Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรภาพระบบเลือด(Hemato Phisiology - Coggle Diagram
พยาธิสรีรภาพระบบเลือด(Hemato Phisiology
หน้าที่ของระบบเลือด
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
การควบคุม (Regulation)
2.1 ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการเมแทบอลิซึมและปฎิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
2.2 ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุมอุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
2.3 การควบคุมน้ าในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดท าหน้าที่รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของน ้า
การป้องกัน (Protection)
3.1 การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss)เลือดจะมีกลไกการห้ามเลือด โดย
อาศัยปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดรวมถึงเกล็ดเลือด
3.2 การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body)โดยอาศัยกลไกการท างานของ เม็ดเลือดขาว
เกล็ดเลือด และแอนติบอดี (antibodies) ที่ไหลเวียนในกระแสเลือด
องค์ประกอบของเลือด
พลาสมา (Plasma)
มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใสซึ่งมีสารต่างๆ ละลายอยู่ได้แก่ โปรตีนชนิดต่างๆ
โปรตีนในพลาสมามีคุณสมบัติทางกายภาพที่สำคัญทางสรีรวิทยา โดย
1.อัลบูมิน และโกลบูลินในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย 2.โกลบูลินเกี่ยวข้องกับการสร้างแอนติบอดี ฮอร์โมน 3.ไฟบริโนเจนช่วยในการแข็งตัวของเลือด
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
โดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้ ได้แก่
2.1 เม็ดเลือดแดง 2.2 เม็ดเลือดขาว 2.3 เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต์
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
ทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัว
ของเลือด ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลหรือห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
การทำงานของเม็ดเลือดแดง
ภายในเม็ดเลือดห่อหุ้มสารละลายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ 1.ฮีโมโกลบิน (hemoglobin) 2.เอ็นไซม์(enzyme)อิออน (ion)
เพื่อทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส (acid - base buffer) ของเลือด
การทำงานของเม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดมีหลายชนิด
โดยมีหน้าที่หลัก คือ ป้องกัน และ ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญ 3ประการ คือ
1) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยังบริเวณที่มีเชื้อโรค(Diapedesis)
2) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื้อโรค โดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อยจากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (Chemotaxis)
3) เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบา เข้าโอบล้อม และย่อยเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)
แบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
2.1 ชนิดมีแกรนูล หรือมีนิวเคลียสหลายแบบ
(Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
2.1.1. นิวโทรฟล (Neutrophil or
polymorphonuclear cell, PMN)
2.1.2. อีโอสิโนฟล (Eosinophil)
2.1.3. เบโซฟิล (Basophil)
2.2 ชนิดไม่มีแกรนูล หรือ มีนิวเคลียสเดียว
(Agranulocytic or mononuclear cell)
2.2.1. โมโนไซต์(Monocyte)
2.2.2. ลิมโฟไซต (Lymphocyte)
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
เกล็ดเลือดมีหน้าที่หลัก คือ ป้องกันภาวะเลือดออกผิดปกติ และช่วยให้เลือดหยุดเมื่อเกิดมีเลือดออกเมื่อมีความผิดปกติในการทำงานของเกล็ดเลือด และ/หรือในปริมาณ จะส่งผลให้เกิดโรค/ภาวะผิดปกติได้
หมู่เลือดระบบ ABO
•จัดเป็นหมู่เลือดที่ส าคัญที่สุดในการให้เลือด เป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้โดยอาศัยโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag) บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อยคือ หมู่เลือดกลุ่ม A B O และ AB
ภาวะซีด
1.) การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดดง เช่น ขาดธาตุเหล็ก, โฟเลตและวิตามินบี 12 หรือเป็นโรคของไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝอ มะเร็งเม็ด
2) การสูญเสียเม็ดเลือดแดงจากกระแสเลือด ได้แก่ การเสียเลือดทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
3.) การที่เม็ดเลือดแดงแตกหรือถูกทำลายไปเร็วกว่าปกติ เช่น โรคภูมิต้านทานทำลายเม็ดเลือแดงตนเอง โรคโลหิตจางกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น โรคขาดเอ็นชัยม์จี-6-พีดีของเม็ดเลือดแดง โรคธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางที่มีรูปร่างเม็ดเลือดแดงมีลักษณะทรงกลม
การป้องกันการติดเชื้อ
เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ( Neutrophil )ทำหน้าที่ในการป้องกันการติดเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา พิษจากสารต่าง ๆ หรือแม้แต่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งถ้านิวโตรฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย
เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte )ทำหน้าที่ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อในครั้งต่อไป ซึ่งถ้าลิมโฟไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของการติดเชื้อไวรัส หรือการก่อตัวของเชื้อมะเร็ง
เม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิล ( Eosinophil )ทำหน้าที่ควบคุมอาการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการแพ้และโรคหอบหืด ซึ่งถ้าอีโอซิโนฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของภูมิแพ้หรือติดเชื้อปรสิตในร่างกาย เช่น พยาธิ อะมีบา
เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ ( Monocyte ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ทำหน้าที่กำจัดจุลินทรีย์ สิ่งแปลกปลอม และเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งถ้าโมโนไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงการติดเชื้อไวรัสที่ไม่มีอาการรุนแรงมากนัก และสามารรถรักษาให้หายได้
เม็ดเลือดขาวชนิดบาโซฟิล ( Basophil ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อจากจากบาดแผล บรรจุสารที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการแพ้และช่วยควบคุมการแข็งตัวของเลือด ซึ่งถ้าบาโซฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงอาการแพ้
กลไกการหยุดเลือดออก
การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot) เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือด สารต่างๆ ในพลาสมา และสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนย่อย คือ
3.1 การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation) แบ่งย่อยได้ 2 ขบวนการ คือ 3.1.1 Extrinsic pathway เกิดจากการท าลายเซลล์หลอดเลือด และ เซลล์ข้างเคียงจะกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้สร้างทรอมโบพลาสติน (tissue thromboplastin) 3.1.2 Intrinsic pathway เกิดขึ้นภายในหลอดเลือดเมื่อเกล็ดเลือดเกิด การแตกจะมีการทำปฏิกิริยากันของสารที่หลั่งออกมาจากเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้ทรอมโบพลาสติน(intrinsic thromboplastin)
3.2 การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน (thrombin) ทรอม โบพลาสติน
(thromboplastin) ที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการเปลี่ยนโปรทรอมบิน เป็นทรอมบิน
3.3 การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบริน (fibrin) ทรอมบินที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไฟบริโนเจน เป็นไฟบริน โดยใช้แคลเซียมอิออน (Ca 2+) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่าง ๆ ไฟบรินเป็นเส้นใยโปรตีนที่ไม่ละลายน ้ามีการรวมตัวกันแน่นประสานเป็นร่างแห และยึดจับกับเม็ดเลือดแดงกลายเป็นก้อนเลือด (clot)
3.4 การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด (clot retraction) มีการหดตัวของก้อนเลือดและร่างแหท าให้น ้าเลือด (ซีรั่ม) ออกจากก้อนเลือด และเป็นผลให้เกิดการเชื่อมติดบาดแผลมากขึ้นบาดแผลหลังจากเกิดก้อนเลือดอุดบาดแผล และไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว เซลล์ไฟโบรบลาส(fibroblast) จะท าหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อประสาน
ความเข้ากันได้ของหมู่เลือด
กรุ๊ปเลือด A จะรับ B และ AB ไม่ได้ รับได้แต่ A และ O
กรุ๊ปเลือด B จะรับ A และ AB ไม่ได้ รับได้แต่ B และ O
กรุ๊ปเลือด AB จะรับได้ทุกกรุ๊ป
กรุ๊ปเลือด O จะรับได้เฉพาะกรุ๊ป O