Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Chronic tonsillitis ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง, B9EE1A20-776F-4ABE-8132…
Chronic tonsillitis
ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง
ข้อมูลส่วนตัว
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
-ผู้ป่วยให้ประวัติมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง 2 ปี โดยมีอาการ 4ครั้ง/ปีรักษาโดยการพบเเพทย์ รับประทานยาเเต่อาการไม่ดีขึ้นเป็นๆหายๆ
-1 สัปดาห์ก่อนมีอาการเจ็บคอมากขึ้น มีไข้จึงมาพบเเพทย์ เเพทย์ตรวจอาการ เเพทย์จึงนัดผ่าตัด
ประวัติการเเพ้ยา
ไม่มี
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
ไข้ เจ็บคอมาก รับประทานอาหารได้น้อย กลืนลำบาก มา 2 วัน
ข้อมูลทั่วไป
หญิงไทย อายุ 29 ปี สัญชาติ : - ศาสนา : -
การวินิจฉัย
Chronic tonsillitis
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ที่มีความผิดปกติ
Complete blood count : CBC
WBC 12.5 x 103/UL (สูง)
สูงกว่าปกติ ร่างกายอาจกำลังเกิดการอักเสบจากการบาดเจ็บหรือเกิดจากถูกจุลชีพก่อโรคโจมตี
(ค่าปกติ 4-11 x 103 cell/mm3)
Neutrophil 83.8%
สูงกว่าปกติ อาจกำลังเกิดการติดเชื้อเช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ
(ค่าปกติ 50 - 70%)
Lymphocyte 6% ต่ำ
ต่ำกว่าปกติ ร่างกายอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัวจากเชื้อ HIV
(ค่าปกติ 20 - 40%)
Chemistry : serum
Gluclose 125 mg/dl (สูง)
สูงกว่าปกติ มีน้ำตาลในเลือดสูง
(ค่าปกติ 70 – 100 mg/dl)
BUN 8 mg/dl (ต่ำ)
ต่ำกว่าปกติ มีความเสี่ยงขาดสารอาหาร การดูดซึมอหารไม่ดี
(ค่าปกติ 10 – 20 mg/dl)
Tonsillitis
พยาธิสภาพ
อาการติดเชื้อบริเวณต่อมทอนซิลที่เกิดขึ้นอย่างติดต่อกัน การติดเชื้อซ้ำ ๆ นั้นอาจทำให้เกิดช่องเล็ก ๆ (Crypts) ในต่อมทอนซิลที่กักเก็บแบคทีเรียเอาไว้ ส่วนมากจะพบลักษณะคล้ายหินเล็ก ๆ ที่มีกลิ่นเหม็นในช่องปาก โดยหินนี้เรียกว่า “นิ่วทอนซิล (Tnsilloliths)” ซึ่งอาจมีการสะสมของซัลฟา (Sulfa) เป็นจำนวนมาก เมื่อแตกตัวจะมีกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่าทำให้มีกลิ่นปาก แล้วยังทำให้ผู้ป่วยมีรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจับด้านหลังในลำคอ
ความหมายโรค
โรคที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อของทอนซิลซึ่งเป็นต่อมคู่ข้างซ้ายและขวา (เป็นต่อมน้ำเหลืองในลำคอที่อยู่ด้านข้างใกล้กับโคนลิ้น มีหน้าที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ลำคอ เช่น จากอาหาร น้ำดื่ม และการหายใจ จัดเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่สำคัญ สามารถตัดออกได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม เพราะยังมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคออีกมากที่ทำหน้าที่นี้แทนได้)
กายวิภาคศาสตร์ของต่อมทอลซิล
ช่องคอเป็นส่วนของอวัยวะที่เป็นทางผ่านของอากาศและอาหาร โดยแบ่งส่วนของคอออกเป็น 3 ส่วน คือ ซ่องคอส่วนจมูก (Nasopharynx) ช่องคอส่วนปาก (Oropharynx) และช่องคอส่วนกล่องเสียง (Laryngopharynx) ซึ่งซ่องคอส่วนปากเป็นส่วนของคอที่เริ่มจากเพดานอ่อนที่มีลิ้นไก่ (Ovula) ตั้งอยู่ลงมาจนถึงฝาปิดกล่องเสียง (Epiglottis) อวัยวะที่อยู่ในส่วนนี้ ได้แก่ ผนังคอด้านหลัง (Posterior Pharyngeal wall) ต่อมทอนซิล (Palatine Tonsil)
ต่อมทอลซิลในคนคอมีอยู่ 3 ตำเเหน่ง
จะอยู่ด้านข้างของช่องปากเรียกว่าพาลาทีนทอนซิล (palatine tonsil)
ต่อมทอนซิลที่โคนลิ้น (lingual tonsil)
ต่อมทอนซิลที่ช่องหลังโพรงจมูก (adenoid tonsil)คือต่อมทอนซิลอักเสบ Tonsillitis
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย พบ 15-20% เชื้อสาเหตุที่พบบ่อย คือ Group A beta-hemolytic streptococcus (GAS)
การติดเชื้อไวรัสเป็นส่วนใหญ่
อาการเเละอาการเเสดง
มีอาการหวัด มีไข้แต่ไม่สูงมาก
คัดจมูก มีน้ำมูกใส
หนาวสั่น
ครั่นเนื้อ ครั่นตัว
อ่อนเพลีย
เจ็บคอโดยเฉพาะเวลากลืนอาหาร
ตรวจดูจะพบต่อมทอนซิลโตขึ้น และอักเสบบวมแดงมีฝ้าขาว ๆ ปกคลุมต่อมทอนซิลบางครั้งจะคลำได้ต่อม น้ำเหลืองที่ตอบวมโตร่วมด้วย
ภาวะเเทรกซ้อน
ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือรับประทานยาไม่ครบก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนี้
เชื้ออาจลุกลามเข้าไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีที่ทอนซิล (Peritonsillar abscess) ซึ่งอาจโตจนทำให้ผู้ป่วยกลืนลำบากหรือหายใจลำบาก
เชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือดแล้วแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ทำให้เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง (Osteomyelitis)
3.ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (Autoimmune reaction) ภายหลังจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อขึ้นมา แล้วไปก่อปฏิกิริยาต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง คือ ไข้รูมาติก
ภาวะเเทรกซ้อนจากการทำการผ่าตัด
เลือดออกจากแผลผ่าตัด ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีก้อนเนื้อชิ้นใหญ่อาหารที่มีรสจัดหรืออาหารแข็ง
หายใจลำบาก เนื่องจากผนังลำคอบวมมาก ผู้ป่วยอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจหลังผ่าตัดไว้ระยะหนึ่งหรือแล้วแต่อาการ
รับประทานอาหารได้น้อย หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอ กลืนอาหารหรือกลืนน้ำลายลำบาก ทำให้น้ำหนักลดหรือมีอาการขาดน้ำได้ อาจมีน้ำลายปนเลือดออกมาบ้างเล็กน้อย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการดมยาสลบ ได้แก่ เสียงแหบจากสายเสียงบวม, หายใจลำบาก อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube) ไว้ระยะหนึ่งหลังผ่าตัดเสร็จ, ปอดอักเสบจากการสูดสำลักหลังผ่าตัด
ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
Tramal 50 mg IV PRN q 8 hrs
กลุ่มยา : ยาแก้ปวด
กลไกการออกฤทธิ์ : เป็นสารสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์ระงับการปวด
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิดการง่วงซึม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจทำให้เกิดการชักได้
การพยาบาล
1.ประเมินสัญญานชีพก่อนให้ยาและหลังให้ยาเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยรวม
2.ประเมินความปวดก่อนและหลังให้ยา
3.ให้ยาตามหลัก 7R เพื่อให้ตรงตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน
4.เตรียม NSS flushing ทุกครั้งหลังให้ยาเพื่อป้องกันการอุดตันของเส้นเสือด
5.ติดตามผลข้างเคียง เช่น มึนงง ง่วงนอน เพื่อประเมินอาการข้างเคียงของยา
6.รายงานแพทย์ให้ทราบหากผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ มึนงง ท้องผูกอย่างรุนแรง
3.clindamycin 600 mg IV. bid
กลุ่มยา: ปฏิชีวนะ
กลไกการออกฤทธิ์ คลินดาไมซินยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน :
อาการข้างเคียง
ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องร่วง ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือเป็นเลือด รู้สึกขมปาก รู้สึกเวียนหัว มึนงง กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นดีซ่านปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ เจ็บคอ แสบตา
การพยาบาล
1.ประเมินสัญญานชีพก่อนให้ยาและหลังให้ยาเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยรวม
2.ควรดื่มน้ำตามหลังกินยาอย่างน้อย 1 แก้ว เพื่อลดอาการระคายเคืองหลอดอาหาร
3.ให้ยาตามหลัก 7R เพื่อให้ตรงตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน
1.Plasil 1 amp IV PRN q 8 hrs.
ผลข้างเคียง
ง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ ท้องผูกหรือท้องเสีย ปากแห้ง มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
กลุ่มยา : แก้อาเจียน
กลไกการออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์ต้านการหลั่ง Dopamine
กาพยาบาล
1.ประเมินสัญญานชีพก่อนให้ยาและหลังให้ยาเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยรวม
2 .ให้ยาตามหลัก 7R เพื่อให้ตรงตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน
เตรียม NSS flushing ทุกครั้งหลังให้ยาเพื่อป้องกันการอุดตันของเส้นเสือด
4.สังเกตอาการข้างเคียง ง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ ท้องผูกหรือท้องเสีย ปากแห้ง มีผื่นขึ้นตามร่างกาย เพื่อเฝ้าระวังอาการข้างเคียงของยา
4.Paracetamol syr.(250/5 ml) sig 10 ml PRN for pain q 4-6 hr.
กลุ่มยา : ยาแก้ปวด
กลไกการออกฤทธิ์ : ยาพาราเซตามอลสังเคราะห์มาจากสารตั้งต้นคือ phenol แล้วมาเติมไนโตรเจนแล้วผ่านการreduce อีกครั้งจนได้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ ยับยั้งเอนไซม์
ผลข้างเคียง
ง่วงซึม แพ้ยา เช่น มีผื่น บวม เป็นแผลที่เยื่อบุช่องปาก มีไข้ เป็นตัน ในขนาดที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดตับวายและถึงแก่ความตายได้ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อาการดีซ่านระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การพยาบาล
2 .ให้ยาตามหลัก 7R เพื่อให้ตรงตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน
3.สังเกตอาการข้างเคียง อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ เพื่อเฝ้าระวังอาการข้างเคียงของยา
1.ประเมินสัญญานชีพก่อนให้ยาและหลังให้ยาเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยรวม
ข้อวินิจฉัยทางการพยายาบาล
ปัญหาที่ 1
มีภาวะFeverเนื่องจากมีการติดเชื้อที่ tonsillitis
ข้อมูลสนับสนุน
SD : ผู้ป่วยบอกว่ารู้สึกไม่สบายครั่นเนื้อครั่นตัว
ตัวร้อน มีไข้
OD
ตรวจร่างกาย
BT = 38.5 องศาเซลเซียส
HEENT : Pharynx and both tonsils enlarged and injected with white spots
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
WBC =12.5 x 103/UL สูง
Neutrophil = 83.8% สูง
Lymphocyte = 6% ต่ำ
วัตถุประสงค์
-เพื่อลดความไม่สุขสบายจากไข้
-เพื่อป้องกันภาวะชักจากไข้สูง
เกณฑ์การประเมิน
1.ไข้ลดลงหลังทำ Tepid Sponge
2.ไม่มีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว
3.อุณหภูมิ 36.5 - 37.5 องศาเซลเซียส
การพยาบาล
1.บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย(temperature) เพื่อประเมินการติดเชื้อ
2.สังเกตอาการแสดง เช่น ไข้สูง ตัวร้อน อ่อนเพลีย และรู้สึกไม่สบายตัวเพื่อประเมินภาวะไข้
3.ดูแลเช็ดตัวลดไข้ (Tepid Sponge) เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย
4.ดูแลให้รับสารน้ำ5%D/N/2 1,000 ml rate 80 cc./hr.ตามหลัก7Rและตรงตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อให้ได้รับสารน้ำเพียงพอต่อร่างกาย
5.จัดท่านอนให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สุขสบายเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน
6.จัดสิ่งแวดล้อมรอบเตียงให้ผู้ป่วยสะอาดรู้สึกสบายเงียบสงบเพื่อส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อน
7.ติดตามและสังเกตอาการหลังทำเช็ดตัวลดไข้เพื่อประเมินผลการทำ Tepid Sponge
ปัญหาที่ 2
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนผ่าตัด
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องก่อนได้รับเข้าผ่าตัด
การพยาบาล
1.แจ้งและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าจะทำการผ่าตัดต่อมทอลซิลออก หลังผ่าตัดอาจมีอาการปวดและ 2-3 วันขึ้นไปจะมี แผ่นฝ่าขาว(Fibrin) ห้ามดึงแกะแผลในคอออกประมาณ 1 อาทิตย์ก็จะดีขึ้น แล้ว2-4 อาทิตย์จะหายเป็นปกติ
2.ดูแลทำ NPOอย่างน้อย6ชั่วโมงก่อนผ่าตัดตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อเตรียมผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
3.แนะนำให้ผู้ป่วยแปรงฟัน อาบน้ำสระผม ล้างหน้าให้สะอาด งดการใช้ครีมและเครื่องสำอางทุกชนิด
4.แนะนำก่อนผ่าตัดให้ผู้ป่วยถอดของมีค่าต่าง ๆ เครื่องประดับทุกชนิด เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู นาฬิกา และฟันปลอมเพื่อป้องกันอันตรายขณะที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
5.แนะนำให้ผู้ป่วยปัสสาวะอุจจาระให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด
6.ติดป้ายข้อมือตรวจสอบ ชื่อ-สกุล
วัน/เดือน/ปีเกิดของผู้ป่วยว่าตรงไหมและตรวจสอบเอกสารเซ็นต์ยินยอมก่อนไปผ่าตัดเพื่อความถูกต้องและไม่เกิดข้อผิดพลาด
7.เจาะ Hemocultureเพื่อเก็บ CBC, BUN, Cr, FBS ,electrolyte, anti HIVและให้สารน้ำ 5%D/N/2 1000 ml rate 80 cc/hr.ถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาของแพทย์
8.วัดสัญญาณชีพก่อนไปห้องผ่าตัด
ปัญหาที่ 3
การพยาบาลหลังผ่าตัด
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
เกณฑ์การประเมิน
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
การพยาบาล
Record V/S ทุก15 นาที 4ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง จากนั้น 1 ชม.จนกว่าสัญญาณชีพจะปกติเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
ประเมินความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเพื่อประเมินอาการผู้ป่วยหลังผ่าตัดและประเมินภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน
ดูแล Observe bleeding เพื่อเฝ้าระวัง bleeding หลังผ่าตัด
จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30องศาเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกและปอดขยายได้เต็มที
ดูแลให้สารน้ำ 5% D/N/2 1000 ml IV 80cc/hr.ถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาเพื่อให้ได้รับสารน้ำเพียงพอ
ดูแลให้ยา clindamycin 600 mg IV. bid ถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลให้ยาParacetamol syr.(250/5 ml) sig 10 ml เมื่อมี ไข้หรือมีอาการปวดทุก 4-6 ชั่วโมงถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาของแพทย์และเพื่อบรรเทาอาการปวด
ดูแลให้ยาTramal 50 mg IV PRN q 8 hrsถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อบรรเทาความปวด
ดูแลให้ยา Plasil 1 amp IV PRN q 8 hrs. ถูกหลัก7R ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
เตรียม NSS flushing ทุกครั้งหลังให้ยาเพื่อป้องกันการอุดตันของเส้นเสือด
ติดตามผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลียคลื่นไส้ อาเจียนเพื่อประเมินอาการข้างเคียงของยาและประเมิน Pain scale
ดูแลการให้รับประทานอาหาร Cold clear liquid diet ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบท้วน
ดูแลทำความสะอาดช่องปากให้ NSS อมกลั้วคอ Observe bleeding เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในช่องปากและช่วยส่งเสริมการหายของแผลภายในช่องปาก
บันทึก I/O เพื่อประเมินสารน้ำ เข้า – ออกของร่างกาย
ปัญหาที่ 4
ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
SD : ผู้ป่วยบอกว่าปวดเเผลบริเวณในลำคอ
OD : -ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดทอนซิล
-Pain score = 8
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบายบรรเทาอาการปวดลดลง
เกณฑ์การประเมิน
1.V/S ปกติ
2.ไม่มีพฤติกรรมแสดงว่าปวดแผล ไม่มีหน้านิ่ว คิ้วขมวด
3.ไม่บ่นปวดแผล Pain score ลดลงเหลือ 1-3 คะแนน
4.สามารถนอนหลับพักผ่อนได้
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อดูอาการเปลี่ยนแปลง
ขออนุญาตผู้ป่วย ให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาลและให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล
ประเมินอาการและสอบถามลักษณะอาการปวดเวลาและสิ่งกระตุ้นทำให้ปวดเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโดยประเมินความรุนแรงจากอาการแสดง ได้แก่ สีหน้าท่าทางและการสอบถามระดับความปวดโดยใช้ pain score เพื่อวางแผนในการให้การพยาบาลที่เหมาะสมตามระดับความปวด
จัดท่านอนให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทาอาการปวดแผลและช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบาย
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Tramal 50 mg. IV PRN q 8 hrs. ติดตามอาการข้างเคียงหลังให้ยา เช่น คลื่นไส้อาเจียน ง่วงซึม มึนงงวิงเวียน ปวดศีรษะ และ Paracetamol 250 syr. (250/5 ml) rig 10 ml PRN for pain q4-6 hr. ติดตามอาการข้างเคียงหลังให้ยาเช่น มีผื่น บวม เป็นแผลที่เยื่อบุช่องปาก มีไข้ บริหารยาตามหลัก 7 R
1) Right Drug Medication (ให้ยาถูกชนิด)
2) Right Patient (ให้ผู้ป่วย/ผู้รับบริการถูกคน)
3) Right Dose (ให้ขนาดถูกต้อง)
4) Right Route (ให้ถูกทาง)
5) Right Time and Frequency (ให้ถูกเวลา)
6) Right Documentation (บันทึกถูกต้อง)
7) Right to Refuse (สิทธิ์ที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับยาและสิทธิ์ในปฏิเสยา)
จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ ไม่รบกวนผู้ป่วยน้อยที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
แนะนำเทคนิคหรือวิธีการที่ช่วยให้มีกการผ่อนคลาย เพื่อบรรเทาอาการปวดแผล เช่น การฟังเพลง การหายใจเข้าออกลึกๆ การดูทีวี เป็นต้น
ปัญหาที่ 5
มีภาวะติดเชื้อเนื่องจากมีเเผลผ่าตัดในลำคอ
ข้อมูลสนับสนุน
SD : ผู้ป่วยบอกว่าเจ็บคอเรื้อรังมา 2 ปี
OD
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด tonsillectomy
WBC 12.5 x 103/UL
Neutrophil 83.8
T 38.5 อาศา
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อหลังผ่าตัด
เกณฑ์การประเมิน
-ไม่มีอาการเเสดงว่าติดเชื้อ เช่น ไม่มีไข้ (35.4 – 37.4 องศาเซลเซียส) หนาวสั่น อ่อนเพลีย เเผลผ่าตัดไม่มีเลือดซึมหรือบวมเเดง
-ผลการตรวจ CBC มีค่าปกติ
การพยาบาล
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย temperature) เพื่อประเมินการติดเชื้อ
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อของผู้ป่วยและติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังให้การพยาบาลเพื่อติดตามอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของภาวะการติดเชื้อ
และให้การพยาบาลอย่างเหมาะสม
ล้างมือก่อนและหลังทุกครั้งให้การพยาบาลทุกครั้งและให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic Technique
ดูแลให้ยา clindamycin 600 mg V. bid รักษาอาการติดเชื้อ และติดตามอาการข้างเคียงหลังให้ยา เช่น ผื่นคัน มีความผิดปกติของเม็ดเลือด ท้องเดินอาเจียน และอุจจาระเป็นมูก
ดูแลทำความสะอาดร่างกายของผู้ป่วยโดยการเปลี่ยนเสื้อผ้าและดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดเช่นผ้าปูที่นอนปลอกหมอนผ้าห่มทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เตียงให้สะอาดเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
หลีกเลี่ยงการไอแรง ๆ หรือขากเสมหะประมาณ 8- 10 ชม. หลังผ่าตัดเพื่อลดภาวะติดเชื้อ
แนะนำการทำความสะอาดช่องปากโดยการบ้วนด้วย 4% Chlorhexidine หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปากหลังการผ่าตัด
ปัญหาที่ 6
เสี่ยงต่อการมี Airway obstruction
เนื่องจากมีภาวะเลือดออกหลังผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
SD -ผู้ป่วยบอกว่าหายใจไม่สะดวก รู้สึก ติดๆ ขัดๆ ตึงๆ และเจ็บคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมบริเวณคอ
-ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเป็นครั้งแรก
OD -พบมีเลือดออกบริเวณแผลหลังผ่าตัด
-มีอาการบวม แดง
-pain scale 6
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
เกณฑ์การประเมิน
-ผู้ป่วยไม่เกิดอาการขาดออกซิเจน
-ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเลือดหรืออาการบวม แดง บริเวณแผลผ่าตัด
-ลักษณะการหายใจปกติ อัตราการหายใจประมาณ 16-24 ครั้ง/นาที
-Pain scale 2
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพหลังผ่าตัด ทุก 15 นาที 4 ครั้ง. ทุก 30 นาที 2 ครั้ง จากนั้น 1 ชั่วโมงจนกว่าสัญญาณชีพปกติ
ประเมินความรู้สึกตัวของผู้ป่วยเพื่อประเมินอาการของผู้ป่วยหลังผ่าตัดและประเมินภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดโดยเฉพาะลักษณะการหายใจว่ามีการหายใจเร็วหรือแรงขึ้น หายใจลำบาก หรือสังเกตอาการcyanosis
ดูแล observe bleeding เพื่อประเมิน bleeding และประเมินภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
ดูแลให้สารน้ำ 5% D/N/2 1000 ml IV 80 cc/hr ตามแผนการรักษา เพื่อให้ได้รับสารน้ำเพียงพอ
ดูแลให้ยา Paracetamol syr. (250/5 ml) sig 10 ml เมื่อมีไข้หรือมีอาการปวดทุก 4-6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษา เพื่อบรรเทาอาการปวด ลดไข้ และเมื่อมีอาการ คลื่นไส้ ติดตามผลข้างเคียงของยา และประเมิน Pain scale
จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30 องศาเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกและปอดขยายได้เต็มที่
ดูแลให้ NSS อมกลั้วคอ Observe bleeding เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในช่องปากและช่วยส่งเสริมการหายของแผลภายในช่องปาก
ดูแลการให้รับประทานอาหาร Cold clear liquid diet ตามแผนการรักษาของแพทย์
แนะนำผู้ป่วยไม่ให้ ดึง แกะแผ่นแผลในคอและอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเรื่องแผลผ่าตัดจะมีแผ่นสีขาวปกคลุม ห้ามแกะออก เพราะจะทำให้เลือดออก แผลจะหายเองใน 14 – 21 วัน
ปัญหาที่ 7
ขาดความรู้ในเรื่องการปฏิบัติตน
ในการดูแลแผลผ่าตัดเมื่อกลับบ้าน
ข้อมูลสนับสนุน
SD:ผู้ป่วยบอกว่ามีความวิตกกังวลเพราะไม่ทราบวิธีการ
ดูแลตนเองอย่างถูกต้องเมื่อกลับบ้าน
OD: -ผู้ป่วยมีแผลผ่าตัดบริเวณในลำคอ
-มีสีหน้าวิตกกังวล
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตัวหลังกลับบ้านได้ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยมีความรู้ และสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังกลับบ้านได้ถูกต้อง
กาพยาบาล
การวางแผนจำหน่าย (Thischarge Plan)
โดยใช้หลัก D METHOU)
D - Diagnosis ให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องหลังการผ่าตัดทอนซิลคือ หลีกเลี่ยงการไอแรง ๆ การล้วงคอให้เสมหะออก การแปรงฟันลึก ๆ การยกของหนักอาจทำให้มีเลือดออกได้ และเเนะนำผู้ป่วยว่าหลังผ่าตัด 2-3 วันเมื่อพบเห็นฝ้าขาว ๆ คล้ายหนองที่อักเสบบริเวณแผลห้ามแกะแผ่นขาว ๆ (Fibrin) ในคอออกเนื่องจากแผลกำลังจะเริ่มหาย เพราะการแกะจะทำให้เลือดออก รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลช่องปากและฟันเเละเเปรงด้วยขนแปรงที่อ่อนนุ่ม เพื่อช่วยทำความสะอาดเเละลดการสะสมของเเบคทีเรียในช่องปาก
M Medicine แนะนำการใช้ยาที่ตนเองได้รับอย่างละเอียด สรรพคุณของยา ขนาด วิธีใช้ ข้อควรระวังในการใช้ยาตลอดจนการสังเกตกาวะแทรกซ้อนรวมทั้งข้อห้ามการใช้ยาด้วย
E - Environment การจัดการสิ่งแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของตนเอง ให้ผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก
T -Treatment ทักษะที่เป็นตามแผนการรักษา เช่น การดูแลรักษาแผล
บริเวณลำคอ รวมถึงการเฝ้าสังเกตอาการที่ผิดปกติ
0 - Out patient การมาตรวจตามนัดการติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน ในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
D -Diet การเลือกรับประทานอาหารเหมาะสมกับภาวะร่างกาย ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด จัดร้อนแนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม และหลีกเลี่ยงหรืองดอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การรักษา
การผ่าตัดต่อมทอนซิลอักเสบ (tonsillectomy)
การผ่าตัดต่อมทอนซิล (tonsillectomy) จะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ในเรื่องของการติดเชื้อเรื้อรัง (chronic tonsillitis) หรือเป็นๆหายๆ (recurrent acute tonsillitis) (ทำให้มีไข้, เจ็บคอ, กลืนเจ็บ หรือกลืนลำบากเรื้อรังหรือเป็นๆหายๆ ) หรือมีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดอาการนอนกรน (snoring) และมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea)
การผ่าตัดทอนซิล ทำโดยศัลยแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก โดยทำการผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบ แพทย์ผ่าตัดจะทำการใส่เครื่องมือเล็กๆเพื่ออ้าปากออก และใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า หรือใช้วิธีคว้านเอาต่อมทอนซิลออกทั้งหมด โดยจะไม่มีแผลบริเวณใบหน้า ศีรษะหรือลำคอ การผ่าตัดใช้เวลาไม่นานประมาณ 30 นาที ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืนเพื่อดูอาการ หลังผ่าตัดแพทย์จะแนะนำให้ทานอาหารอ่อนๆเป็นเวลา 2-3 วันแรก ภายในช่องคอจะพบมีรอยแผลสีขาวๆบริเวณต่อมทอนซิลที่ตัดออกไป ซึ่งเป็นภาวะปกติ รอยนี้จะหายไปได้เองภายในระยะเวลา 5-10 วัน โดยทั่วไประยะฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์