Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology, นายอรรคเดช เพชรมีศรี UDA6380002…
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology
หน้าที่ของระบบเลือด
การควบคุม (Regulation)
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุมอุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
การควบคุมน้ำในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดทําหน้าที่รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของน้ำ
ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการ เมแทบอลิซึมและปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกายรวมทั้งการเผาผลาญอาหารหรือผลจากการได้รับยาหรือสารเคมีต่างๆเข้าไปจะมีผลทําให้ความเป็นกรด-เบสของร่างกายเปลี่ยนแปลง
การป้องกัน (Protection)
การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss) เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นกับร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรอือวัยวะภายในของร่างกายเลือดจะมีกลไกการ้ามเลือดโดยอาศัยปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดรวมถึงเกล็ดเลือดช่วยให้เกิดการอุดปิดบาดแผล
การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body) เลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื่อโรคตลอดจนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายโดยอาศัยกลไกการทํางานของเม็ดเลือดขาวเกล็ดเลือดและแอนติบอดี (antibodies) ที่ไหลเวียนในกระแสเลือดลักษณะทางกายภาพของเลือด (Physical characleristics of blood)
ความหนืด (Viscosity) 4.5-5.5 (เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำ) อุณหภูมิ37- 38 องศาเซลเซียสความเป็นกรด-เบส (pH) 7.35-7.45 องค์ประกอบของเกลือโซเดียมคลอไรด์(Salinity) 0.9 เปอรเ์ซ็นต์น้ำหนัก 8% ของน้ำหนักร่างกาย ปริมาตร : เพศหญิง 5-6 ลิตร เพศชาย 4-5 ลิตร
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte , red blood cell)
ในเม็ดเลือดห่อหุ้มสารละลายต่างๆซึ่งส่วนใหญ่ คือ ฮีโมโกลบิน (hemoglobin) เอ็นไซม์(enzyme) อิออน (ion)
การสร้างเลือด (Hemopoiesis)
การสร้างเลือดในระยะหลังคลอด (Post-natal hemopoiesis) เป็นการสรา้งเลือดหลังจากที่ทารกคลอดมาแล้ว ยกเว้น พวกลิมโฟไซต์ที่มีการสรา้งจากอวัยวะน้ำเหลืองd - base buffer) ของเลือด
การสรา้งเลือดนอกไขกระดูก (Extramedullary hemopoiesis) ควบคุมการสร้างเม็ดเลือดส่วนใหญ่ที่ไขกระดูกเท่านั&น สรา้งเลือดในระยะนี้คือ ม้าม รองลงมาคือ ตับและอวัยวะอื่นๆที่มีเซลล์มีเซนไคมอล แทรกอยู่ เช่น ต่อมไทรอยด์(thyroid gland) ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต้น
การสร้างเลือดของทารกในครรภ์(Embryonic or Pre-natal hemopoiesis)
ระยะเมดัลลารี(Medullary period) เมื่อตับและม้ามลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดลงอวัยวะที่จะทําหน้าที่แทน คือ ไขกระดูก (bone marrow) โดยจะเริ่มสร้างเม็ดเลือดต่างๆประมาณเดือนที่ 5 เป็นต้นไปโดยมีเซลล์ต้นกําเนิดจากเซลล์มีเซนไคมอล
เพื่อทําหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายและทําหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส (acid - base buffer) ของเลือด
กําเนิดและการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด (Origin and
development of blood cell)
เซลล์ต้นกําเนิดของเม็ดเลือด (stem cell) ทฤษฎีการสร้างเม็ดเลือด
ทฤษฎีโมโนไฟลิติก (Monophyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดกําเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษเดียวกันที่เรียกว่า "Totipotential hemocytoblast" โดยที่เซลล์นี้จะเจริญเป็นเม็ดเลือดแดงแกรนลูโลไซต์โมโนไซต์ลิมโฟไซต์และทรอมโบไซต์ได้ตามความต้องการของร่างกาย
ทฤษฎีโพลีไฟลิติก (Polyphyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเม็ดเลือดแต่ละสายกําเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษของตัวเองและแต่ละชนิดจะไม่มีการสร้างข้ามสายกันในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีทฤษฎีแยกย่อยๆต่อไปอีกนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าเซลล์ใหม่มีกําเนิดมาจากเซลล์เดียวกันโดยเชื่อว่าลิมโฟไซต์ในภาวะปกติจะไม่มีการเปลี่ยนรูปร่างแต่ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะที่ผิดปกติหรือมีพยาธิสภาพ (pathological condition) พบว่าลิมโฟไซต์เหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดใหม่ได้โดยเฉพาะในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (tissue culture)
เม็ดเลือดแดงถูกสร้างในไขกระดูก
ถูกทำลายในม้ามตับและไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นปัจจัยสําคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างเลือดมีฮอร์โมน(Erythro poietin) ในเลือดเป็นตัวควบคุมการสร้าง
เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน
ปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือด
ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง
Anemia เป็นสภาวะที่เลือดมีปริมาณฮีโมโกลบินหรือมีค่าปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต่ำกว่าปกติ
เสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื่อรัง (acute and chronic hemorrhage)
การสร้างหรือการเจริญของเม็ดเลือดแดงช้า (mononuclear deficiency)
ไขกระดูกผิดปกติ(aplastic bone marrow) หรือผนังเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย
จึงมักใช้ค่าทั้งสองนี้เป็นดัชนีจําแนกชนิดของ anemia ชนิดของ anemia แบ่งได้หลายชนิดตามขนาดและปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง
Macrocytic hypochromic anemia (pernicious หรอื mononuclear
anemia)
Aplastic anemia เกิดจาก bone marrow ผิดปกติอาจจะเกิดขึ้นเองหรือได้รับรังสีมากเกินไป
Microcytic hypochromic anemia (iron deficiency anemia)
Hemolytic anemia เกิดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากกว่า ปกติ อาจจะเนื่องมาจาก สารเคมีระบบ reticuloendothelial ทํางานมากเกินไป
Normocytic normochromic anemia
การสร้าง erythropoietin และการสร้างเม็ดเลือดแดง
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin, Hb)คือโปรตีนในเม็ดเลือดแดงทําหน้าที่รับส่งแก๊สออกซิเจนและเป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบสแต่ละโมเลกุลของฮีโมโกลบินหน่วยย่อยประกอบด้วย 1 ฮีม (heme) จับกับเปปไทด์สายยาว (polypeptide) 1 สายภายในมีธาตุเหล็ก (Fe) 1 อะตอมฮีโมโกลบินเมื่อจับกันออกซิเจนจะเรียกว่า ออกซิฮีโมโกลบิน
หมู่เลือดระบบ Rh
แอนติเจน D C E C และ e จัดเป็นหมู่เลือดที่มีความสําคัญมากในคนผิวขาวในคนไทยพบว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์มีหมู่เลือด Rh+ จากการที่ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh จะไม่มีแอนติบอดีต่อแอนติเจนของหมู่เลือด Rh จึงเป็นสาเหตุสําคัญของโรคเม็ดเลือดแดงสลายในเด็กแรกเกิด (hemolytic disease of the newborn) มักพบในลูกคนที่สองของเแม่ที่มีหมูเลือด Rh และได้รับการกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี(immune antibody) จากลูกคนแรกที่มีหมูเลือดเป็น Rh+ เมื่อเลือดของแม่ที่มีแอนติบอดีนี้ผ่านรกไปยงัลูกที่อยู่ในครรภ์ซึ่งมีแอนติเจนที่จําเพาะกันจึงก่อให้เกิดการสลายเม็ดเลือดแดงของลูกทําให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
การไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh
b) แม่สร้างแอนติบอดีตอบสนองต่อแอนติเจนของเม็ดเลือดแดงที่มี Rh+
c) แอนติบอดีบางส่วนปนผ่านรกเข้าสู่เลือดของลูกคนที่ 2 เกิดการสลายของเม็ดเลือดแดงทำให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
a) เม็ดเลือดของลูกคนแรกที่มีRh+ เกิดการปนผ่านรกเข้าไปยังเลือดของแม่
เม็ดเลือดขาว (Leucocyte , white blood cell)
คุณสมบัติ3 ประการ
เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื่อโรคโดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อยจากเชื่อโรคเช่นแบคทีเรีย (Chemotaxis)
เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบาเข้าโอบล้อมและย่อยเชื่อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)
เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยังบริเวณที่มีเชื่อโรค (Diapedesis)
แบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ
ชนิดมีแกรนลูหรือมีนิวเคลียสหลายแบบ (Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
อโีอสิโนฟล (Eosinophil)
นิวโทรเฟล (Neutrophil or polymorphonuclear cell, PMN)
เบโซฟิล (Basophil)
ชนิดไม่มีแกรนลูหรือมีนิวเคลียสเดียว (Agranulocytic or mononuclear cell)
โมโนไซต์(Monocyte)
ลิมโฟไซต (Lymphocyte)
เม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดมีหลายชนิดโดยมีหน้าที่หลักคือป้องกันและทําลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
มีต้นกําเนิดมาจากเซลล์เมกะคาริโอไซต (megakaryocyte) ในไขกระดูกทําหน้าที่สําคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดช่วยทําให้เลือดหยุดไหลหรือห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผลกลไกห้ามเลือด (Homeostasis)
ขั้นตอนที่สําคัญ 3 ประการ
การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) คือ เซลล์ที่ได้รับความเสียหายและเกล็ดเลือดจะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate) ออกมาทำให้เกล็ดเลือดเกิดการเปลี่ยนรูปร่างและรวมกัน (aggregate) อุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot) เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือดสารต่างๆในพลาสมาและสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล
การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation)
Extrinsic pathway เกิดจากการทําลายเซลล์หลอดเลือดและเซลล์ข้างเคียงจะกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้สร้างทรอมโบพลาสติน (tissue thromboplastin)
Intrinsic pathway เกิดขึ้นภายในหลอดเลือดเมื่อเกล็ดเลือดเกิดการแตกจะมีการทําปฏิกิริยากันของสารที่หลั่งออกมาจากเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้ทรอมโบพลาสติน (intrinsic thromboplastin)
การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน (thrombin) ทรอมโบพลาสติน (thromboplastin)
การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด (clot retraction) มีการหดตัวของก้อนเลือดและร่างแหทําใหน้้ำเลือด (ซีรัม) ออกจากก้อนเลือดและเป็นผลให้เกิดการเชื่อมติดบาดแผลมากขึ้นบาดแผลหลังจากเกิดก้อนเลือดอุดบาดแผลและไม่มีเลือดไหลออกมา
การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบรนิ (fibrin) ทรอมบินที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไฟบริโนเจนเป็นไฟบรนิ โดยใช้แคลเซียมอิออน (Ca 2+) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่างๆ
หลอดเลือดหดตัว (Vasoconstriction) เมื่อเกิดบาดแผลสารซีโรโทนิน (serotonin) จากเกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
หมู่เลือดระบบ ABO
จัดเป็นหมู่เลือดที่สําคัญที่สุดในการให้เลือดเป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้โดยอาศัยโปรตีนที่ทําหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag) บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อย คือ หมู่เลือด กลุ่ม A B O และ AB สามารถตรวจสอบหมู่เลือดโดยอาศัยปฏิกิริยาทางวิทยาภูมิคุ้มกันระหว่างแอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดงและแอนติบอดีในน้ำเลือดที่จําเพาะต่อกันเกิดปฏิกิริยาการเกาะกลุ่ม (agglutination) ของเม็ดเลือดแดงทําให้สามารถทดสอบได้ว่าเลือดของคนมีหมู่เลือดอยู่ในกลุ่มใด
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
เซลล์เม็ดเลือดมีหลายชนิดส่วนที่เป็นเม็ดเลือด (Corpuscles หรอื formed elements) คือส่วนที่เป็นตัวเซลล์แขวนลอยไหลเวียนในหลอดเลือดทั่วร่างกายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของเลือดโดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ
เม็ดเลือดขาว
เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต
เม็ดเลือดแดง
องค์ประกอบของเลือด
เม็ดเลือด
ระบบหมู่เลือด
พลาสมา (Plasma)
พลาสมา (Plasma)
ส่วนที่เป็นน้ำเลือดเป็นของเหลวที่เป็นตัวกลางให้เม็ดเลือดแขวนตัวลอยอยู่คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือดมีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใสซึ่งมีสารต่างๆละลายอยู่ไ ด้แก่ โปรตีนชนิดต่างๆรวมถึงปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดคารโบไฮเดรตไขมันวิตามินเกลือแร่ต่างๆ (อเิล็กโทรไลต์) ฮอร์โมนและสารอื่นๆ
โปรตีนในพลาสมามีคุณสมบัติทางกายภาพที่สําคัญทางสรีรวิทยา
อัลบูมินและโกลบูลินเป็นตัวสําคัญที่เกี่ยวข้องกับความดันออสโมติก (colloid osmotic pressure) ในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
โกลบูลินซึ่งมีอยู่ในรูปของแอลฟา (α) บีตา (β) และแกมมา (γ) เกี่ยวข้องกับการสร้างแอนติบอดีฮอร์โมนและเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ
ไฟบริโนเจนช่วยในการแข็งตัวของเลือดโปรตีนทั้งหมดในพลาสมาทําหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด-เบสและทําให้เกิดความหนืดของเลือดความเข้มข้นของโปรตีนเหล่านี้ได้แสดงไว้ในตาราง
ชนิดและปริมาณโปรตีนในพลาสมา
โกลบูลิน (α1, α2, β1, β2และ γ) 80,000-200,000 1.5
ไฟบริโนเจน 350,000-400,000 0.2-0.4
อัลบูมิน 69,000 4-6
รวม 6-8
นายอรรคเดช เพชรมีศรี UDA6380002