Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาด้วยไฟฟ้า (ElectroconvulsivevTherapy) - Coggle Diagram
การรักษาด้วยไฟฟ้า (ElectroconvulsivevTherapy)
การรักษาด้วยไฟฟ้า (ElectroconvulsivevTherapy)
การรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตโดยใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องทำการรักษาด้วยไฟฟ้าในปริมาณที่เหมาะสมผ่านเข้าไปในสมองในระยะเวลาสั้น ทางขั้วตัวนำไฟฟ้า (Electrodes) วางไว้บริเวณขมับ (Fronto-Temporal) ทั้งสองข้างหรือข้างเดียว ทำให้เกิดอาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัว (Grand-mal seizure/Generalized tonic-clonic/Generalized convulsion) โดยใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในสมองเป็นผลให้อาการของโรคทางจิตเวชบางชนิดทุเลาลงหรือหายได้
ประวัติการรักษาด้วยไฟฟ้า
ประวัติการรักษาด้วยไฟฟ้าการรักษาด้วยไฟฟ้าได้ถูกคิดค้นอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มตั้งแต่ยุคสมัยของ Hippocrates มีการใช้ยาแคมเฟอร์ (camphor) เพื่อทำให้ผู้ป่วยชักและถูกนำมาใช้ในผู้ป่วยจิตเวชตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และในปี ค.ศ. 1934 จิตแพทย์ชาวฮังการีได้มีการรักษาด้วยไฟฟ้าร่วมกับการใช้ยาแคมเฟอร์ (camphor) เพื่อทำให้ผู้ป่วยชักในผู้ป่วยที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ (catatonia) และอาการทางจิตเภทอย่างอื่นโดยพบว่าผู้ป่วยมีอาการต่างๆลดลงหลังเกิดอาการซักและในปี 1938 ได้มีการรักษาด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรกและเรียกว่าการช็อคไฟฟ้า (electro Convulsion shock therapy) ซึ่งเป็นคำที่ฟังและเกิดความรู้สึกทางลบจึงเปลี่ยนเป็นการรักษาด้วยไฟฟ้า (electroConvulsive therapy) ต่อมาการรักษาด้วยไฟฟ้าได้กระจายไปทั่วโลก แต่พบปัญหาว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษาเช่นกระดูกหักจากการกระตุกอย่างรุนแรงในปีค. ศ. 1952 จึงได้มีการนำยาสลบ (General anesthetics) และยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxant) มาใช้เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยไฟฟ้าในประเทศไทยมีการรักษาด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์รถไฟฟ้าแบบไม่ใช้ยาสลบ
ข้อบ่งชี้การรักษาด้วยไฟฟ้า
3.โรคอารมณ์แปรปรวณระยะคลุ้มคลั่ง (Acute mania)
4.โรคจิตเภทระยะเฉียบพลัน โดยเฉพาะหากมีอาการความผิดปกติจากการเคลื่อนไหว (Catatonic)
2.ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตรุนแรงและมีพฤติกรรมก้าวร้าว
5.ผู้ป่วยที่ทนต่อผลข้างเคียงของยาไม่ได้ หรือไม่ตอบสนองต่อยา
1.ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง Major depressive disorder (MMD)
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยไฟฟ้า
การพยาบาลขณะรับการรักษาด้วยไฟฟ้า
ดูแลให้ออกซิเจน O2 canular 4 L / min
จัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบแขนแนบลำตัววางหมอนทรายบริเวณศีรษะบริเวณส่วนโค้งด้านหลังระหว่างนั้นเอวกับสะโพกและบริเวณข้อพับใต้เข่าจัดเสื้อผ้าผู้ป่วยให้เป็นระเบียบเพื่อป้องกันการเปิดเผยร่างกาย
กรณีรักษาแบบ Modified ECT ดูแลป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างได้รับยาระงับความรู้สึกและยาคลายกล้ามเนื้อ
ใส่แผ่นยางกันกัด (mouth guard) เพื่อป้องกันการกัดลิ้นและริมฝีปากโดยใช้ผ้าก๊อตพันให้เรียบร้อยก่อนแล้วมือหนึ่งดึงคางผู้ป่วยขึ้นจับคางและปิดปากไว้อีกมือหนึ่งสอดไปพยุงบริเวณต้นคอของผู้ป่วยไว้เพื่อป้องกันขากรรไกรและกระดูกสันหลังเคลื่อนขณะทำ ECT
เมื่อพร้อมแล้วแพทย์ทำการกดกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในสมองของผู้ป่วยจนเกิดการชักขึ้นเฝ้าระวังและดูแลอาการตลอดระยะเวลาทำการรักษาด้วยไฟฟ้าให้การพยาบาลเพื่อป้องกันอันตรายและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นขณะทำการรักษาเช่นการหยุดหายใจ (prolong apnea) ระยะเวลาการชักนาน (prolong seizure) รวมทั้งให้การช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตฉุกเฉินได้ถูกต้องทันท่วงทีลักษณะและระยะของการชักแบ่งออกเป็น 5 ระยะดังนี้
ระยะกระตุก (Clonic phase) จะเริ่มกระตุกที่หัวตาก่อนแล้วกระตุกทั่วตานิ้วมือนิ้วเท้าจะกระตุกเป็นจังหวะประมาณ 15-30 วินาที
ระยะหยุดหายใจ (apnea) ใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาทีบางรายอาจหยุดหายใจ แต่ไม่ควรนานเกิน 40 วินาทีถ้านานกว่านี้ต้องใช้ Ambu bag ช่วยให้ O2
ระยะเกร็ง (Tonic phase) สามารถสังเกตได้จากการกดของฝ่าเท้าลงและมีการงอของนิ้วเท้าในขณะนี้กล้ามเนื้อจะเกร็งระวังผู้ป่วยกัดลิ้นกัดปากตัวเอง (plantar flexion) ใช้ระยะเวลานานประมาณ 5 ถึง 15 วินาที
ระยะหลับ (sleep phase) ผู้ป่วยหลับนานประมาณ 5 นาทีไม่เจ็บปวดไม่รู้ว่ามีอาการชักเกิดขึ้นและรู้สึกตัวตื่นเกือบทันทีหลังการรักษา
ระยะหมดสติ (unconscious phase) ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวนานประมาณ 1-2 วินาที
ระยะสับสน (confuse phase) หลังจากตื่นพบว่าจะมีอาการงงสับสนวนกระวายนานประมาณ 15 – 30 นาทีควรเฝ้าระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเช่นพลัดตกจากเตียงในผู้ป่วยที่วุ่นวายมากอาจผูกยึดผู้ป่วยได้ แต่เมื่อผู้ป่วยเริ่มสงบควรนำผ้าผูกยึดออกรักษาด้วย
อธิบายขอความร่วมมือและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตนระหว่างทำการรักษา
ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อนามสกุลผู้ป่วยและแฟ้มประวัติให้ถูกต้องเพื่อป้องกันการรักษาผิดคน
จัดบุคลากรประคองร่างกายผู้ป่วยโดย 2 คนจับบริเวณหัวไหล่และข้อมือของผู้ป่วยข้างละ 1 คนและอีก 2 คนจากบริเวณสะโพกและหัวเข่าข้างละ 1 คนดังนี้ การจับผู้ป่วยควรจับให้แน่นในระยะเกร็งและจับหลวมในระยะกระตุกเมื่อแพทย์กดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าระยะแรกผู้ป่วยจะหมดสติทันทีและจะมีอาการชักตามมาการชักจะเป็นแบบทั้งตัวเรียกว่า grand mal seizure
คนที่ 1 ใช้มือจับคางผู้ป่วยขึ้นเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของขากรรไกร
คนที่ 2 จับไหล่และแขนซ้ายที่วางแนบลำตัว
คนที่ 3 จับไหล่และแขนขวาที่วางแนบลำตัว
คนที่ 4 จับเข่าและขาซ้าย
คนที่ 5 จับเข่าและขาขวา
การพยาบาลหลังรับการรักษาด้วยไฟฟ้า
ภายหลังสิ้นสุดระยะการชักตะแคงหน้าผู้ป่วยไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลักน้ำลายหรือเสมหะและเก็บอุปกรณ์ป้องกันออกจากผู้ป่วย
ดูแลสังเกตอาการเฝ้าระวังผู้ป่วยในห้องพักฟื้นอย่างใกล้ชิดตรวจวัดสัญญาณชีพดูแลให้ออกซิเจนอย่างต่อเนื่องและยุติการให้ออกซิเจนเมื่อการหายใจมีลักษณะสม่ำเสมอและค่าความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดได้เท่ากับหรือมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์
เช็ดหน้าผู้ป่วยด้วยผ้าเย็นดูแลความสะอาด
ระวังอุบัติเหตุและพิจารณาผูกยึดตามความจำเป็น
จัดให้ผู้ป่วยนอนพักหลังการรักษาและสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 15 ถึง 30 นาทีหรือจนกว่าจะควบคุมตนเองได้คือรู้หรือบอกตนเองได้ว่าชื่ออะไรโดยเริ่มประเมินระดับความรู้สึกตัวประเมินความจำการรับรู้ให้ความรู้ใหม่ (Reorientation) เกี่ยวกับชื่อผู้ป่วยวันเวลาสถานที่และบุคคลที่อยู่รอบข้างเมื่อไม่มีอาการมึนงงสับสนและอยู่ในภาวะปลอดภัยดูแลเคลื่อนย้ายกลับหอผู้ป่วย
ไม่ควรซักถามประวัติส่วนตัวของผู้ป่วยเพราะจะทำให้ผู้ป่วยกังวลใจมากขึ้นที่นึกเรื่องราวของตนเองไม่ได้พยาบาลควรให้กำลังใจโดยอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นว่าจะค่อยๆหายไปความจำจะค่อยๆกลับมาอาการปวดศีรษะหรือปวดหลังจะค่อยๆหายไป
ควรช่วยทบทวนเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมต่างๆของหอผู้ป่วยเพื่อผู้ป่วยจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
บันทึกการปฏิบัติการพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาด้วยไฟฟ้ายาอุปกรณ์ภาวะสุขภาพการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นรวมทั้งการแก้ไขปัญหาต่างๆลงในแบบฟอร์มการรักษาด้วยไฟฟ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
การพยาบาลก่อนรับการรักษาด้วยไฟฟ้า
4.การเตรียมสถานที่เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาด้วยไฟฟ้า
4.1 เตรียมความพร้อมด้านสถานที่ให้สะอาดสว่างและอุณหภูมิที่เหมาะสมมีความเป็นส่วนตัวและเป็นสัดส่วนป้องกันการเห็นภาพหรือได้ยินเสียงขณะทำการรักษาบรรยากาศการดูแลมีลักษณะอุ่นบุคลากรเป็นมิตรเอื้ออาทรใส่ใจรับฟังรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้ป่วยและมีสัมพันธภาพดีเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกปลอดภัยไว้วางใจเชื่อมั่นและร่วมมือในการรักษา
4.2 เตรียมยาหรือเวชภัณฑ์รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการทำการรักษาให้อยู่ในภาวะที่พร้อมใช้งานเช่นเครื่องรักษาด้วยไฟฟ้าอุปกรณ์การป้องกันการบาดเจ็บของช่องปากหรือเรียกว่าแผ่นยางกันกัด (mouth guard) ขั้วตัวนำไฟฟ้าและสารสื่อกระแสไฟฟ้าเครื่องตรวจความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดหมอนทรายผ้าผูกยึดเครื่องวัดความดันผ้าเย็นอุปกรณ์ให้สารน้ำการปฏิบัติการพยาบาลขณะผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วย
2.การเตรียมทางด้านร่างกาย
2.4 ดูแลให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ 6-8 ชั่วโมง
2.5 ให้ผู้ป่วยอาบน้ำสระผมให้สะอาดนำของมีค่าฟันปลอมแว่นตาและโลหะอื่น ๆ ออกจากตัวผู้ป่วยห้ามแต่งหน้าทาปากทาเล็บ
2.3 ดูแลให้ผู้ป่วยงดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนทำและจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่สามารถสังเกตได้ง่ายเฝ้าระวังการรับประทานอาหารและน้ำก่อนรักษาด้วย ECT
2.6 ตรวจสอบและบันทึกความดันโลหิตชีพจรและการหายใจของผู้ป่วยก่อนทำการรักษาด้วยไฟฟ้า
2.2 ส่งตรวจทันตกรรมเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บในช่องปาก
2.7 ทำตรวจสอบความพร้อมซ้ำก่อนส่งทำการรักษาโดยผมผู้ป่วยต้องแห้งไม่มันใบหน้าไม่ทาแป้งถอดฟันปลอมหรืออุปกรณ์อื่นเกี่ยวกับฟันคอนแทคเลนส์เครื่องประดับและให้ปัสสาวะอีกครั้งก่อนส่งไปหน่วยรักษาด้วยไฟฟ้า
2.1 ซักประวัติเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เป็นทั้งในอดีตและปัจจุบันการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อให้รู้ถึงภาวะร่างกายในปัจจุบันตรวจดูว่ามีผลตรวจร่างกายของผู้ป่วยเช่นผลเลือดปัสสาวะ X-ray ปอดตรวจคลื่นหัวใจ
3. การเตรียมเอกสาร
3.1 ตรวจสอบเอกสารในความถูกต้องเรื่องคำสั่งการรักษาด้วยไฟฟ้าจำนวนครั้งและการลงนามยินยอมหรือเอกสารคำสั่งของคณะกรรมการสถานบำบัดให้ทำการรักษาด้วยไฟฟ้ากรณีเป็นผู้ป่วยพระราชบัญญัติสุขภาพจิตพ. ศ. 2551 มาตรา 18 กล่าวถึงการรักษาด้วยไฟฟ้าว่าให้กระทำได้ในกรณี 1) แจ้งญาติเพื่อลงนามเอกสารยินยอมการรักษาในกรณีที่ไม่มีญาติผู้ป่วยให้ความยินยอมเป็นหนังสือโดยผู้ป่วยต้องได้รับทราบเหตุผลความจำเป็นความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายร้ายแรงหรืออาจเป็นผลให้ไม่สามารถแก้ไขร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพเดิมรวมทั้งประโยชน์ของการบำบัดรักษา 2) กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยหากไม่ได้บำบัดจะเป็นอันตรายถึงชีวิตต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการสถานบำบัดรักษาแพทย์พยาบาลร่วมลงนาม
1.การเตรียมทางด้านจิตใจ
1.4 อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาด้วยไฟฟ้าเพื่อคลายความวิตกกังวลหรือความหวาดกลัวลงจะช่วยให้ผู้ป่วยร่วมมือในการรักษามากขึ้นอาจจัดในรูปแบบ“ รายบุคคลหรือกลุ่ม "โดยจะต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญที่ต้องทำการรักษาด้วยไฟฟ้า
1.6 อธิบายอาการหลังทำที่อาจเกิดขึ้นเช่นภาวะสับสนงุนงงและความจำเสื่อมชั่วคราวและอาการต่างๆจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
1.3 ประเมินความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีต่อการรักษาด้วยไฟฟ้าโดยถามถึงประสบการรักษาด้วยไฟฟ้าของผู้ป่วยหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรกอาจเกิดความกลัวและคาดการณ์ผลการรักษาในทางลบ แต่หากผู้ป่วยที่มีประวัติได้รับการรักษาด้วยไฟฟ้ามาแล้วและมีประสบการณ์เรียนรู้ที่ไม่ดีจากการรักษาด้วยไฟฟ้าเช่นได้รับภาวะแทรกซ้อนเกิดอาการเจ็บปวดปวดศีรษะถูกยึดเป็นเวลานานจะรู้สึกกลัวและไม่ต้องการรักษาดังนั้นพยาบาลต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาด้วยไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
1.7 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความความรู้สึกซักถามข้อสงสัยเตรียมทางด้านร่างกาย
1.2 ประเมินความรู้สึกวิตกกังวลหวาดกลัวจากสีหน้าแววตาวิตกกังวลท่าทางผุดลุกผุดนั่งหงุดหงิดลักษณะการพูดของผู้ป่วยพูดเร็วหรือประเมินปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากความวิตกกังวล ได้แก่ หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้นความดันโลหิตเพิ่มสูงหายใจเร็วขึ้นหรือมีอาการนอนไม่หลับปวดตึงกล้ามเนื้อเหงื่อออกหน้าแดงมือเท้าเย็น
1.5 ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยและทีมการรักษาให้ชมสื่อการเรียนรู้วิธีทำและอธิบายถึงขั้นตอนในการทำอย่างคร่าวๆโดยใช้คำว่า“ รักษาด้วยไฟฟ้า” ไม่ใช่“ ช็อกไฟฟ้า” พูดให้กำลังใจและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือตลอดระยะเวลาของการรักษา
1.1 แจ้งให้ผู้ป่วยครอบครัวหรือผู้ดูแลผู้ป่วยทราบถึงแผนการรักษาผู้ป่วยด้วยไฟฟ้า
กลไกการออกฤทธิ์ของการรักษาด้วยไฟฟ้า
ในปัจจุบันพบว่ายังไม่สามารถสรุปได้ถึงกลไกการออกฤทธิ์ของไฟฟ้าที่แท้จริง แต่ได้มีการศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของการรักษาด้วยไฟฟ้าว่าการที่กระแสไฟฟ้าจากเครื่อง ECT ผ่านเข้าสมองตรงบริเวณที่กำหนดทำให้เกิดการชักแบบชักเกร็งกระตุกทั้งตัวซึ่งไฟฟ้าจะมีผลต่อประสาทสรีรวิทยาพบว่าขณะที่เกิดการชักปฏิกิริยาของการชักจะมีผลต่อโครงสร้างของสมองในระดับลึกเช่น basal ganglia และทาลามัสได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้นจึงทำให้อาการทางจิตลดลงและการชักช่วยให้สมองทั้งสองข้างเกิดความสมดุลกันส่งผลให้อาการซึมเศร้าลดลงด้วยยังมีการศึกษาอีกว่าขณะที่เกิดอาการชักนั้นมีการไหลเวียนของเลือดในสมองเพิ่มมากขึ้นมีการใช้น้ำตาลและออกซิเจนในสมองเพิ่มมากขึ้นและหลังจากสิ้นสุดการชักในช่วงระยะเวลาประมาณ 30 วินาทีจะมีการไหลเวียนของเลือดในสมองการเผาผลาญน้ำตาลในสมองและการใช้ออกซิเจนในสมองลดลงโดยเฉพาะสมองส่วนหน้าซึ่งผลที่เกิดขึ้นมี 4 ความสัมพันธ์โดยตรงกับประสิทธิภาพของการรักษาด้วยไฟฟ้านอกจากนี้ยังมีผลทำให้การส่งสัญญาณภายในเซลล์ที่ผิดปกติกลับสู่ภาวะปกติเกิดจากการเปลี่ยนแปลงมากมายในระบบต่างๆของสารสื่อประสาทจึงสามารถบอกได้ว่าการรักษาด้วยไฟฟ้าเป็นการรักษาทางชีวภาพที่มีความสำคัญต่อโรคทางจิตเวชวิธีหนึ่งที่ให้ผลการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ข้อห้ามในการรักษาด้วยไฟฟ้า
4.ภาวะกระดูกพรุน
5.ผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่แข็งแรง อ่อนเพลียมาก
3.ความดันโลหิตสูงมากกว่า 140/90 mmHg.
6.มีอุณหภูมิในร่างกายสูง/มีไข้สูง
2.โรคระบบหัวใจและเลือดหลอด เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Acute myocardial infarction) , หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอรุนแรง (Severe arrhythmia)
7.โรคปอดที่มีแนวโน้มทำให้การหายใจลำบาก
1.ภาวะที่มีความดันในกระโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น เช่น เลือดออกในสมอง (Cerebral hemorrhage) , เนื้องอกในสมอง (Brain tumor) , การมีพยาธิสภาพในสมอง (Space occupying lesion) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสมองบวม (Brain edema) หรือสมองเลื่อน (Brain hernia)
8.ภาวะอื่น ๆ เช่น การหลุดลอกของเยื่อภายในลูกตา (Retinal detachment)
ผลข้างเคียงในการรักษาด้วยไฟฟ้า แบ่งเป็น 3 ระยะ
2.หลังทำการรักษาด้วยไฟฟ้า
2.4 ฟันหักหรือฟันโยก ขณะกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่สมอง เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อขากรรไกรหดตัว ผู้ป่วยกัดฟันแน่นจนอาจทำให้ฟันหักหรือฟันโยกได้
2.5 แผลในปาก แผลที่ลิ้น กรามหลุด ปวดกราม
2.3 อาการสับสน มึนงง เป็นชั่วคราวและอาการจะค่อยๆดีขึ้น
2.6 กระดูกหัก ข้อเคลื่อน พบน้อยแต่รุนแรง พบในกรณีที่รักษาด้วยไฟฟ้าด้วยวิธีที่ไม่ใช้ยาระงับความรู้สึก (Unmodified ECT)
2.2 อาการคลื่นไส้อาเจียน มักเกิดหลังจากผู้ป่วยหยุดชัก
2.7 อาการปวดกล้ามเนื้อ สาเหตุจากกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุกสั่น
2.1 ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาการปวดศีรษะ เป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อยมาก อาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่ 1-2 ชั่วโมง อาการจะดีขึ้น
3.หลังทำการรักษาด้วยไฟฟ้า
มีการหลงลืม สูญเสียความทรงจำ จำเหตุการณ์ช่วงสั้นๆไม่ได้ การลืมมี 2 ลักษณะแบ่งเป็น
1.การลืมไปข้างหน้า คือการเสียการเรียนรู้ การจดจำข้อมูลใหม่
2.การลืมไปข้างหลัง คือผู้ป่วยจะระลึกถึงความหลังได้ยาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหรือใกล้กับช่วงเวลาของการรักษาด้วยไฟฟ้า ทั้งนี้อาการจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 1-6 เดือน
1.ขณะทำการรักษาด้วยไฟฟ้า
1.2 ผู้ป่วยหยุดหายใจนาน มีสาเหตุจากการเผาผลาญยาคลายกล้ามเนื้อของผู้ป่วยช้ากว่าปกติ
1.3 การชักยาวนาน มากกว่า 180 วินาที จะส่งผลเสียต่อสมองระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต
1.1 ผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด เป็นอาการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น อาจเกิดหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หัวใจเต้นผิดจังหวะ