึงเครียดและสร้างความสุขในชีวิตประจำวัน
2.อาชีวะบําบัด (Occupational Therapy)
เป็นกลุ่มที่ให้ผู้ป่วยได้ทำงาน อาจเป็นงานอาชีพ หรือไม่ใช่ก็ได้
เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งในการดำเนินชีวิต รวมทั้งการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
1.กลุ่มชุมชนบําบัด (Group Therapeutic Community or Group T.C.)
ประชุมเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในหอผู้ป่วย โดยมีพื้นฐานความคิดว่าหอผู้ป่วยเปรียบได้กับชุมชน
ทุกคนในชุมชนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เป็นกลุ่มที่มีการประชุมร่วมกันของผู้ป่วยและบุคลากรในทีมการรักษาทั้งหมด
7.ดนตรีบําบัด (Musical Therapy)
ช่วยส่งเสริมและฟื้นฟูให้ผู้ป่วยสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดยเสียงและจังหวะของดนตรีจะไปเร้าความรู้สึกและกระตุ้นให้ผู้ป่วยแสดงอารมณ์ออกมา
ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและเกิดความสนุกสนาน
เป็นการบำบัดรักษาโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ
หลักการเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
3.Manic Aggressive
ควรเลือกกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังกําย เช่น เกษตร ขุดดิน ปลูกผัก
4.โรคเรื้อรัง
ควรเลือกกิจกรรมที่ทำได้ตลอดวัน
2.Anxiety , Paran
ควรเลือกกิจกรรมง่าย, กิจกรรมที่ใช้กำลังกาย
งดกิจกรรมประเภทการแข่งขัน
oid
5.Delusion Hallucination
กิจกรรมที่เป็นชิ้น สำเร็จในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่มีการแข่งขัน
1.Depression
ควรเลือกกิจกรรมที่ได้ระบายความรู้สึก, กิจกรรมง่ายและสำเร็จในเวลาอันสั้น
เป็นชิ้นงาน สร้างความภูมิใจและความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
บุคลิกลักษณะของผู้นํากลุ่ม
5.มีความเข้าใจตนเอง
6.เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง
4.มีความอบอุ่นเป็นมิตร
7.เชื่อมั่นในกระบวนการกลุ่ม
3.การเข้าถึงความรู้สึกของผู้อื่น
8.เป็นผู้ฟังที่ดีผู้นํากลุ่มต้องเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจและเข้าใจ
2.เป็นแบบอย่างที่ดี
9.มีความไวในการรับรู้ความรู้สึกได้อย่างถูกต้อง
1.ความกล้า
10.การมีอารมณ์ขัน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดกลุ่มกิจกรรมบําบัด
2.ความสนใจของผู้ป่วย
ประเมินความสนใจของผู้ป่วยส่วนใหญ่ก่อนการวางแผนการจัดกิจกรรม
3.เพศและวัยของผู้ป่วย
กิจกรรมต้องเหมาะสมกับเพศ และวัยของผู้ป่วย
เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจ ไม่ขัด เขินหรือไม่เกินกําลัง
1.วัตถุประสงค์ของกิจกรรมบําบัด
ต้องวางแผนการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องและ
เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นๆ
กลุ่มกิจกรรมบําบัดนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร
4.อาการหรือการเจ็บป่วยของผู้ป่วย
กิจกรรมที่จัดขึ้นต้องไม่ไปกระตุ้นและส่งเสริมอาการ หรือขัดกับอาการของผู้ป่วย
5.ความรู้ความสามารถของผู้ป่วย
กิจกรรมที่เหมาะสมกับความรู้และความสามารถจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองให้แก่ผู้ป่วย
ถ้ากิจกรรมนั้นไม่เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยประสบความล้มเหลว ขาดความเชื่อมั่นและวิตกกังวลได้
6.ภูมิหลัง หรือวัฒนธรรมประเพณีของผู้ป่วย
กิจกรรมที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมประเพณี จะทำให้ผู้ป่วยไม่ร่วมมือ ต่อต้าน หรืออึดอัดไม่สบายใจในการเข้าร่วมกลุ่ม
7.เวลาในการจัดแต่ละครั้ง
ส่วนใหญ่กลุ่มกิจกรรมบําบัดจะใช้เวลาในการจัด 1 ชั่วโมง
8.งบประมาณ
ต้องคำนึงถึงว่ามีงบประมาณมากน้อยเพียงพอหรือไม่
ไม่ควรใช้ของราคาแพง หรือวัสดุอุปกรณ์ที่สิ้นเปลือง
9.สถานที่
10.ความปลอดภัย
กิจกรรมกลุ่มบําบัด (Activity Groups) ประกอบไปด้วย
2.ผู้ช่วยผู้นํากลุ่ม
มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้นํากลุ่มตามที่ผู้นํากลุ่มขอให้ช่วยเหลือ
ผู้สังเกตการณ์
มีหน้าที่ สังเกตการณ์ดำเนินกลุ่ม บันทึกการดำเนินกลุ่ม ประเมินผลและเสนอแนะ
1.ผู้นํากลุ่ม
มีหน้าที่วางแผนการจัดกลุ่ม ติดต่อประสานงาน ร่วมคัดเลือก/ประเมินสมาชิกเข้ากลุ่มดำเนินกลุ่ม ประเมินผลกลุ่มและเสนอแนะ
ข้อตกลงในการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มบําบัด
6.ห้ามนําอุปกรณ์ในการทำกลุ่มออกนอกกลุ่ม
7.ไม่พูดจาหยาบคายหรือไม่สุภาพใดๆ ในขณะทำกิจกรรมกลุ่ม
5.ห้ามออกจากกลุ่มก่อนได้รับการอนุญาต
8.ให้เกียรติสมาชิกทุกคนในกลุ่มและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
4.ถ้าญาติมาให้ญาติรอก่อน ถ้าแพทย์มาให้ไปพบได้
9.ห้ามรับประทานอาหารก่อนจะปิดกลุ่ม
3.ไม่พูดแซงกัน
10.เก็บเรื่องที่คุยกันในกลุ่มเป็นความลับ ไม่เอาไปพูดเล่นไม่ล้อเลียนนอกกลุ่ม
2.ให้ยกมือก่อนพูดทุกครั้ง
1.ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนเข้ากลุ่ม