Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือดHematoPhisiology - Coggle Diagram
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือดHematoPhisiology
หน้าที่ของระบบเลือด
การป้องกัน (Protection)
3.2 การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body)
เลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม
เช่น เชื้อโรค ตลอดจนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยกลไกการท างานของ เม็ดเลือดขาวเกล็ดเลือด และแอนติบอดี (antibodies) ที่ไหลเวียนในกระแสเลือด ลักษณะทางกายภาพของเลือด (Physical characleristics of blood)
• ความหนืด (Viscosity) 4.5-5.5 (เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำ
• อุณหภูมิ 37-38 องศาเซลเซียส
• ความเป็นกรด-เบส (pH) 7.35-7.45
3.1 การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss) เมื่อเกิด บาดแผลขึ้นกับร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกาย เลือดจะมีกลไกการห้ามเลือด โดยอาศัยปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดรวมถึงเกล็ดเลือด ช่วยให้เกิดการอุดปิดบาดแผล
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
การควบคุม (Regulation)
2.1 ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการเมแทบอลิซึมและปฎิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย รวมทั้งการเผาผลาญอาหารหรือผลจากการได้รับยาหรือสารเคมีต่างๆ เข้าไป จะมีผลทำให้ความเป็นกรด-เบส ของร่างกายเปลี่ยนแปลง
2.2 ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุมอุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
2.3 การควบคุมน้ำในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดทำหน้าที่รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของน้ำ
-องค์ประกอบของเลือด
พลาสมา (Plasma)
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
เซลล์เม็ดเลือดมีหลายชนิด ส่วนที่เป็นเม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements) คือ
ส่วนที่เป็นตัวเซลล์แขวนลอยไหลเวียนในหลอดเลือดทั่วร่างกาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของเลือด โดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้ ได้แก่
2.1 เม็ดเลือดแดง
2.2 เม็ดเลือดขาว
2.3 เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต์
• ส่วนที่เป็นน้ำเลือด เป็นของเหลวที่เป็นตัวกลาง
ให้เม็ดเลือดแขวนตัวลอยอยู่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือด มีลักษณะ
เป็นของเหลวสีเหลืองใส ซึ่งมีสารต่างๆ ละลายอยู่ได้แก่ โปรตีนชนิดต่างๆ รวมถึงปัจจัยในการ
แข็งตัวของเลือด คารโบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเกลือแร่ต่างๆ (อิเล็กโทรไลต์) ฮอร์โมนและสาร
อื่นๆ
• โปรตีนในพลาสมามีคุณสมบัติทางกายภาพที่สาคัญทางสรีรวิทยา โดย
❖อัลบูมิน และโกลบูลิน เป็นตัวส าคัญที่เกี่ยวข้องกับความดันออสโมติก (colloid osmotic
pressure) ในการรักษาสมดุลของน ้าในร่างกาย ❖โกลบูลินซึ่งมีอยู่ในรูปของ แอลฟา (α) บีตา (β) และแกมมา (γ) เกี่ยวข้องกับการสร้าง
แอนติบอดี ฮอร์โมน และเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ❖ไฟบริโนเจนช่วยในการแข็งตัวของเลือด โปรตีนทั้งหมดในพลาสมาท าหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์
ช่วยควบคุมระดับความเป็น กรด-เบส และท าให้เกิดความหนืดของเลือด ความเข้มข้นของโปรตีนเหล่านี้ได้แสดงไว้ในตาราง
เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte , red blood cell)
การสร้างเลือด (Hemopoiesis)
เซลล์ต้นก าเนิดของเม็ดเลือด (stem cell)
ทฤษฎีการสร้างเม็ดเลือดมีดังนี้ คือ
ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง
• Anemia เป็นสภาวะที่เลือดมีปริมาณฮีโมโกลบิน หรือมีค่าปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นตำกว่าปกติซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น
• เสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง (acute and chronic hemorrhage) • การสร้างหรือการเจริญของเม็ดเลือดแดงช้า (mononuclear deficiency) • ไขกระดูกผิดปกติ (aplastic bone marrow) หรือผนังเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย ท าให้มีผลต่อขนาด
เซลล์และปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์แตกต่างกันไป
ทฤษฎีโมโนไฟลิติก (Monophyletic theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเซลล์เม็ดเลือด ทุกชนิดก าเนิดมา
จากเซลล์บรรพบุรุษเดียวกันที่เรียกว่า "Totipotential hemocytoblast" โดยที่เซลล์นี้จะเจริญเป็นเม็ดเลือดแดง แกรนูลโลไซต์โมโนไซต์ลิมโฟไซต์และทรอมโบไซต์ได้ตามความต้องการของร่างกาย
ทฤษฎีโพลีไฟลิติก (Polyphyletic theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เม็ดเลือดแต่ละสาย ก าเนิดมาจาก
เซลล์บรรพบุรุษของตัวเอง และแต่ละชนิดจะไม่มีการสร้างข้ามสายกัน ในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังมีทฤษฎีแยกย่อย ๆ ต่อไปอีก นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า เซลล์ใหม่มีก าเนิดมาจากเซลล์เดียวกัน โดย
เชื่อว่าลิมโฟไซต์ในภาวะปกติจะไม่มีการเปลี่ยนรูปร่าง แต่ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะที่ผิดปกติหรือมีพยาธิสภาพ(pathological condition) พบว่าลิมโฟไซต์เหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดใหม่ได้โดย เฉพาะใน
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (tissue culture)
• 1.การสร้างเลือดของทารกในครรภ์ (Embryonic or Pre-natal hemopoiesis)
• 2. การสร้างเลือดในระยะหลังคลอด (Post-natal hemopoiesis) เป็นการสร้างเลือดหลังจากที่
ทารกคลอดมาแล้ว ยกเว้นพวกลิมโฟไซต์ที่มีการสร้างจากอวัยวะน้ าเหลือง
• การสร้างเลือดในระยะนี้ สร้างจากพวกเซลล์มีเซนไคมอล ที่แทรกตามเนื้อเยื่อ ในอวัยวะเหล่านี้เป็น
เซลล์ต้นก าเนิด และเป็นการสร้างนอกหลอดเลือด (extravascular hemopoiesis)
ภายในเม็ดเลือดห่อหุ้ม
สารละลายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ
❑ ฮีโมโกลบิน (hemoglobin)
❑ เอ็นไซม์(enzyme)
❑ อิออน (ion)
เพื่อทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และท าหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส (acid - base buffer) ของเลือด
เม็ดเลือดขาว (Leucocyte , white blood cell)
แบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
Platelet
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet) เป็นองค์ประกอบของเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด
ประมาณ 2-4 ไมครอน ไม่มีนิวเคลียส ส่วนใหญ่รูปร่างกลมแบน หรือ รูปไข่ ติดสีฟ้าอ่อนมี อะซูโรฟลิกแกรนูล ติดสีม่วงหรือม่วงแดง กระจายอยู่ทั่วไปกลางเซลล์ มีต้นกำเนิด
เซลล์ เมกะคาริโอไซต (megakaryocyte) ในไขกระดูก ท าหน้าที่ส าคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลหรือห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผล กลไกห้าม
(Homeostasis) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนที่สำคัญ คือ
หลอดเลือดหดตัว (Vasoconstriction) 2. การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) 3. การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot)แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนย่อย คือ
3.1 การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation) แบ่งย่อยได้ 2 ขบวนการ คือ
3.1.1 Extrinsic pathway 3.1.2 Intrinsic pathway3.2 การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) 3.3 การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) 3.4 การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด (clot retraction)
2.1 ชนิดมีแกรนูล หรือมีนิวเคลียสหลายแบบ
(Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
2.1.1. นิวโทรฟล (Neutrophil 2.1.2. อีโอสิโนฟล (Eosinophil) 2.1.3. เบโซฟิล (Basophil)
2.2 ชนิดไม่มีแกรนูล หรือ มีนิวเคลียสเดียว
(Agranulocytic or mononuclear cell)
2.2.1. โมโนไซต์(Monocyte) 2.2.2. ลิมโฟไซต (Lymphocyte)
ตับมีบทบาทในการสร้างเลือด
ช่วงประมาณสัปดาห์
ที่ 6 หรือเกือบปลายเดือนที่ 2 และจะสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ได้สูงสุดใน เดือนที่ 4 และเดือนที่ 5 และจะค่อยๆ ลดบทบาทลงจนกระทั่งถึง 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด
ม้ามในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
ม้ามจะเริ่มมีหนาที่ในการ
สร้างเม็ดเลือด แต่เป็นเม็ดเลือดแดงมากกว่าเม็ดเลือดขาว ประมาณเดือนที่ 5 การสร้างเม็ดเลือดจะลด
น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคลอด • หลังคลอดม้ามจะมีหน้าที่ในการสร้างลิมโฟไซต์
(lymphocyte) อย่างเดียวไปตลอดชีวิต
• ต่อมไทมัส (thymus gland)
เป็นอวัยวะแรกที่สร้างเม็ดเลือด
พวกลิมโฟไซต์ก่อน อวัยวะน้ าเหลือง (lymphatic organ)อื่นๆ และเป็นอวัยวะที่ส าคัญอย่างยิ่งในการให้ก าเนิดลิมโฟ
ไซต์ในร่างกาย แม้จะมีการสร้างในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
• ต่อมน้ำเหลือง
เป็นอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดชนิดลิมโฟไซต์เริ่ม
จาก เดือนที่ 4 และ 5 และจะคงสร้างไปตลอดชีวิต
เม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดมีหลายชนิด
โดยมีหน้าที่หลัก คือ ป้องกัน และ ท าลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มีคุณสมบัติที่ส าคัญ 3ประการ คือ
1) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยัง บริเวณที่มีเชื้อโรค
(Diapedesis)
2) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื้อโรค โดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อย
จากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (Chemotaxis)
3) เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบา เข้าโอบล้อม และย่อย
เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)
หมู่เลือดระบบ ABO
หมู่เลือดระบบ Rh
ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ Landsteiner และ Wiener ซึ่งได้ท าการฉีดเม็ดเลือดแดงของลิงรีซัส (Rhesus) เข้าไปในกระต่าย ซีรั่มของกระต่ายสามารถทำปฏิกิริยากับเม็ด
เลือดแดงของคนผิวขาวได้ จากการศึกษาต่อมาพบว่าหมูมีแอนติเจนที่ส าคัญ คือ แอนติเจน D C E C และ e จัดเป็
หมู่เลือดที่มีความส าคัญมาก ในคนผิวขาว ในคนไทยพบว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ มีหมู่เลือด Rh+จากการที่ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh จะไม่มีแอนติบอดี ต่อ แอนติเจนของหมู่เลือด Rh จึงเป็นสาเหตุส าคัญ
ของโรคเม็ดเลือดแดงสลายในเด็กแรกเกิด (hemolytic disease of the newborn) มักพบในลูกคนที่สองของเแม่ที่มีหมูเลือด Rh- และได้รับการกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี (immune
antibody) จากลูกคนแรกที่มีหมูเลือด เป็น Rh+เมื่อเลือดของแม่ที่มีแอนติบอดีนี้ผ่านรกไปยังลูกที่อยู่ในครรภ์ซึ่งมีแอนติเจนที่จำเพาะ
กันจึงก่อให้เกิดการสลายเม็ดเลือดแดงของลูก ท าให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
•จัดเป็นหมู่เลือดที่ส าคัญที่สุดในการให้เลือด เป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้
โดยอาศัยโปรตีนที่ท าหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag) บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อย คือ หมู่เลือด
กลุ่ม A B O และ AB สามารถตรวจสอบหมู่เลือดโดยอาศัยปฏิกิริยาทางวิทยา