Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Case Analysis - Coggle Diagram

- - - - 1อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์แผนการรักษาและเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยเพื่อให้สตรีมีครรภ์เข้าใจและให้ความร่วมมือในการรักษา
      - 2แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอโดยนอนตะแคงซ้ายเพื่อเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงมดลูก
      - 3รับประทานที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเพิ่มโปรตีน
      - 4ให้สังเกตการณ์ดิ้นของทารกในครรภ์หากดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งวันควรรีบมาพบแพทย์
      - 5ติดตามระดับความสูงของยอดมดลูกและการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวของสตรีมีครรภ์
      - 5งดสูบบุหรี่และสารเสพติดชนิดอื่น ๆ
  - - - 4.เเนะนำมารดามาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง เเละหากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบเเพทย์ก่อนนัดได้
      - 5.เปิดโอกาสให้มารดาได้ซักถามข้อสงสัย และให้กำลังใจหญิงตั้งครรภ์
      - เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการระบายความวิตกกังเกี่ยวกับบุตร
      - อธิบายถึงกระบวนการช่วยเหลือทารกแรกเกิดโดยมีทีมกุมารแพทย์ พยาบาล และเตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดให้พร้อมเพื่อให้การช่วยเหลือในภาวะวิกฤต เพื่อให้มารดาคลายความวิตกกังวล
      - สนับสนุนให้ผู้รับบริการและบุคคลในครอบครัวมีส่วนร่วม ประคับประคอง ให้กำลังใจมารดา เพื่อความคลายความวิตกกังวล
    - - S: มารดาบอกว่ารู้สึกท้องเล็กกว่าครรภ์เเรก
      - S: ขณะตรวจครรภ์มารดาสอบถามเกี่ยวกับ ขนาดของทารก ความเเข็งเเรงของทารก
      - O: จากการสังเกตพฤติกรม สีหน้า อาการเเละอาการเเสดงที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีความเครียด
      - O: ทารกน้ำหนัก 2250 กรัม
  - - - 1) ฝึกท่าที่ถูกต้องในการยืนนั่งให้ไหล่คอและหลังอยู่ในแนวตรง
      - 4) นอนตะแคงใช้หมอนหรือผ้าหนุนหลังและข้อพับเข่า
      - 5) ฝึกการหายใจแบบลึกและออกกาลังกายเพื่อผ่อนคลาย
      - 6) ผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยการใช้ความร้อนความเย็นประคบหรืออาบน้ำด้วยน้ำอุ่น
      - 8)ใช้การแพทย์ทางเลือกเช่นการกดจุด
      - 2) ไม่ควรก้มเก็บของ แต่ควรย่อเข่าลงก่อนและไม่ควรยกของหนัก
      - 3) หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง
      - 7) ออกกาลังกายท่า Pelvic rocking เพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง
      - 9) อาจใช้ยาแก้ปวดเช่น Tylenol ลดการปวดได้
      - 10) ไม่ควรซื้อยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาลดการอักเสบมารับประทานเองควรปรึกษาแพทย์
  - - - 1ให้ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโควิด และวัค ซีนอื่น ๆที่จําเป็นต่อหญิงตั้งครรภ์
      - 2อธิบายเกณฑ์การได้นรับวัคซีนบาดทะยัก
        
        เคยได้รับมาแล้ว 3 ครั้ง
        
        -เข็มสุดท้ายเกิน 10 ปีให้ dt หนึ่งครั้งจากนั้นนัดกระตุ้น 1 ครั้งทุก 10 ปี
        
        -เข็มสุดท้ายน้อยกว่า 10 ปีไม่ต้องให้วัคซีน
        
        -อายุ 20 ปีให้ dt หนึ่งครั้งจากนั้นนัดกระตุ้น 1 ครั้งทุก 10 ปี
        
        เคยได้รับมาแล้วไม่ครบ 3 ครั้ง
        
        เคยได้รับมาแล้ว 2 ครั้งให้ dt หนึ่งครั้งห่างจากเข็มสุดท้าย 6 เดือนจากนั้นนัดกระตุ้นทุก 10 ปี
        
        เคยได้รับมาแล้ว 1 ครั้งให้ dt สองครั้ง เข็มแรกห่างจากเข็มสุดท้าย 1 เดือนและเข็มสองห่างจากเข็มแรก 6 เดือนจากนั้นนัดกระตุ้นทุก 10 ปี
        
        ไม่มีประวัติ/ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
        ให้ dt สามครั้งเข็มแรกให้ทันทีที่มาฝากครรภ์เข็ม 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือนและเข็ม 3 ห่างจากเข็มสอง 6 เดือนจากนั้นนัดกระตุ้นทุกทุก 10 ปี
  - - - S: มารดาต้องการวางแผนคุมกำเนิดโดยใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
      - O: มารดาอายุ41ปี
    - - 1.แนะนำตัวและสร้างสัมพันธภาพ ที่ดีเพื่อให้มารดาเกิดความไว้วางใจ
      - 2.อธิบายถึงข้อบ่งชี้ของการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
        
        -เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร
        
        -เหมาะสำหรับสตรีอายุไม่เกิน 50 ปี มีบุตรที่มีชีวิตอย่างน้อย 1 คน
        
        -เหมาะสำหรับผู้ที่ลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมีข้อห้ามใช้ยาฮอร์โมน estrogen
        
        -เหมาะกับการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
      - 3.ซักถามมารดาเกี่ยวกับข้อห้ามในการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
        
        -ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคหัวใจ ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบ สาเหตุ โรคมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ มะเร็งเต้านม
        
        -สตรีที่ไม่เคยมีบุตร
        
        -ความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/110 mmHg
      - ให้คำแนะนำมารดาในการฉีดยาคุมกำเนิด
        
        4.1 การมารับบริการครั้งแรกควรเริ่มฉีดในช่วงที่มี ประจำเดือนหรือภายใน 5 วันแรกของรอบประจำเดือน
        
        4.3 ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียวไม่มีผลต่อการผลิต น้ำนม ดังนั้นหลังคลอดสามารถฉีดได้ทันที หรือ ฉีด 4- 6 สัปดาห์หลังคลอด (ยกเว้นชนิดฮอร์โมนรวม)
        
        4.5 ควรมาฉีดยาคุมกำเนิดตามนัด (DMPA ฉีดทุก 84 วัน และ NET-EN ฉีดทุก 60 วัน) ในกรณีไม่สามารถมาตามนัดได้ ไม่ควรมาก่อนหรือหลังกำหนด 2 สัปดาห์
        
        4.6 หากมีเลือดออกผิดปกติ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ปวดศีรษะ มาก ควรปรึกษาแพทย์
        
        4.2 ก่อนฉีดยาคุมกำเนิดจะต้องมั่นใจว่ามารดาไม่ได้ตั้งครรภ์หากมารดามีเพศสัมพันธ์ก่อนมาฉีดยาคุมกำเนิดจะต้องรอให้ประจำเดือนมาก่อนถึงจะฉีดยาคุมกำเนิดได้ โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่วันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือนและระหว่างรอประจำเดือนมาหาก ต้องการมีเพศสัมพันธ์จะต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
        
        4.4 ฉีดได้ทันทีหลังแท้งหรือ 2-3 สัปดาห์หลังแท้ง
        
        4.7 แนะนำภาวะเจริญพันธุ์ภายหลังหยุดใช้ยาจะมี ประจำเดือนมาปกติภายใน 6 เดือน มากกว่าร้อยละ 50 และประจาเดือนมาปกติภายใน 1 ปี ร้อยละ 85 จากการศึกษาพบว่าหลังจากหยุดฉีดยาแล้วจะตั้งครรภ์ได้ช้ากว่าผู้หยุดใช้ยาเม็ดคุมกาเนิดและห่วงอนามัยประมาณ 2-3 เดือน
      - อธิบายถึงข้อดีของยาฉีดคุมกำเนิด
        
        5.1 ใช้ง่าย สะดวก
        
        5.3 ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมเหมาะสาหรับสตรีหลังคลอดที่ เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
        
        5.5 ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมช่วยให้มีประจำเดือนมาทุกเดือน
        
        5.2 ช่วยป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและรังไข่
        
        5.4 ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียวจะไม่มีอาการ ข้างเคียงจากฮอร์โมน estrogen เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หน้าเป็นฝ้า
      - 6.อธิบายถึงอาการข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด
        
        6.1 เลือดออกกะปริดกะปรอยภายหลังฉีดเข็มแรกๆ หาก เลือดออกกะปริดกะปรอยนานๆ อาจทำให้เกิดโลหิตจางได้ ควรปรึกษาแพทย์
        
        6.2 ไม่มีประจำเดือนเนื่องจากยาฉีดคุมกำเนิดทำให้เยื่อบุ โพรงมดลูกฝ่อและบางหลังหยุดฉีด 9-12 เดือน ร่างกายจะกลับคืนสภาพเดิม
        
        6.3 น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลของฮอร์โมนกระตุ้นต่อมความอยากอาหาร ดังนั้นสตรีที่มีรูปร่างอ้วนอยู่แล้วไม่ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่มีน้ำหนักลดลง
        
        6.4 อาการปวดศีรษะอาจพบได้บางรายแต่ไม่รุนแรงและหายเองได้ไม่ต้องรักษา
        
        6.5การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ (emotional changes) เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิด เบื่อหน่าย ซึ่งอาการ เหล่านี้มี ค่อนข้างน้อย หากมีอาการควรซักประวัติ ตรวจร่างกาย หาสาเหตุอื่นเพิ่มเติม
        
        6.6ภาวะน้ำนมไหลผิดปกติ (galactorrhea) บางรายอาจมีน้ำนมไหลผิดปกติทั้งที่ไม่ได้ให้นมบุตร ภาวะนี้ไม่ได้มีอันตรายและไม่จำเป็นรับการรักษา
    - - มารดามีความรู้ความเข้าใจในการคุมกำเนิดแบบยาฉีดคุมกำเนิดได้อย่างถูกต้อง
      - มารดามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและอาการข้างเคียงของยาคุมกำเนิดแบบยาฉีดคุมกำเนิด
  - - - – หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ในการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
      - ความดันอยู่ในค่าปกติ
      - ไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ
    - - O : มารดาอายุ 41 ปี (Elderly Pregnancy
      - O : ผลตรวจปัสสาวะพบ Sugar 1+ น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 3.2 kg.
      - O : BP = 114-148/62-94 mmHg
      - O : GCT = 142 mg/dl
    - - ประเมินความรู้ที่มารดามีในการปฏิบัติตนในขณะตั้งครรภ์
      - 2.อธิบายและแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงดังนี้
        
        2.1 รับประทานอาหารที่มีกากและรสหวานน้อยแทนขนมหวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ พุทรา แอปเปิล เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
        
        2.2 หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่น้ำตาลทุกชนิดเช่นน้ำหวานต่าง ๆ น้ำผลไม้ผสมน้ำตาลน้ำอัดลมอาหารที่มีน้ำตาลมาก
        
        2.4 ใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกมาก เช่น น้ำมันถั่วเหลืองแทนการใช้น้ำมันหมูเพราะทำให้มีคอเลสเตอรอลสูงและหลอดเลือดแข็งได้
        
        2.5 กินอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ งดอาหารหมักดองชากาแฟเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
        
        2.3 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก เช่นขาหมูหมูสามชั้นหนังไก่ของทอดแกงกะทิ
      - แนะนำเกี่ยวกับการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงอาการและอาการแสดงผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อาการนำก่อนชักการรักษาพยาบาลการดูแลตนเองและการป้องกันไม่ให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ความเข้าใจและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
      - แนะนำการออกกำลังกายโดยควรเริ่มออกกำลังกายในระยะเวลาสั้น แต่สม่ำเสมอแบ่งทานวันละ 3-4 ครั้งครั้งละ 5-10 นาทีไม่ควรออกกำลังกายเมื่อรู้สึกไม่สบาย เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เหนื่อยมาก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น
      - แนะนำภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้และการสังเกตอาการผิดปกติเช่นคลื่นไส้อาเจียนมีใช้ปัสสาวะแสบขัดเป็นต้นถ้ามีอาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพราะอาจทำให้การควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีพอเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
      - ติดตามค่าผลตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะค่า OGTT เมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
      - อธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัดคือสัปดาห์ซึ่งจะต้องนัดมาตรวจบ่อยกว่าการตั้งครรภ์ปกติเพื่อจะได้ติดตามประเมินผลการรักษาและตรวจสภาวะของทารกในครรภ์เช่นการทำ NST, Ultrasound โดยอธิบายให้เข้าใจถึงวิธีการตรวจแต่ละชนิดเพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
      - 4.ประเมินกิจกรรมของหญิงตั้งครรภ์ว่ากิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวันของหญิงตั้งครรภ์มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นหรือไม่เพื่อร่วมหาแนวทางในการปรับกิจกรรมให้หญิงตั้งครรภ์ได้พักผ่อนมากขึ้นช่วยลดความดันโลหิต
  - - - แนะนำเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อ โดยการหลีกเลี่ยงการคลุกคลี ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัด เจ็บคอ และถ้ามีอาการของการติดเชื้อต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
      - แนะนำการรักษาความสะอาดร่างกาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
      - การรับประทานยาปฏิชีวนะเมื่อมีอาการติดเชื้อ หรือป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษาจะต้องรับประทานยาจนครบถ้วนตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยา
      - ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และตรวจเลือดเพื่อตรวจหาความเข้มข้นของเลือด และจำนวนเม็ดเลือดขาว ตามแผนการรักษาเมื่อมีอาการติดเชื้อ
    - - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิไม่เกิน 37.8 องศาเซลเซียส ชีพจรไม่เกิน 100 ครั้ง/นาที
      - ไม่มีอาการและการแสดงของการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เจ็บคอ ปัสสาวะแสบ ขัด เป็นต้น
  - - - แนะนำมารดาให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยนอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงในตอนกลางคืน และนอนพักครึ่งชั่วโมงหลังอาหาร และแนะนำให้นอนตะแคงเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังรกได้ดียิ่งขึ้น
      - แนะนำมารดาให้มาตรวจครรภ์ตามนัดทุกครั้ง เช่นเดียวกับกิจกรรมในข้อวินิจฉัยการพยาบาล ข้อที่ 1
      - ประเมิน สภาพทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การชั่งน้ำหนักของมรดาเพื่อประเมินน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ดูความสูงของยอดมดลูกเพื่อประเมินการของทารกในครรภ์ การแนะนำมารดาให้ สังเกตและบันทึกการดิ้นของทารกในครรภ์ การฟังเสียงหัวใจทารกและอาจพิจารณาการตรวจพิเศษอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
    - - อัตราการเต้นของหัวใจทารกอยู่ระหว่าง 120-160 ครั้ง/นาที
      - การดิ้นของทารกในครรภ์อยู่ในอัตราปกติ
      - น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของมารดาในระยะตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือมากกว่า 0.5 กิโลกรัม ต่อสัปดาห์